Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มิถุนายน 2545








 
นิตยสารผู้จัดการ มิถุนายน 2545
รพ.บำรุงราษฎร์ The 1st Medical Services Exporter             
โดย ปัณฑพ ตั้งศรีวงศ์
 

   
related stories

ชัย โสภณพนิช "ผมยังรีไทร์ไม่ได้"
กรุงเทพประกันภัย The Regional Insurance Company

   
www resources

โฮมเพจ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

   
search resources

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
ชัย โสภณพนิช




การที่หุ้นของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ถูกตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดเข้าไปอยู่ในหมวดของบริษัทที่กำลังอยู่ระหว่างการฟื้นฟูกิจการ มิได้มีความหมายว่าฐานะของโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ไม่มั่นคง

ตรงกันข้าม ฐานะและผลการดำเนินงานของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มียอดรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะระหว่างปี 2542 กับ 2544 ซึ่งเป็นช่วงที่ธุรกิจส่วนใหญ่ยังอยู่ในภาวะ วิกฤติ แต่รายได้ของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์กลับเพิ่มขึ้นถึง 44.48%

1 ใน 3 หรือประมาณ 32% ของรายได้เหล่านี้ เป็นรายได้จากการให้การรักษาพยาบาลกับชาวต่างประเทศ

ธุรกิจของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ทุกวันนี้ จึงไม่ใช่เป็นผู้ให้บริการทางการแพทย์แก่คนไทยเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเสมือนผู้ส่งออกบริการทางการแพทย์ให้กับลูกค้าชาวต่างชาติถึงกว่า 2 แสนคน จาก 140 ประเทศทั่วโลก

และเป็นผู้ส่งออกรายแรก และรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

"ปัญหาของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มีเพียงอย่างเดียวคือ เงินกู้จำนวน 54 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่เรากู้มาตอนมีโครงการสร้างตึกใหม่ เพราะเมื่อตึกนี้เปิดมาได้ไม่ถึงปี มีการประกาศลอยตัวค่าเงินบาท วงเงินกู้ก้อนนี้ก็สูงขึ้นทันที 30-40%" ชัย โสภณพนิช ประธานกรรมการโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์บอก

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เป็นธุรกิจของตระกูลโสภณพนิชอีกแห่งหนึ่ง ที่ชัยได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลมาตั้งแต่ต้น

โรงพยาบาลแห่งนี้ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2523 ทำเลที่ตั้งซึ่งอยู่ในย่านถนนสุขุมวิท ถือเป็นจุดเด่นสำคัญจุดแรกของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เพราะเป็นโรงพยาบาล เอกชนเพียงไม่กี่แห่งที่ตั้งอยู่ใจกลางย่านผู้อยู่อาศัยที่มีฐานรายได้สูง

ปีที่แล้ว โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีรายได้รวม 3,069.94 ล้านบาท อยู่ในอันดับ 115 ของบริษัทที่มีรายได้รวมสูงสุดในตลาดหลักทรัพย์ฯ และผลประกอบการเริ่มกลับมามีกำไรติดต่อกันเป็นปีที่ 2 หลังจากประสบปัญหาขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างรุนแรง ในปี 2540-2542

การขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนครั้งนั้น เกิดขึ้นจากการกู้เงินเข้ามาเพื่อสร้างตึก ใหม่ ที่เริ่มขึ้นในปี 2539 ซึ่งเป็นโครงการที่ชัยยอมรับว่าเขา "เสียรู้"

โครงการสร้างตึกใหม่เป็นผลจากการร่วมทุนระหว่างโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กับบริษัทรับบริหารโรงพยาบาลรายหนึ่งจากสหรัฐอเมริกา โดยการตั้งบริษัทบำรุงราษฎร์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ ขึ้นเป็นผู้ดำเนินการ

โดยส่วนตัวชัยเห็นว่าโครงการนี้ เป็นโครงการที่ดี และเมื่อนำโครงการนี้ไปเสนอขอเงินกู้จาก International Finance Corporation (IFC) ในเครือธนาคารโลก IFC ยังเห็นชอบ และยอมปล่อยเงินกู้ให้ 54 ล้านดอลลาร์

