Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กุมภาพันธ์ 2534








 
นิตยสารผู้จัดการ กุมภาพันธ์ 2534
แล้วเราก็พบกัน..             
 


   
search resources

Health




การที่ลูกมากเป็นปัญหา แต่ไม่มีเสียเลยก็เป็นปัญหาอีกเหมือนกัน เพราะเหมือนชีวิตคู่จะขาดอะไรไปบางอย่างที่จะเติมความเป็นครอบครัวให้สมบูรณ์ ยกเว้นคนที่คิดว่า ในโลกนี้ไม่น่าอยู่ หรือเผ่าพันธุ์ของตนนั้นไม่เหมาะกับสังคม ก็จะไม่เข้าใจว่า อยากจะมีลูกไปทำไม

ประมาณกันอย่างคร่าว ๆ จากประสบการณ์ของแพทย์ที่ทำมาหากินกับการขยายเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ คู่สมรสราว ๆ 15% จะมีปัญหาในเรื่องการมีบุตรยาก และใน 15% นี้จัดอยู่ในประเภทมีสตางค์ อาจจะไม่ร่ำรวย แต่ก็เป็นกลุ่มที่มีอาชีพการงานมั่งคั่ง เข้าข่ายชนชั้นกลาง

แต่จะสรุปว่าคนจนขยายพันธุ์ได้ดีกว่าคนรวย ก็ไม่ถูกต้องนัก เรื่องแบบนี้คงไม่เกี่ยวข้องกับฐานะทางชนชั้น เพียงแต่ว่า คนหาเช้ากินค่ำนั้นอาจจะไม่รู้สุกทุกข์ร้อนสักเท่าไรกับการไม่มีลูกเพราะมีปัญหาอื่นอีกมากมายให้ฝ่าฟัน หรือถ้าอยากจะมีจริง ๆ ก็คงหันไปพึ่งพาเจ้าพ่อเจ้าแม่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ซึ่งประหยัดกว่าการปรึกษาแพทย์ ส่วนคนรวยนั้นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อมีความพร้อมทางด้านอื่น ๆ ก็อยากจะมีลูกไว้สืบสกุล ถ้าไม่มีก็ต้องดิ้นรนหาทางทำให้มีให้ได้

คำจำกัดความอย่างกว้าง ๆ ในทางการแพทย์ สำหรับคนที่มีลูกยาก ก็คือ คู่สมรสที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ แต่งงานอยู่กินกันอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยหนึ่งปี โดยที่ไม่ได้คุมกำเนิด แล้วไม่สามารถจะมีบุตรได้

คนเราจะสามารถตั้งครรภ์มีลูกได้นั้น เกิดจากเชื้ออสุจิของฝ่ายชาย เจาะเข้าไปในไข่ของฝ่ายหญิง แล้วผสมกันเกิดการปฏิสนธิ เป็นตัวอ่อนฝังตัวในโพรงมดลูกการมีลูกยากนั้นก็เป็นเพราะเชื้ออสุจิไม่สามารถโคจรพบกับไข่เพื่อให้เกิดการปฏิสนธิได้

สาเหตุนั้น เป็นได้จากทั้งสองฝ่าย คือในฝ่ายชายอาจจะมีเชื้ออสุจิน้อยไป หรือมีไม่น้อย แต่ตัวอสุจิไม่แข็งแรง หมดกำลังเสียก่อนที่จะไปถึงเส้นชัย หรืออาจจะเป็นเพราะติดเชื้อไวรัสหนองในเทียม ซึ่งไปขัดขวาง การสร้างสเปิร์ม อีกสาเหตุหนึ่ง ที่เพิ่งค้นพบกันเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยเป็นการศึกษาของแพทย์ไทยที่ได้รับการยอมรับจากวงการแพทย์ ในต่างประเทศก็คือได้รับสารพิษโดยเฉพาะสารตะกั่วเข้าไปสะสมร่างกาย จนค่าของตะกั่วในเลือดสูงมากเป็นตัวเข้าไปขัดขวางสร้างสเปิร์มเช่นเดียวกัน

