|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ กุมภาพันธ์ 2534
|
|
Bank for international Sattlements BIS ได้ตกลงกันที่กรุงบราซิลเพื่อกำหนดให้สิ้นปี 1992 เป็นเส้นตายที่แบงก์ต่าง ๆ ทั่วโลก ต้องเร่ทำให้สัดส่วนทุนต่อสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงไม่ต่ำกว่า 8% โดยอัตราส่วนทุนประเภทที่ 1 หรือทุนหลัก (core capital) ไม่ต่ำกว่า 42% การกำหนดองค์ประกอบของทุนประเภทที่1. ทุนประเภทที่ 2 และองค์ประกอบของการคำนวณ ความเสี่ยงคือ สาเหตุที่ทำให้มีการประชุมคณะกรรมการผู้ออกกฎด้านอุตสาหกรรมแบงก์ และผู้ออกข้อปฏิบัติต่าง ๆ ของบีไอเอส ที่กรุงบราเซล โดยมีปีเตอร์ คุ๊ก เป็นประธาน
บีไอเอส ยังกำหนดระยะเวลาการปฏิบัติตามข้อกำหนด อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยกำหนดช่วงปี 1990-1991 เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะทำตามกฎอย่างสมบูรณ์ในสิ้นปี 1992
แต่เดิมนั้น แบงก์ชั้นนำส่วนใหญ่เชื่อว่า จะสามารถทำตามกฎของบีไอเอส ได้ก่อนปี 1992 โดยไม่จำเป็นต้องเดินตามขั้นตอนอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทว่าเมื่อแบงก์เหล่านี้ ต้องเผชิญสภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากตลาดหุ้นที่ทรุดดิ่งในปี 89 และวิกฤตการณ์ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในปี 90 ก็ทำให้แบงก์ต่าง ๆ จำเป็นต้องยอมเดินตามการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป
การเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปดังกล่าวก็คือ ในขั้นแรก บีไอเอส จะยอมให้นับรวมองค์ประกอบของทุนประเภทที่ 2 หลาย ๆ องค์ประกอบ ยังสามารถเข้าเป็นทุนประเภทที่ 1 ได้ นอกจากนี้ กำไรจากการถือหลักทรัพย์ของแบงก์ญี่ปุ่น ซึ่งไม่แสดงในงบดุล ก็ถือว่าเป็นทุนประเภทที่ 1 เช่นเดียวกับหนี้สิน แบบซับออดิเนท ( subbordinated debt) ของแบงก์สหรัฐ
นอกจากนี้ในช่วงแรก บีไอเอส ยังยอมโอนอ่อนในเรื่องโครงสร้างของทุนทั้ง 2 ประเภทด้วย กล่าวคือ อันที่จริงแล้วทุนประเภทที่ 1 นั้นหมายถึง ส่วนของผู้ถือหุ้นสามัญ หรือผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิ์มีเสียงในการบริการ และเป็นผู้ที่ต้องแบกรับยอดขาดทุนของแบงก์ หากแบงก์ประสบปัญหา แต่บีไอเอส ยังยอมให้รวมเอาองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น เงินสำรองในรูปของส่วนเกินทุน (Capital surplus) และกำไรสะสม โดยทุนสำรองดังกล่าวจะ ต้องมีการเปิดเผยรายละเอียดและจะต้องไม่มีการนำเงินทุนสำรองที่ไม่แสดงในงบดุลมาคิดรวม
อยู่ด้วย
อย่างไรก็ตาม หุ้นบุริมสิทธิ์ชนิดไม่สะสมเงินปันผลนั้น ไม่อาจรวมอยู่ในทุนประเภทที่ 1 เพราะแม้ว่าหุ้นดังกล่าวจะไม่ได้รับเงินปันผล หากปีใด บริษัท มีกำไรสะสมไม่พอจ่าย แต่ผู้ถือหุ้น บุริมสิทธิ์ ก็ไม่มีสิทธิ์ออกเสียง และไม่ต้องรับผิดชอบต่อผลขาดทุน หากบริษัทประสบปัญหา หรือประสบภาวะล้มละลาย ดังนั้นหุ้นบุริมสิทธิ์จึงมีลักษณะเหมือนหนี้สินมากกว่าหุ้นสามัญ
ทันทีที่มีการแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างทุนประเภทที่ 1 และทุนประเภทที่ 2 บรรดาผู้ออกกฎ ก็มีอิสระเสรีที่จะเซ็นอนุมัติให้ทุนชนิดใดนับรวมเป็นทุนประเภทที่ 2 ได้บ้าง โดยอาศัยการตีความรูปแบบของทุนตามกำหนดเฉพาะของแต่ละประเทศ และด้วยเหตุนี้ จึงทำให้มีการต่อรองกันในระดับประเทศเกิดขึ้นด้วย โดยสำหรับแบงก์ญี่ปุ่นนั้น ยอมให้มีการตีมูลค่าเงินสำรองใหม่ได้ โดยคำนึงถึงกำไรจากการค้าหลักทรัพย์ ซึ่งในงบดุล จะมิได้แสดงเอาไว้ จะแสดงก็แต่เพียงต้นทุนของหลักทรัพย์เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลาย ๆ ประเทศ เช่น เยอรมัน ที่แบงก์ยังพอมีเงินทุนสำรองเท่ากับยอดดั้งเดิม เพราะพวกเขายืนยันว่า จะไม่ยอมให้แบงก์ต่าง ๆ เอารายการอื่น ๆ ที่ไม่เคยเป็นที่ยอมรับมานับรวมเป็นทุนประเภทที่ 2 เหมือนแบงก์ญี่ปุ่น เป็นอันขาด รวมทั้งบีบบังคับให้แบงก์เปิดเผยข้อมูลอย่างเต็มที่ ส่วนหนี้สินแบบซับออดิเนทที่ แบงก์สหรัฐฯ นับรวมเป็นทุนประเภทที่ 1 นั้น เยอรมันนี กลับเป็นทุนประเภทที่ 2
อย่างไรก็ดี เนื่องจากหนี้สิน แบบซับออดิเนท เป็นหนี้สินที่แลเห็นได้ไม่ชัดเจน และมีความผันผวนจึงมีความจำกัดหากจะนำมานับรวมในทุนประเภทที่ 2 โดยจำกัดไว้เพียงไม่เกิน 50% ของทุนประเภทที่ 2 ส่วนกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ถูกจำกัดไว้ไม่เกิน 55% และทุนประเภทที่ 2 นั้นจะต้องไม่เกิน 50% ของทุนทั้งหมด กล่าวคือทุนประเภทที่ 2 จะต้องไม่เกินทุนประเภทที่ 1 นั่นเอง
|
|
|
|
|