"เราเป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกที่เขาปล่อยเงินกู้ให้"

อาคารหลังใหม่สร้างเสร็จ และเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มกราคม 2540 แต่หลังจากเปิดได้ไม่นาน ปรากฏว่า บริษัทผู้ร่วมทุนจากสหรัฐอเมริกา เกิดเปลี่ยนนโยบาย โดยจะขายหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัทบำรุงราษฎร์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ ออกทั้งหมด โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์จึงจำเป็นต้องเข้าไปซื้อหุ้นล็อตดังกล่าวคืนมา

"เราใช้สิทธิ์ขอซื้อคืน และเราต้องไปกู้เป็นดอลลาร์ซื้อหุ้นกลับมา แต่ระหว่าง ที่กำลังเจรจากับผู้ถือหุ้นรายใหม่อยู่ ก็มีการลดค่าเงิน"

ปี 2540 โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มีผลประกอบการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนถึง 2,544.77 ล้านบาท และยังขาด ทุนต่อเนื่องมาจนถึงปี 2542

"ตอนนั้นเรายอมรับว่าเป็นเรื่องที่เราเสียรู้ เพราะถ้าเรารู้ก่อนว่าเขาจะลงทุน กับเราไม่นาน โอกาสที่เราจะถอนตัวทันมันก็มี หรือเราอาจจะกำหนดเวลาไว้ในสัญญาร่วมทุนก่อนเลยว่าเขาจะต้องถือหุ้นไว้กี่ปี ห้ามขาย"

ในปี 2543 โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้บรรลุข้อตกลงในการเจรจาปรับโครง สร้างหนี้กับเจ้าหนี้รายใหญ่ 2 ราย คือ IFC และธนาคารกรุงเทพ โดยเจ้าหนี้ยอมยืดระยะเวลาการชำระหนี้ และมีการแปลงหนี้ บางส่วนเป็นทุน ทำให้ปัจจุบัน IFC และธนาคารกรุงเทพเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่รายหนึ่งในโรงพยาบาลแห่งนี้

การลอยตัวเงินบาทในปี 2540 นอกจากมีผลทำให้โรงพยาบาลบำรุง ราษฎร์ต้องประสบกับปัญหาขาดทุนเป็นจำนวนมากแล้ว ในทางกลับกันยังเป็นผลให้โรงพยาบาลแห่งนี้ต้องปรับปรุงนโยบายรับคนไข้ และได้กลายมาเป็นผลดีอย่างยิ่งในภายหลัง

ก่อนปี 2540 โรงพยาบาลบำรุง ราษฎร์ มีคนไข้ที่เป็นชาวต่างประเทศอยู่บ้างแล้ว แต่เป็นชาวต่างประเทศที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ในย่านสุขุมวิท โดยสัดส่วนรายได้จากคนไข้ชาวต่างประเทศขณะนั้นอยู่ประมาณ 18% จากรายได้ทั้งหมด

การเปลี่ยนแปลงค่าเงินทำให้สัดส่วนคนไข้ที่เป็นคนไทยลดลง โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์จึงจำเป็นต้องเพิ่มสัดส่วนคนไข้ที่เป็นชาวต่างประเทศให้มากขึ้น

"ช่วงที่วิกฤติใหม่ๆ คนไข้คนไทยหลายคนไม่มาใช้บริการของเรา เพราะอาจจะเห็นว่าแพงไป หรือบางคนประหยัด ไปหาโรงพยาบาลเอกชนที่ถูกกว่า สัดส่วนคนไข้คนไทยของเราตอนนั้นลดลงไปประมาณ 20% ดังนั้นเราจึงไปเน้นคนต่างชาติ"