ส่วนสาเหตุที่มาจากฝ่ายหญิงนั้น มีอยู่หลายอย่าง คือ ฮอร์โมมนเพศผิดปกติ เช่นรังไข่ ทำงานไม่สม่ำเสมอ หรือไม่มีไข่ตก สาเหตุต่อมา คือมีพังผืดในอุ้งเชิงกราน ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ หรืออาการอักเสบของปีกมดลูก แล้วไม่ได้รักษาให้หายขาด พังผืดในอุ้งเชิงกรานนี้จะขัดขวางการเดินทางของไข่และสเปิร์ม

นอกจากนั้นแล้ว ยังอาจเกิดจากเยื่อบุโพรงมดลูกอยู่ผิดที่ แทนที่จะอยู่ในโพรงมดลูก ก็ออกมาอยู่ข้างนอก เป็นตัวขัดขวางการผสมของไข่

อีกสาเหตุหนึ่งที่พบมาก ทั้งในฝ่ายชายและหญิง คือทุกอย่างปกติแต่ก็ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ โดยที่หาสาเหตุไม่พบ

เมื่อสเปิร์มไม่สามารถเดินทางไปพบไข่ภายในร่างกายของฝ่ายหญิงได้ วิทยาการการแพทย์สมัยใหม่ ก็ก้าวหน้าถึงขั้นทำหน้าที่พ่อสื่อจับทั้งสองฝ่ายมาเจอข้างนอกเสียก่อน อย่างที่เรียกกันว่าผสมเทียม

การผสมเทียมแบบแรกที่เรารู้จักนั้นคือวิธีการที่เราเรียกว่าเด็กหลอดแก้ว คือเอาเชื้ออสุจิ กับไข่มาผสมกันข้างนอก จะใส่ในหลอดแก้ว หรือชามอ่างก็แล้วแต่ หลังจากนั้นก็ฉีดกลับเข้าไปในโพรงมดลูก

คำว่าเด็กหลอดแก้วนั้น ไม่ได้หมายความว่า เด็กโตขึ้นมาในหลอดแก้ว เพราะไม่มีสภาวะแวดล้อมของมารดาได้ เพียงแต่ว่าหลังจากปฏิสนธิแล้ว ตัวอ่อนจะถูกเลี้ยงไว้ในหลอดแก้ว หรือจานแก้วเพียงสองสามวัน ก่อนจะใส่กลับเข้าไปในตัวแม่

อีกวิธีหนึ่งที่นิยมกันมากในขณะนี้ คือวิธีที่เรียกกันว่า gift technique เป็นการเอาไข่มาผสมกับอสุจิ ข้างนอกเหมือนกัน ความแตกต่างระหว่างเด็กหลอดแก้วกับ gift technique นั่นคือ วิธีการแบบเด็กหลอดแก้วการปฏิสนธิจะเกิดขึ้นข้างนอก กล่าวคือ หลังจากการผสมกันแล้วเชื้ออสุจิ จะเจาะเข้าไปหาไข่ โดยใช้เวลา 8-16 ชั่วโมง เจาะเข้าไปถึงไข่เมื่อไร ก็จะเกิดการปฏิสนธิขึ้นเป็นตัวอ่อน ซึ่งจะถูกฉีดกลับเข้าไปฝังตัวในโพรงมดลูกเพื่อให้เติบโตต่อไปในครรภ์ของฝ่ายหญิง

ในขณะที่ gift technique นั้นเป็นเพียงการนำไข่กับเชื้ออสุจิมาผสมกันภายใต้เงื่อนไขแวดล้อมที่แพทย์สร้างขึ้นให้เหมาะสม เมื่อผสมกันแล้ว ยังไม่เกิดการปฏิสนธิ เพราะเชื้ออสุจิต้องใช้เวลาเจาะเข้าไปหาไข่ แพทย์ก็จะเจาะบริเวณสะดือของฝ่ายหญิง เพื่อนำไข่ที่ผสมเชื้อแล้วไปวางไว้ที่ท่อนำไข่ซึ่งเป็นตำแหน่งที่จะเกิดตัวอ่อนภายในร่างกาย

