สถานการณ์เศรษฐกิจโลก รวมทั้งเศรษฐกิจของประเทศไทยได้มาถึงจุดที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มกันใหม่ ภายหลังจากที่ตัวแปรสำคัญ ได้แก่สถานการณ์สงครามในตะวันออกกลางสงบลง
ในช่วงที่บทสรุปของสงครามยังไม่แสดงออกมานั้น นักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักได้มองถึงแนวโน้มของเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างค่อนข้างจะเลวร้ายว่าจะต้องถึงกับถดถอยลงมา เพราะปัจจัยสำคัญในการผลิตคือราคาน้ำมันจะต้องพุ่งสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ย ภาวะเงินเฟ้อ และภาวะการลงทุนของทุกประเทศ
ดัชนีราคาหุ้นทั่วโลกสะท้อนให้เห็นถึงความกลัวดังกล่าว ด้วยการตกรูดอย่างรุนแรง ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แต่ดูเหมือนในตลาดหุ้นของไทยเราจะหนักกว่าเพื่อน
การลงทุนซื้อหุ้นในระยะดังกล่าว นักวิเคราะห์หลายสำนักมองว่าต้องหลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบด้านลบจากภาวะสงครามเช่นกลุ่มขนส่ง โรงแรม โดยควรให้ความสนใจกับหุ้นในกลุ่มที่จะได้รับผลดีอย่างกลุ่มอาหาร หรือโรงพยาบาลมากกว่า
หุ้นกลุ่มที่เคยนำตลาด อย่างกลุ่มธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ วัสดุก่อสร้าง หรือพัฒนาที่ดิน เสื่อมความนิยมลงทันตาเห็น เพราะปัจจัยเกื้อหนุนทั้งหลายได้เปลี่ยนแปลงไป โดยมีปัจจัยด้านลบเข้ามาแทนที่
สำหรับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จากที่เคยมองว่าจะได้รับผลดีจากการประกาศนโยบายผ่อนคลายการปริวรรตเงินตรา แต่ก็ถูกภาวะดอกเบี้ยเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นจนอาจส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินของธุรกิจที่เป็นลูกหนี้ จนมีบางคนมองว่าวัฏจักรที่แบงก์ต้องไล่ฟ้องหนี้เสียจากธุรกิจต่าง ๆ กำลังจะกลับมาให้เห็นอีกครั้งหนึ่ง
บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่หลายคนมองว่าภาวะการซื้อขายหุ้นจะต้องคึกคักภายหลังมีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ ส่งผลให้บริษัทเหล่านี้จะมีรายได้จากค่านายหน้าเพิ่มมากขึ้น แต่เมื่อราคาหุ้นตกต่ำภายหลังเกิดสงคราม หลายบริษัทที่ดูแนวโน้มว่าจะได้รับกำไรดีกลับมีผลขาดทุนปรากฎขึ้นทันที เพราะราคาหุ้นในพอร์ตของแต่ละบริษัทลดต่ำลงมาด้วย
ส่วนกลุ่มวัสดุก่อสร้างและพัฒนาที่ดิน ที่ราคาเคยวิ่งอย่างหวือหวา เพราะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่บูมขึ้นมาอย่างสุดขีด ก็ถูกสถานการณ์โดยรวมกดดันจนราคาหุ้นต้องลดต่ำลงมา เพราะความกลัวของนักลงทุนที่อาจถึงยุคสิ้นสุดของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แล้ว
แนวความคิดของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ และผู้จัดการกองทุนเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง ภายหลังอิรักยอมยุติสงคราม ความหวังของนักลงทุนที่มีต่อตลาดหุ้นเริ่มฉายแววออกมาใหม่ เมื่อความกลัว ที่นักลงทุนเคยมีเริ่มจางหายไป การตัดสินใจลงทุนซื้อหุ้นได้หวนกลับมาใช้ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นหลัก
หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เป็นกลุ่มหนึ่งที่ถูกจับตามองว่าจะต้องกลับมาเด่นอีกครั้ง นักวิเคราะห์ หลักทรัพย์หลายคนมองว่าเมื่อสถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายลงแล้วทุกประเทศก็จะต้องเริ่มหันมาสนใจกับการพัฒนาในด้านต่าง ๆ กันใหม่ ดังนั้นการก่อสร้างที่เคยคิดกันว่าอาจจะต้องชะลอตัวลงไป กลับจะต้องมีมากขึ้น
กิตติรัตน์ ณ ระนอง ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่าย ฝ่ายวิเคราะห์และพัฒนาการลงทุนบริษัทหลักทรัพย์เอกธำรง จำกัด เคยคาดการณ์ไว้ตั้งแต่ในช่วงที่สงครามยังไม่สงบว่า ปี 2534 นี้น่าจะเป็นปีทองของหุ้น ในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะเครื่องตกแต่งภายในเพราะถึงแม้สถานการณ์สงครามจะทำให้โครงการก่อสร้างหลายโครงการจะต้องชะงักไป แต่โครงการที่ได้เริ่มก่อสร้างไปเมื่อ 2-3 ปีที่แล้วและกำลังจะเสร็จในปีนี้ จะมีความต้องการใช้วัสดุตกแต่งภายในเป็นจำนวนมาก
บริษัทผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปัจจุบันมีอยู่ ทั้งสิ้นประมาณ 13 บริษัท สามารถแยกออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้ประมาณ 2 กลุ่ม
กลุ่มแรกเป็นผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างหลักเช่นปูนซีเมนต์ เหล็ก ยางมะตอย ประกอบด้วยบริษัทปูน ซิเมนต์ไทย, ปูนซีเมนต์นครหลวง, ชลประทานซีเมนต์, ไทยไวร์โพรดักส์ และทิปโก้ แอสฟัลท์ อย่างไรก็ตามอาจจะรวมบริษัท ทีพีไอ โพลีนเข้าไปได้อีกบริษัทหนึ่ง
กลุ่มที่ 2 เป็นผู้ผลิตเครื่องตกแต่งภายใน ได้แก่บริษัทกระจกไทย-อาซาฮี, คาร์เปทอินเตอร์เนชั่นแนล, ไทย-เยอรมันเซรามิค, โรแยลซีรามิค, สหโมเสคอุตสาหกรรม, ไทยผลิตภัณฑ์ยิปซั่ม, อุตสาหกรรมพรมไทย และอเมริกันสแตนดาร์ด
ในความเห็นของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ส่วนใหญ่มองว่าปัจจัยหนุนอันสำคัญ ที่จะส่งเสริมให้หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างกลับมาเด่นได้อีกครั้งไม่ใช่เรื่องของภาวะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่อาจจะบูมขึ้นมาใหม่ แต่เป็นเรื่องของการที่ประเทศไทยยังขาดแคลนระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานอยู่อีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเรื่องของถนนหนทาง รวมทั้งระบบขนส่งมวลชน
โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2534 เป็นต้นไป โครงการขนาดใหญ่ที่ภาครัฐบาลจำเป็นจะต้องเร่งก่อสร้าง เช่น โครงการทางด่วนระยะที่ 2, โครงการทางรถไฟยกระดับของกลุ่มโฮปเวลล์, โครงการทางยกระดับคร่อมถนนวิภาวดีรังสิต ของกลุ่มดอนเมืองโทลล์เวย์ และโครงการรถไฟลอยฟ้าของกลุ่มลาวาลิน จำเป็นต้องใช้วัสดุก่อสร้างหลัก เช่นปูนและเหล็กเส้นเป็นจำนวนมากแทบทั้งสิ้น
