Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กรกฎาคม 2531








 
นิตยสารผู้จัดการ กรกฎาคม 2531
CALIBER สำนักงานประกันภัย มองยังไงก็ยังวังเวง             

โดย สมชัย วงศาภาคย์
 


   
www resources

โฮมเพจ สำนักงานประกันภัย (กรมการประกันภัย)

   
search resources

Insurance
สำนักงานประกันภัย




สำนักงานประกันภัยและแบงก์ชาติ ต่างเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบที่เหมือนกัน คือควบคุมดูแลให้สถาบันการเงินมีความมั่นคงและยุติธรรมต่อประชาชน ธุรกิจประกันภัยเป็นสถาบันการเงินประเภทหนึ่งเหมือนแบงก์และบริษัทเงินทุน แต่ในการควบคุมของสำนักงานประกันภัยความไม่ชอบมาพากล ในการลงทุนของบริษัทประกันภัยบางแห่ง ที่ผ่านการตรวจสอบควบคุมดูแลของคนในสำนักงานประกันภัย ได้สร้างคำถามเกิดขึ้นว่า ความหละหลวมที่เกิดขึ้นนี้เป็นเจตนาหรือความหย่อนยานในประสิทธิภาพและคุณภาพของเจ้าหน้าที่ในสำนักงานประกันภัยกันหรืออย่างไร ? และสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ สมควรหรือยังที่สำนักงานประกันภัยจะถูกประเมินสถานภาพเสียใหม่!!

สำนักงานประกันภัย ความจริงว่าไปแล้วก็ออกจะเป็นหน่วยงานที่ลึกลับเอามาก ๆ สำหรับผู้คนโดยทั่ว ๆ ไป อย่างน้อยที่สุดสำหรับผู้คนที่ใช้บริการในธุรกิจประกันภัยจะมีแค่ไหนที่รู้ว่ากรณีความขัดแย้งในค่าสินไหมที่มีขึ้นกับบริษัทประกันภัยซึ่งไม่สามารถตกลงกันได้จะต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานประกันภัยเป็นท้าวมาลีวราชหรือคนกลางที่คอย "เกี้ยะเซี้ย" ให้

จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าบทบาทสำนักงานประกันภัยมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศชาติไม่แตกต่างอะไรกับฝ่ายกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงินของธนาคารชาติ

และคงจะมีผู้คนไม่มากนักที่พอจะรู้ว่าทุกวันนี้ สำนักงานประกันภัยซึ่งมีหน้าที่หลักอยู่ 2 ประการใหญ่ ๆ คือ หนึ่ง-กำกับและตรวจสอบให้บริษัทประกันภัยดำเนินธุรกิจอยู่ในกรอบของกฎหมายประกันภัย พ.ศ.2510 และสอง-ส่งเสริมและพัฒนาให้ธุรกิจประกันภัยเป็นที่รู้จักและนิยมใช้บริการจากประชาชนทั่วไปนั้น....เป็นหน่วยงานระดับ "กรม" ในสังกัดกระทรวงพาณิชย์หาใช่หน่วยงานอิสระที่มีฐานะทางกฎหมายเฉพาะตัวเหมือนกับแบงก์ชาติแต่อย่างใดไม่

ความ "ลึกลับ" ในสถานภาพและบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานแห่งนี้ ประกอบกับข่าวคราวที่หน่วยงานแห่งนี้เปิดเผยกับสื่อมวลชนอย่างสม่ำเสมอ พิจารณาด้วยความเที่ยงธรรมแล้วก็อาจจะระบุ ได้ว่ายังไม่เพียงพอต่อการสร้างความรู้ความเข้าใจในองค์กรแก่ประชาชนระดับกว้างได้

ยิ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ "ผู้จัดการรายสัปดาห์" ได้รายงานข่าวว่าสำนักงานประกันภัยกำลังตระเตรียมกำลังคน เพื่อส่งเข้าไปประจำสำนักงานประกันภัยระดับเขตที่อยู่ต่างจังหวัดซึ่งจะเริ่มเขตแรกจากจำนวน 12 เขต ในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้โดยมีพื้นที่รับผิดชอบสามจังหวัด คือ อุบลราชธานี เชียงใหม่ และหาดใหญ่ ส่วนเขตอื่น ๆ ที่เหลือจะทยอยเปิดในปีถัดไป