การขยายตลาดไปยังลูกค้าชาวต่างประเทศทำหลายวิธีการ วิธีการหนึ่งคือ การออกไปตั้งสำนักงานตัวแทนในประเทศที่เป็นเป้าหมาย โดยเฉพาะประเทศในแถบเอเชียตะวันตก เช่น บังกลาเทศ เนปาล และญี่ปุ่น โดยชูจุดขายด้านคุณภาพการให้การรักษาพยาบาลที่ได้มาตรฐานระดับสากล

ช่วงเปิดตึกใหม่ๆ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้ดึงตัวคนไทยซึ่งไปประกอบอาชีพแพทย์อยู่ในสหรัฐอเมริกา ให้กลับเข้ามาทำงานด้วยถึง 12 คน แพทย์กลุ่มนี้ใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐอเมริกามานาน จนรู้ว่ามาตรฐานการให้การรักษาพยาบาลของที่นั่นเป็นอย่างไร

และแพทย์กลุ่มนี้ ก็ถือเป็นจุดขายสำคัญอีกจุดหนึ่ง

การขยายตลาดคนไข้ไปยังต่างประเทศของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ถือว่าเดินมาได้ถูกทาง เพราะจำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 18% ในปี 2540 เป็น 32% ในปี 2544

ในจำนวนคนไข้ 32% ที่เป็นชาวต่างประเทศนั้น 1 ใน 3 เป็นคนไข้ที่เดินทางเข้ามาเพื่อรับการรักษาในโรงพยาบาลโดยตรง ส่วนที่เหลือเป็นชาวต่างประเทศที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย

คนไข้ที่มาจากต่างประเทศโดยตรง มาจากหลายแห่ง ทั้งจากในเอเชีย ยุโรป สหรัฐ อเมริกา แต่ที่มากที่สุดเป็นบังกลาเทศ เนปาล และญี่ปุ่น รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ลาว เขมร เวียดนาม และพม่า

โดยเฉพาะลูกค้าจากเนปาล ปรากฏว่าครอบครัวของกษัตริย์พิเรนทรา ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตทั้งครอบครัวเมื่อปี 2543 ก็เป็น 1 ในคนไข้ที่เดินทางเข้ามารักษากับโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เป็นประจำก่อนที่จะเสียชีวิต

ผลจากความสำเร็จในการขยายตลาดคนไข้ชาวต่างประเทศ ทำให้โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำเป็นต้องปรับปรุงคุณภาพการให้การรักษาพยาบาล และการบริการให้มีความแตกต่างจากโรงพยาบาลเอกชนอื่นๆ

ความแตกต่างทางด้านกายภาพ บรรยากาศภายในห้องโถงรับแขกด้านล่าง ถูกจัดให้มีสภาพเหมือนโรงแรมมากกว่าโรงพยาบาล รวมทั้งมีการเปิดพื้นที่ให้ธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง เช่น ร้านอาหาร ร้านหนังสือ และแฟรนไชส์ฟาสต์ฟูดชื่อดัง ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างเช่นร้านแมคโดนัลด์เข้ามาเช่า เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้ กับญาติของคนไข้

ในด้านของมาตรฐานการรักษาพยาบาล โรงพยาบาลได้นำระบบคอมพิว เตอร์เข้ามาใช้ในการเก็บประวัติคนไข้ รวมถึงการสั่งการรักษาพยาบาลของแพทย์ โดยแพทย์ทุกคนจะถูกบังคับให้บันทึกการรักษาพยาบาล และการสั่งยาลงไปในคอม พิวเตอร์ แทนที่จะใช้วิธีเขียนลงในชาร์ต อย่างโรงพยาบาลอื่น

"เราต้องยอมรับว่าคนธรรมดา 9 ใน 10 คนจะอ่านลายมือของหมอไม่ออก"

ปัจจุบันแพทย์ในโรงพยาบาลบำรุง ราษฎร์ มีประมาณ 600 คน ในจำนวนนี้ เป็นแพทย์ที่ถูกดึงตัวกลับมาจากสหรัฐ อเมริกา 16 คน