ก่อนหน้าที่จะเกิดสงครามอ่าวเปอร์เซีย ในประเทศไทยเคยเกิดภาวะขาดแคลนวัสดุก่อสร้างอย่างรุนแรงมาแล้วครั้งหนึ่ง จนรัฐบาลจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือโดยการออกนโยบายลดภาษีการนำเข้าเหล็กเส้น, เหล็กแท่ง รวมทั้งปูนซีเมนต์ มาจนถึงปัจจุบัน และก็ได้ต่ออายุการลดภาษีดังกล่าวออกไปจนถึงเดือนเมษายนปีหน้า
ซึ่งถ้าหากโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐเริ่มต้นเดินหน้า ภาวะการขาดแคลนดังกล่าวก็ยิ่งน่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้น
กิตติพงษ์ สมิทธ์ศราการย์ ผู้จัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์กองทุนรวม จำกัด มองว่าภาวะขาดแคลนวัสดุก่อสร้างหลักเช่นนี้น่าจะกินระยะเวลาต่อไปได้อีกไม่ต่ำกว่า 2 ปี ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้ย่อมส่งผลดีต่อบริษัทผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างหลักที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพราะเป็นช่วงที่โครงการขยายกำลังการผลิตของหลายบริษัทเริ่มเดินเครื่องแล้ว
"อย่างปูนกลางนั้น โรงงานส่วนขยายอีกเกือบ 1 ล้านตันเขาจะสร้างเสร็จประมาณกลางปีนี้ ซึ่งจุดนี้จะมีผลต่อรายได้ในงวดไตรมาสที่ 3 และ 4 ที่ปรากฏในงบการเงินของเขาจะต้องเพิ่มสูงขึ้น" กิตติพงษ์ยกตัวอย่าง
ดร.ธรรมนูญ อานันโทไทย ผู้แทนสำนักงานตัวแทนบริษัทโนมูระซีเคียวริตี้ ประจำประเทศไทย ให้ความเห็นสอดคล้องเช่นกันว่าแนวโน้มของอุตสาหกรรมผลิตวัสดุก่อสร้างหลักที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศมีโอกาสจะขยายตัวสูงมากโดยเฉพาะในช่วง 2 ปีหลังจากนี้ที่รัฐบาลเริ่มเดินหน้าก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันภาวะการก่อสร้างโดยทั่วไปก็ยังมีลักษณะที่บูมอยู่
ในความเห็นของผู้จัดการกองทุน และนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ทั้ง 2 ท่านนั้นสอดคล้องกันว่า แนวโน้มของอุตสาหกรรมนี้ ผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างหลักอย่างเช่นปูนซีเมนต์ หรือเหล็กค่อนข้างจะมีโอกาสที่จะขยายตัวได้ดีกว่าผู้ผลิตวัสดุประเภทตกแต่งภายใน เพราะไม่ว่าจะผลิตออกมาได้เท่าใด ก็สามารถขายได้หมด
อย่างไรก็ตาม สำหรับบริษัทผู้ผลิตเครื่องตกแต่งภายใน ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอนาคต เพราะปริมาณความต้องการใช้ ก็มีอัตราการขยายตัวไม่แพ้วัสดุก่อสร้างหลัก และในขณะเดียวกัน แทบทุกบริษัทก็ได้มีการขยายกำลังการผลิตของตนเองเพื่อรองรับกับความต้องการดังกล่าวไว้เรียบร้อยแล้วทั้งสิ้น
"แต่ถ้าจะให้จัดลำดับความน่าสนใจผมมองว่าปูนกับเหล็กเส้น น่าจะมาเป็นอันดับ 1 รองลงมาก็ได้แก่พวกเซรามิก พรม และพวกวัสดุอื่น ๆ" กิตติพงษ์กล่าวเรียงอันดับความน่าสนใจลงทุน
จากการประมวลความเห็นจากบรรดานักวิเคราะห์ในตลาดหุ้นบ่งชัดถึงความเชื่อมั่นในหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง น่าจะกลับเฟื่องฟูขึ้นมาตามดัชนีปัจจัยพื้นฐานของอุตสาหกรรมการลงทุนของตลาดภาครัฐบาล
|