เหตุผลนัยว่า เพื่อให้สำนักงานประกันภัยระดับเขตเหล่านี้ทำหน้าที่แทนสำนักงานประกันภัยกรุงเทพฯ ในการควบคุมกำกับให้บริษัทประกันภัยที่มีสาขาอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ ดำเนินธุรกิจไปตาม ตัวบทกฎหมายและสัญญาที่มีกับประชาชนผู้ใช้บริการ ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระในการดูแลและกลั่นกรอง งานจากสำนักงานประกันภัยในกรุงเทพฯ อีกทอดหนึ่ง

ดู ๆ ไปก็คล้าย ๆ กับสำนักงานแบงก์ชาติที่ตั้งสาขาระดับภาคไว้คอยกำกับควบคุมดูแลสาขาสถาบันการเงินในต่างจังหวัดอย่างไรอย่างนั้น

แนวความคิดการจัดตั้งสาขาสำนักงานประกันภัยระดับเขตตามภูมิภาคต่าง ๆ ที่ว่านี้ความจริงมาจากเจ้าหน้าที่ระดับผู้อำนวยการสำนักงานประกันภัยคนก่อนคือ โพธิ์ จรรย์โกมล ที่เสนอไปยังกระทรวงพาณิชย์ต้นสังกัด และเพิ่งจะออกดอกก่อรูปขึ้นในสมัยชูชีพ หาญสวัสดิ์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์และชลอ เฟื่องอารมย์เป็นผู้อำนวยการสำนักงานฯนี้เอง

ว่ากันตามหลักการแนวคิดและวิธีการจัดตั้งสาขาสำนักงานประกันภัยเป็นสิ่งที่ไม่ผิดในความพยายามของผู้อำนวยการสำนักงานประกันภัย ในอันที่จะบริหารงานการกำกับดูแลบริษัทประกันภัย เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนให้มีประสิทธิภาพ

ปัญหามีอยู่เพียงว่าตัวสำนักงานประกันภัยเอง ในความเป็นจริงคุณภาพของเจ้าหน้าที่และระบบโครงสร้างมีความพร้อมเพียงไรต่อบทบาทภาระหน้าที่ที่ขยายตัวออกไปเช่นนี้ และโดยปฏิบัติที่แท้จริงบริษัทประกันภัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทประกันชีวิต (LIFE INSURANCE) การดำเนินธุรกิจเป็นไปในลักษณะกระจายอำนาจลงสู่สาขาอย่างแท้จริงเหมือนกับสถาบันการเงินอื่น ๆ หรือไม่?

ทั้ง ๆ ที่ในวงการผู้ประกอบการธุรกิจประกันภัยเองก็ยอมรับว่าอำนาจของสาขามีอยู่จำกัดมาก การออกกรมธรรม์ก็ดี การจ่ายสินไหมก็ดี หรือแม้แต่การกระจายเงินลงทุนก็ดี ทั้งหมดรวมศูนย์อำนาจการตัดสินใจอยู่ที่สำนักงานใหญ่ในกรุงเทพฯ ทั้งสิ้น

สาขาโดยเนื้อแท้แล้ว เป็นเพียงหน่วยขายและลงบัญชีรายรับ-รายจ่ายประจำวันเท่านั้น ซึ่งว่าไปแล้วบทบาทของสาขาเพียงแค่นี้ ไม่จำเป็นอะไรเลยที่สำนักงานประกันภัยต้องลงทุนตั้งหน่วยงานระดับเขตเพื่อดูแลสาขาบริษัทประกันภัยดังว่าให้สิ้นเปลืองงบประมาณของหลวงเลย

จริงอยู่แม้ว่าบริษัทประกันภัยรายใหญ่ ๆ บางบริษัท เช่น ไทยสมุทร หรือไทยประกัน มีการกระจายอำนาจให้สาขาดำเนินการออกกรมธรรม์ได้และจ่ายค่าสินไหมได้แต่ก็อยู่ในขอบเขตจำกัดมากเหลือเกิน กระนั้นก็ดีบทบาทแท้จริงของสาขาของบริษัทประกันภัยใหญ่ ๆ ที่ว่านี้ก็เป็นเพียงหน่วยขาย เท่านั้น