ระบบการแบ่งรายได้ระหว่างแพทย์ กับโรงพยาบาล คือแพทย์เกือบทั้งหมด ไม่มีเงินเดือนประจำ แต่มีรายได้จากค่าแพทย์ เมื่อได้ออกตรวจคนไข้ ซึ่งในส่วนนี้โรงพยาบาลจะหักไว้เป็นรายได้ของโรงพยาบาล ในสัดส่วน 15%

"หมอที่กินเงินเดือนประจำขณะนี้มีอยู่เพียง 2-3 คน ซึ่งพวกนี้เราจะจ่ายให้เขาในช่วงแรกเพียง 2 ปีเท่านั้น หลังจากนั้นเขาจะต้องมีรายได้เองจากค่าแพทย์เวลาออก ตรวจ"

ระบบนี้ นอกจากจะเป็นการกระตุ้นให้แพทย์ต้องทำงานเพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นการสร้างแรงจูงใจให้แพทย์จำเป็นต้องเพิ่มคุณภาพของการให้การรักษาพยาบาล เพื่อดึงให้คนไข้มาใช้บริการเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง

"หากคนไข้คนหนึ่งที่มาครั้งแรกพบกับหมอคนหนึ่ง แล้วเมื่อมาครั้งต่อไปขอเปลี่ยน หมอ เขาก็ต้องกลับไปคิดดูแล้วว่าเกิดจากอะไร"

เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เพิ่งจะได้รับใบรับรองคุณภาพ จากสถาบันรับรองคุณภาพโรงพยาบาลสากล (JCIA) ซึ่งเป็นองค์กรภายใต้คณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อการรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (The Joint Commission on Accreditation of Healthcare Organization : JCAHO) จากสหรัฐอเมริกา

องค์กรนี้เป็นองค์กรอิสระที่ไม่หวังผลกำไร ก่อตั้งมาแล้วเป็นเวลา 75 ปี มีหน้าที่ตรวจสอบ และให้ใบรับรองมาตรฐานแก่สถานพยาบาลจำนวน 18,000 แห่งในสหรัฐ อเมริกา และในอีก 40 ประเทศทั่วโลก

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เป็นโรงพยาบาลแห่งแรกในเอเชียที่ได้ใบรับรองคุณภาพ ฉบับนี้ ซึ่งเป็นผลดีอย่างยิ่งต่อการขยายตลาดคนไข้ในต่างประเทศในอนาคต

ศ.นพ.จรัส สุวรรณเวลา ประธานกรรมการบริหาร สถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาลของไทย ได้กล่าวในงานรับมอบใบรับรองคุณภาพของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ครั้งนี้ว่า แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยได้รับการยอมรับจากสากลในเรื่องของคุณภาพของการพัฒนาทางการแพทย์ และเป็นการแสดงความพร้อมที่ประเทศไทยจะให้บริการทางการแพทย์เป็นสินค้าออก

หากเปรียบเทียบกับโรงพยาบาลเอกชนรายอื่นๆ ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว รูปแบบการขยายตัวของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

ขณะที่โรงพยาบาลเอกชนอื่นๆ เน้นการขยายตัวโดยการสร้างเชน หรือขยายการลงทุนออกไปตั้งสาขายังต่างจังหวัด ซึ่งต้องอาศัยระยะเวลาในการคืนทุนค่อนข้างนาน แต่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เน้นการขยายคุณภาพงานในจุดที่ตั้งแต่ขยายตลาดออกไปยังต่างประเทศ

แนวทางการขยายตัวเช่นนี้ เชื่อว่าอีกไม่นาน โรงพยาบาลเอกชนอีกหลายแห่งก็ต้องเดินตาม เพราะรายได้ที่ได้รับคืนมา มีส่วนในการดึงเงินตราเข้าประเทศ ขณะที่ผล ตอบแทนจากการลงทุนใช้ระยะเวลาคืนทุนสั้นกว่า แต่มีส่วนต่างของกำไรที่สูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด

การที่หุ้นของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ถูกจัดอยู่ในหมวดบริษัท ที่อยู่ระหว่างการฟื้นฟูกิจการแทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us