ความแตกต่างระหว่างเด็กหลอดแก้ว กับ gift technique จึงอยู่ที่อย่างแรกนั้น การปฏิสนธิ เกิดขึ้นข้างนอกร่างกาย อย่างหลังการปฏิสนธิเกิดขึ้นข้างในท่อนำไข่ ความสำเร็จครั้งแรก จากการตั้งครรภ์ที่เกิดจากาการทำ gift เป็นผลงานของสูติแพทย์ชาวอเมริกัน ricardo asch เมื่อปี 2527 หลังจากนั้น ก็เริ่มแพร่หลายเข้ามาในประเทศไทยเมื่อสามปีก่อน โรงพยาบาลตำรวจเป็นแห่งแรกที่รายงานความสำเร็จในเรื่องนี้ต่อวิทยาลัยสูตินารีแพทย์แห่งประเทศไทย เมื่อปีที่แล้ว

จนถึงวันนี้ ในประเทศไทยมีเด็กที่เกิดมาจากวิธีนี้แล้วประมาณ 20 กว่าคน และทุกคนปกติ เป็นเด็กที่เกิดตามวิธีธรรมชาติ คุณแม่ 2 ราย ในจำนวนนี้ อายุปาเข้าไปถึง 44 ปีแล้ว ตอนที่คลอดเด็กออกมา

วิธีการทำ gift แพทย์จะตรวจฮอร์โมน ตรวจเลือดดูว่าไข่ตกเมื่อไร เพื่อที่จะได้ตามไปเก็บไข่ให้ทันเวลา ปกติแล้วผู้หญิงจะตกไข่เดือนละหนึ่งฟอง เพื่อให้ได้ผลแน่นอนที่สุด จะต้องเร่งฉีดยาเร่งไข่ ให้ตกถึงสี่ฟอง จะได้มีโอกาสคัดเลือกมาก

สำหรับฝ่ายชายไม่ค่อยยุ่งยาก ถ้าเชื้ออสุจิอ่อนก็ต้อง กินยา ฉีดยา เชื้อแข็งแรง พอถึงวันฝ่ายหญิงพร้อม ก็เก็บเชื้อจากผู้ชายก่อน นำไปคัดเลือกเอาตัวที่แข็งแรงในห้องแล็บ เสร็จแล้วก็ดูดไข่ออกจากท่อนำไข่ เอามาวัดเฉพาะที่ดีที่สุด แล้วใส่ทั้งไข่กับเชื้ออสุจิกลับเข้าไปในท่อนำไข่เพื่อให้ปฏิสนธิต่อไปตามธรรมชาติ

เปรียบเทียบกับวิธีการเด็กหลอดแก้วแล้ว การทำgift มีความยุ่งยาก ซับซ้อนและสิ้นเปลืองน้อยกว่า แต่ว่ามีโอกาสสำเร็จมากกว่า แพทย์จะใช้วิธีเด็กหลอดแก้วก็ต่อเมื่อฝ่ายหญิงนั้นท่อนำไข่ใช้ไม่ได้ทั้งสองข้าง

หลังจากฉีดไข่กลับเข้าไปในท่อนำไข่แล้ว อีกสองอาทิตย์ก็จะรู้ว่าตั้งครรภ์หรือไม่ โอกาสสำเร็จนั้นมีอยู่แค่ 30% เท่านั้น เพราะไม่ใช่ว่าเกิดการปฏิสนธิแล้วจะเสร็จเรียบร้อย กระบวนการที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือตัวอ่อนนั้นจะฝังตัวในโพรงมดลูกเพื่อรับอาหารจากแม่ได้หรือไม่

ถึงแม้วิทยาการการผสมเทียมจะก้าวหน้าไปแค่ไหน คนเราก็ยังไม่สามารถเข้าใจธรรมชาติได้ทั้งหมด ปัญหาที่ยังขบกันไม่แตกคือ ทำไมตัวอ่อนจึงไม่ฝังตัวในโพรงมดลูก อันเป็นเหตุให้โอกาสสำเร็จมีแค่สามในสิบเท่านั้น

สำหรับค่าใช้จ่ายเฉพาะค่ายา ค่าตรวจ ค่าเครื่องมือเพียงอย่างเดียวยังไม่รวมค่าวิชาของหมอ ตกประมาณ 20,000 บาท ซึ่งไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับคนที่มีลูกอยากมีลูก ก็ต้องลงทุนกันหน่อย แต่ต้องทำใจไว้ล่วงหน้าว่าโอกาสสำเร็จมีแค่ 30% เท่านั้น แม้กระนั้นถ้าครั้งแรกไม่สำเร็จจะทำต่อไปอีกกี่ครั้งก็ได้ ถ้ามีความอดทนและมีสตางค์   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us