ผู้เชี่ยวชาญในวงการธุรกิจประกันภัยท่านหนึ่งเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่า ลักษณะธุรกิจประกันภัยไม่ว่าจะเป็น NON-LIFE หรือ LIFE INSURANCE ก็คล้าย ๆ กับ ธุรกิจบริษัทเงินทุนและแบงก์ คือมีการหา FUNDING เข้ามา และนำ FUNDING ไปลงทุนในแหล่งลงทุนธุรกิจต่าง ๆ เพื่อหารายได้

พูดง่าย ๆ บริษัทประกันภัยทำธุรกิจเหมือนเป็นคนกลางเอาเงินของชาวบ้านมาหาผลประโยชน์

อย่างไรก็ดี ในเทคนิควิธีปฏิบัติการดำเนินธุรกิจประกันภัยก็มีความแตกต่าง จากธุรกิจเงินทุนและแบงก์อยู่ 4 ประการเป็นอย่างน้อย...คือ

หนึ่ง-แหล่งที่มาของเงินทุน (SOURCE OF FUNDS) ของบริษัทประกันภัยเกิดจากการขายในกรมธรรม์ชนิดต่าง ๆ โดยมีผลตอบแทนต่อผู้เอาประกันในรูปของการให้ความคุ้มครองตามเงื่อนไขที่ ปรากฏอยู่ในกรมธรรม์ ดังนั้นมองในแง่นี้ผู้เอาประกันก็คือผู้ฝากเงินเหมือนธุรกิจหาเงินฝากของบริษัทเงินทุนหรือแบงก์นั่นเอง โดยบริษัทเงินทุนออกตั๋ว P/N เพื่อกู้ยืมจากผู้ซื้อ P/N โดยบริษัทเงินทุนให้ผลตอบแทนในรูปดอบเบี้ย

สอง-เงื่อนเวลาการระดมเงินทุนจากประชาชนในรูปการขายกรมธรรม์ของบริษัทประกันชีวิต มีผลระยะยาวมากกว่า 3 ปี เว้นแต่กรมธรรม์ประกันภัย NON-LIFE ซึ่งมีช่วงเอาประกันที่มีผลต่อการ คุ้มครองสั้นกว่ามากสูงสุดภายใน 1 ปี เงื่อนเวลานี้ต่างจากบริษัทเงินทุนที่ระดมทุนจากผู้ฝากเงินได้ในเวลาไม่เกิน 3 ปี

สาม- การใช้เงินทุนที่ระดมเข้ามาเพื่อการหาผลประโยชน์ พฤติกรรมการลงทุนของบริษัทประกันภัยก็เหมือนกับบริษัทเงินทุนและแบงก์ คือลงทุนไปในแหล่งธุรกิจต่าง ๆ ที่ให้ผลตอบแทนสูงและ มั่นคง เช่น ตราสารทางการเงินทั้งระยะยาวหรือสั้น ให้กู้ยืมแก่บุคคลหรือนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจการค้าต่าง ๆ โดยอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายเฉพาะที่หน่วยงานควบคุมกำกับกำหนดให้

จุดต่างในประเด็นนี้อยู่ที่ขนาดและเงื่อนไขของการลงทุนของบริษัทประกันค่อนข้างจะจำกัดอยู่มากเมื่อเทียบกับบริษัทเงินทุนหรือแบงก์ (ดูตาราง 1 ประกอบ) เหตุผลสำคัญก็น่าจะอยู่ที่ ลักษณะการระดมทุนของบริษัทประกันภัยมีเงื่อนไขเวลาระยะยาวต่อผู้เอาประกัน การหาผลประโยชน์จากเงินทุนส่วนนี้จึงมุ่งความมั่นคงมากกว่าความสามารถในการทำกำไร

และประการสุดท้าย บริษัทประกันภัยโดยเฉพาะบริษัทประกันชีวิตมีจุดการบริหารที่สำคัญอยู่ที่ การรักษาระดับเงินสำรองจากเงินทุนที่ระดมมาจากประชาชนอย่างเข้มงวดตามกฎเกณฑ์คณิตศาสตร์ประกันภัย ขณะที่บริษัทเงินทุนหรือแบงก์อยู่ที่เงินกองทุนซึ่งไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวแต่ยืดหยุ่นตามปริมาณการให้สินเชื่อ

ดังนั้น ว่ากันตามหลักการกว้าง ๆ แล้วธุรกิจประกันภัยกับบริษัทเงินทุนหรือแบงก์ก็จะคล้ายคลึงกันมากในแง่ลักษณะจุดมุ่งหมายของธุรกิจคือเป็นคนกลางรับบริหารเงินกองทุนของประชาชนให้มีผลตอบแทนและมีความเสี่ยงน้อยที่สุด

ด้วยเหตุนี้ บทบาทของหน่วยงานที่คอยควบคุมและกำกับให้ธุรกิจการเงินทั้งสองประเภทดังกล่าวมีความมั่นคงจึงมีความสำคัญมาก ๆ

ฐานะและระบบโครงสร้างของหน่วยงานอย่างแบงก์ชาติในการกำกับดูแลสถาบันการเงินอย่างแบงก์หรือบริษัทเงินทุน คงไม่กระไรนักในแง่ของคุณภาพของเจ้าหน้าที่ซึ่งดูเหมือน CALIBER ของ เจ้าหน้าที่จะเป็นที่ยอมรับในความรู้ความสามารถ

แหล่งข่าวระดับสูงในสำนักงานประกันภัยให้ความเห็นว่า ฐานะและระบบโครงสร้างของแบงก์ชาติมีความเป็นอิสระในการบริหารงานกำกับและตรวจสอบธุรกิจการเงิน มากกว่าสำนักงานประกันภัยซึ่งฐานะและระบบโครงสร้างเป็นแบบหน่วยงานราชการ แม้แต่...

"การคัดเลือกบุคลากรและการจ่ายผลตอบแทน แบงก์ชาติกระทำได้ด้วยตนเองเพราะไม่ได้พึ่ง งบประมาณจากรัฐ ดังนั้นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานบุคคลและการฝึกอบรม พัฒนาความรู้ และความสามารถของบุคลากรในงานกำกับและตรวจสอบจึงกระทำได้คล่องตัวกว่า" แหล่งข่าวกล่าว

ความเห็นนี้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่เจ้าหน้าที่ในแบงก์ชาติได้กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่าการฝึก อบรมในความรู้งานด้านตรวจสอบสถาบันการเงิน เฉลี่ยปีละ 5-6 ครั้ง เป็นอย่างน้อย เพื่อให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงด้านเทคนิคการบริหารธุรกิจการเงิน

เมื่อหันหน้ามามองฐานะและระบบโครงสร้างของสำนักงานประกันภัย โดยเปรียบเทียบกับแบงก์ชาติแล้ว ก็ให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจมาก ทั้ง ๆ ที่บทบาทและความสำคัญของหน่วยงานนี้ มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าแบงก์ชาติเลย

แต่ก็เป็นที่พอจะรู้กันว่า ทุกวันนี้สำนักงานประกันภัยมีฐานะเป็น "กรม" ของกระทรวงพาณิชย์ระบบโครงสร้างการบริหารงานทุกส่วนเป็นแบบราชการ เจ้าหน้าที่ทุกคนมีฐานะเป็นข้าราชการสังกัดกระทรวงพาณิชย์

ถ้าหากยอมรับกันว่า ระบบราชการไทยไม่มีความคล่องตัวในการริเริ่มพัฒนาระบบการปฏิบัติหน้าที่ ในเชิงเหตุและผลของสำนักงานประกันภัย ก็อยู่ในสภาพเดียวกันกับหน่วยงานราชการอื่นทั่วไปเหมือนกัน

ตรงนี้ไม่ต้องดูอื่นไกล เอากันแค่งานพัฒนาบุคคลอย่างเดียวก็พอ !

เจ้าหน้าที่ทุกคนในสำนักงานฯ การบรรจุ การรับสมัคร การเลื่อนขั้นเงินเดือน สำนักงานประกันภัยไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการเองโดยอิสระเหมือนแบงก์ชาติ แต่เป็นเรื่องของก.พ.

เจ้าหน้าที่จำนวน 200 คนเศษ ที่มีอยู่ในขณะนี้ ประมาณ 25% มีพื้นฐานความรู้ทางบัญชี (FINANCIAL AUDIT) สังกัดอยู่กับกองกำกับและตรวจสอบ เจ้าหน้าที่ส่วนนี้เป็นกลไกสำคัญในการเข้าไปกำกับและตรวจสอบการดำเนินธุรกิจของบริษัทประกันภัยทั้ง NON-LIFE และ LIFE INSURANCE ประมาณ 75 แห่ง

แน่นอนว่าสัดส่วนกำลังเจ้าหน้าที่กับจำนวนบริษัทประกันภัยที่จะตรวจสอบยังไม่สมดุลกัน ทางออกจึงใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างเอา แหล่งข่าวในสำนักงานประกันฯ กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า "บริษัท ประกันภัยที่มีขนาดใหญ่และผลการดำเนินงานมั่นคงบางปีไม่ได้ไปตรวจเลยก็ได้ เพียงแต่ให้ส่งรายงานตาม AUDIT PROGRAME ที่สำนักงานกำหนดก็พอ"

ตามหลักการกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงินโดยทั่วไปแล้วมี 2 วิธีคือ หนึ่ง -การวิเคราะห์ข้อมูลจากรายงาน และสอง -การออกตรวจสอบในภาคสนาม

แหล่งข่าวในแบงก์ชาติให้ความเห็นยืนยันกับ "ผู้จัดการ" ว่าการบรรลุเป้าหมายการกำกับและการตรวจสอบที่ให้ผลรัดกุมที่สุดต้องใช้ 2 วิธีพร้อมกันไป เพราะวิธีแต่ละอย่างมีจุดอ่อนในตัวของมันเอง จึงต้องประสานกัน

ยกตัวอย่างเวลาตรวจสอบบริษัทการเงิน จะเริ่มต้นวิเคราะห์ข้อมูลจากรายงานสภาพคล่องตามแบบรายงานประจำสัปดาห์และฐานะการเงิน ผลการดำเนินงาน ตลอดจนงบดุลตามแบบรายงานประจำเดือนและรายไตรมาส

ในแง่ของการดำเนินงาน การตรวจสอบจากแบบรายงาน จะมุ่งวิเคราะห์อย่างละเอียดในข้อมูลการปล่อยสินเชื่อ และคุณภาพของลูกหนี้เป็นสำคัญ

แต่ปัญหามีเพียงว่า ข้อมูลที่ได้มานั้น ทำให้ผลการวิเคราะห์สอดคล้องกับฐานะการดำเนินงานที่แท้จริงหรือไม่ ?

จุดนี้เองที่การตรวจสอบจากสายงานด้านตรวจสอบ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 120 คน ในฝ่ายตรวจสอบสถาบันการเงินของแบงก์ชาติ จะต้องลงไปตรวจในภาคสนามเพื่อให้เห็นของจริง !!

เจ้าหน้าที่ที่ออกไปตรวจสอบจะแบ่งออกเป็นทีม ทีมละ 5 คน พร้อมหัวหน้าทีมตรวจสอบดู หลักฐานกันตั้งแต่ หลักฐานการระดมทุนด้วยวิธีการออกตั๋ว P/N มีการออกซ้ำซ้อนกันหรือไม่ ? จนกระทั่งถึงคุณภาพลูกหนี้แต่ละรายที่บริษัทปล่อยสินเชื่อไปว่าดีมากน้อยเพียงใด?

"ถ้าเราเห็นผิดสังเกต ก็จะสั่งการให้ผู้บริหารบริษัทตั้งสำรองเผื่อหนี้สูญทันที" แหล่งข่าวเล่า ให้ฟัง

มีการยืนยันจากแหล่งข่าวในประเด็นนี้ว่า คุณภาพเจ้าหน้าที่ที่มีพื้นฐานความรู้ทางบัญชีอย่างเดียว ไม่เพียงพอต่อความสามารถในการตรวจสอบ เพราะธุรกิจเงินทุนมีความซับซ้อนในการบริหาร ผู้ตรวจสอบต้องมีความรู้ความเข้าใจในตัวธุรกิจเงินทุนด้วยจึงจะสามารถตรวจสอบได้มีประสิทธิผล

"เช่น การดูคุณภาพลูกหนี้ มีเทคนิคการดูอย่างไร จึงจะรู้ว่าคุณภาพลูกหนี้แต่ละรายดีหรือไม่ดีอย่างไร ? แหล่งข่าวยกตัวอย่างให้ฟัง

ตรงนี้เองคือเหตุผลที่หน่วยงานด้านตรวจสอบของแบงก์ชาติ มักมีการฝึกฝนอบรมเจ้าหน้าที่ตรวจสอบกันอยู่ตลอดเวลา เฉลี่ยปีละ 6 ครั้งเป็นอย่างน้อย

เมื่อหันกลับมาพิจารณาระบบการกำกับและตรวจสอบของสำนักงานประกันภัยจะเห็นความแตกต่างในศักยภาพได้พอชัดเจน (ดูตาราง II ประกอบ)

แหล่งข่าวในวงการประกันชีวิต เล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่า ในสมัยโพธิ์ จรรย์โกมล เป็นผู้อำนวยการสำนักงานประกันภัย การเข้ามาตรวจสอบของเจ้าหน้าที่มีไม่บ่อยนักอาจเป็นเพราะสำนักงานประกันภัยในสมัยนั้น ให้ความสำคัญต่อการตรวจสอบโดยวิธีวิเคราะห์ข้อมูลจากรายงานมากกว่าการตรวจสอบจากภาคสนามก็เป็นได้

เมื่อ "ผู้จัดการ"ได้สอบถามกลับไปยังโพธิ์ จรรย์โกมล ก็เป็นจริงเช่นนั้น โดยมีความเชื่อใน เหตุผลว่า "กรรมการของบริษัทประกันทุกคนต่างก็รักและปรารถนาให้บริษัทของตัวเจริญก้าวหน้า และมั่นคง คงไม่มีใครอาศัยช่องว่างนี้ซิกแซกเอาผลประโยชน์จากบริษัทมาเข้ากระเป๋าตัวเองด้วย วิธีการกระทำการที่ผิดกฎหมาย ซึ่งส่งผลเสียต่อฐานะของบริษัท"

แต่ข้อเท็จจริง ความเชื่อเช่นนี้เป็นสิ่งที่ผิดพลาดมากสำหรับสำนักงานประกันภัยในสมัยนั้น เพราะปรากฏว่ามีบริษัทประกันชีวิตรายใหญ่จำนวนหนึ่ง อาศัยการผ่อนปรนวิธีการตรวจสอบนี้ ซิกแซกเบียดบังเงินทุนจำนวนหนึ่งจากการปล่อยกู้เข้ากระเป๋า กรรมการบางคน โดยวิธีการตีราคาหลักทรัพย์ที่ดินสูงกว่าราคาประเมินเอามาก ๆ (ดูตาราง III ประกอบ)

ทั้ง ๆ ที่ ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 7 (2522) ออกตาม พ.ร.บ.ประกันชีวิต 2510 มาตรา 22 ข้อ 9 (3) ได้ระบุไว้ชัดว่า

"การให้กู้ยืมโดยมีอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันต้องไม่ติดจำนองและจำนวนเงิน ให้กู้ยืมแต่ละรายต้องไม่เกิน 70% ของราคารอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นประกันตามราคาประเมินของกฎหมายที่ดิน หรือไม่เกินราคาที่นายทะเบียนประกันชีวิตให้ความเห็นชอบแล้วแต่กรณี"

เผอิญนายทะเบียนประกันชีวิตที่ว่านี้คือผู้อำนวยการสำนักงานประกันภัยนั่นเองไม่ใช่ใครอื่น!

แล้วข้อเท็จจริงที่ "ผู้จัดการ" เอามาแฉให้เห็นในตาราง มันผ่านสายตาการตรวจสอบจากสำนักงานประกันภัยได้อย่างไร ??

ถ้ามองในแง่ดี เหตุผลมีอย่างน้อย 3 ประการ คือ หนึ่ง-เป็นความเชื่อของผู้อำนวยการสำนักงานประกันภัยยุคตั้งแต่โพธิ์ จรรย์โกมลเรื่อยมาถึงปัจจุบันในสมัยของชลอ เฟื่องอารมย์ว่า การควบคุมดูแลให้บริษัทประกันฯ มีความมั่นคงแล้ว ต้องมุ่งเน้นความสำคัญในการตรวจสอบฐานะเงินสำรองของบริษัทมากกว่าลักษณะหรือพฤติกรรมการลงทุนของบริษัท

ทั้ง ๆ ที่ผู้อำนวยการสำนักงานประกันภัยแต่ละท่าน ก็รู้อยู่เต็มอกว่าในประวัติศาสตร์ช่วงปี 2506 และ 2512 เคยมีบริษัทประกันชีวิต 2 แห่ง คือนครหลวงประกันภัย และบูรพาประกันชีวิต ต้องล้มทั้งยืนมาแล้วจากสาเหตุผู้บริหารนำเงินของประชาชนจากการซื้อใบกรมธรรม์มาใช้จ่ายลงทุนอย่างไม่ถูกหลักเกณฑ์

ยกตัวอย่างกรณีบริษัทบูรพาประกันชีวิต-พิศิษฐ์ สุขะวนิช อดีตกรรมการบริหารบริษัท ได้เล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่า บริษัท บูรพาประกันชีวิต ถูกสำนักงานประกันภัย สั่งปิดกิจการเมื่อปี 2512 เนื่องจากไม่สามารถระดมเงินสำรองมาได้ครบตามกฎหมาย เหตุก็เนื่องมาจากผู้บริหารคือ นายวิกูล เอี่ยมสุรีย์ กรรมการผู้อำนวยการเอาเงินของประชาชนที่ซื้อกรมธรรม์ของบริษัทไปลงทุน หนุนงานก่อสร้างขุดเจาะน้ำมันที่ อ.ฝาง และหนุนช่วยเหลือพวกนักการเมือง

เมื่อปี 2510 รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.ประกันชีวิต เป็นครั้งแรก และกำหนดให้บริษัทประกันต้องดำรงเงินสำรองในสัดส่วนตามกรมธรรม์ที่ยังมีความผูกพันอยู่

"เวลานั้น บริษัทบูรพาฯมีผลการดำเนินงานดีมาก การขายกรมธรรม์ได้รับความนิยมจากประชาชนจึงมีเบี้ยรับจากกรมธรรม์เข้ามามาก" พิศิษฐ์เล่า

นักคณิตศาสตร์ประกันภัยท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า การที่บริษัทมีเบี้ยรับจากกรมธรรม์เข้ามามาก ต้องมีภาระในการกันเงินสำรองในช่วงปีแรก ๆ ไว้สูง

"เช่น กรมธรรม์อายุ 10 ปี ทุนประกัน 100,000 บาท ช่วง 5 ปีแรก ต้องตั้งเงินสำรองไว้เลยไม่น้อยกว่า 60% หรือ 60,000 บาท หลัง 5 ปีแรกไปแล้ว สัดส่วนตั้งเงินสำรองจากกรมธรรม์นี้ก็จะค่อย ๆ ลดลงไป"

ทีนี้เมื่อบริษัท บูรพาฯมีเงินประกันเข้ามามาก ประกอบกับมีการนำเงินไปลงทุนในกิจการที่ไม่ก่อดอกออกผล บริษัทจึงต้องมีภาระหาเงินสำรองมาตั้งไว้ตามเกณฑ์

เมื่อหามาไม่ทัน นายวิกูล ก็รู้แน่ชัดว่าบริษัทไปไม่รอดแน่ จึงนำสมุดเช็คบริษัทบินหนีไปฮ่องกง สำนักงานประกันภัยสมัยนั้นก็ไม่กล้าเข้าควบคุมบริษัทเพราะไม่รู้ว่าจะมีเจ้าหนี้ผู้เอาประกันอีกกี่รายกันแน่ที่จะมาขอเงินประกันคืนในภายหลัง ทั้ง ๆ ที่สถานะของบริษัทขณะนั้น สามารถคืนเงินเอาประกันให้เจ้าหนี้หรือผู้ถือกรมธรรม์ได้กรมธรรม์ละไม่เกิน 70% ของมูลค่าปัจจุบัน ณ เวลานั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ สำนักงานประกันภัยจึงสั่งให้บริษัท บูรพาฯ หยุดดำเนินการปี 2510 และอีก 2 ปีต่อมาก็ถูกสั่งถอนใบอนุญาตปิดกิจการไป

ส่วนกรณีบริษัท นครหลวงประกันภัยก็เช่นกัน ผู้บริหารบริษัทนำเงินจากการเอาประกันของประชาชนไปลงทุนซื้อที่ดินเก็งกำไรในอินโดนีเซีย และลงทุนซื้อรถยนต์จี๊ปให้แผนกขายใช้ทำงานกันอย่างฟุ่มเฟือย

บริษัทนครหลวงประกันภัยแห่งนี้ก่อตั้งตั้งแต่ปี 2492 โดยเถ้าแก่เป็นพ่อค้าคนจีนขายเศษเหล็กที่เซียงกง ชื่อนายกำธร (จำนามสกุลไม่ได้) ต่อมาขายกิจการให้กลุ่มจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งในช่วงต้นปี 2500 กลุ่มจอมพลสฤษดิ์ มีแบงก์เอเชียเป็นฐานธุรกิจอยู่อีกกิจการหนึ่ง โดยให้น้องชายต่างแม่ดูแลอยู่ชื่อ ทองดุลย์ ธนะรัชต์ ซึ่งมีฐานะเป็นกรรมการแบงก์คนหนึ่ง

ความเกี่ยวดองระหว่างบริษัทนครหลวงประกันภัยกับแบงก์เอเชียขณะนั้นจึงแน่นแฟ้นมาก มีการดึงเงินมาหมุนเวียนใช้จ่ายธุรกิจซึ่งกันและกันเสมอ

เมื่อบริษัทนครหลวงประกันภัยขาดสภาพคล่อง เนื่องจากมีรายจ่ายดำเนินงานสูงกว่ารายรับจากเบี้ยประกัน ก็กู้ยืมเงินเอาจากแบงก์เอเชีย โดยเอาหลักทรัพย์พวกอาคารสำนักงานของบริษัทไปค้ำไว้ ว่ากันว่าด้านหนึ่งเพื่อช่วยแบงก์เอเชียผลัดบัญชีให้ฐานะดูแข็งแรงขึ้น เนื่องจากขณะนั้นแบงก์เอเชียเองก็กำลังประสบมรสุมซวดเซอยู่เหมือนกัน

ในที่สุดเพื่อความอยู่รอด แบงก์เอเชียก็เลยยึดทรัพย์สินอาคารสำนักงานของบริษัทนครหลวงประกันภัย

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นปี 2506 ก่อนหน้ามีกฎหมายประกันภัย 4 ปี!

บริษัท นครหลวงประกันภัยก็ปิดฉากตนเอง นับตั้งแต่นั้นด้วยต้นเหตุเหมือนกับบริษัท บูรพาประกันชีวิตนั่นแหละ

สอง-ผู้บริหารสำนักงานประกันภัยล้วนแล้วแต่เป็นข้าราชการในสังกัดกระทรวงพาณิชย์มาตลอดความสำนึก หรือ MENTALITY จึงยึดติดกับการมองธุรกิจประกันเป็นเรื่องของการค้าขายมากกว่าธุรกิจการเงินที่นำเงินของประชาชนมาหาผลประโยชน์เหมือนบริษัทเงินทุนหรือแบงก์

ด้วยสำนึกเช่นนี้ ความชำนาญหรือเชี่ยวชาญในการให้ความควบคุมดูแลบริษัทประกันมีความมั่นคงเหมือนอย่างที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง หรือแบงก์ชาติ ควบคุมดูแลบริษัทเงินทุนและแบงก์จึงมีผลต่อแง่มุมปฏิบัติที่แทบจะเทียบกันไม่ได้

ผู้บริหารบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่งให้ข้อสังเกตกับ "ผู้จัดการ" ในประเด็นนี้ว่าอาจเป็นเพราะ ผู้บริหารสำนักงานประกันภัยวันหนึ่ง ๆ ต้องมานั่งแก้ปัญหาการเป็นคนกลางในการตัดสินการจ่ายค่า- สินไหมระหว่างผู้เอาประกันกับบริษัทประกัน หรือไม่ก็ต้องมานั่งพิจารณาดูความถูกต้องของข้อความ ในกรมธรรม์ที่บริษัทประกันขายให้ประชาชนว่าเอารัดเอาเปรียบผู้เอาประกันหรือไม่ ?

เลยไม่มีเวลามาคิดถึงเรื่องที่สำคัญด้านการควบคุมการลงทุน

ซึ่งลักษณะการบริหารงานแบบนี้ว่าไปแล้ว มันเป็นเรื่องของการควบคุมให้การทำธุรกิจค้าขายของบริษัทประกันอยู่ในกรอบของกฎหมายมากกว่าการมุ่งตรวจสอบควบคุมดูแลความถูกต้องในการประกอบธุรกิจเพื่อความมั่นคงของบริษัทประกันเอง เหมือนอย่างที่แบงก์ชาติกระทำต่อบริษัทเงินทุนและแบงก์พาณิชย์

ข้อสังเกตนี้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่อดีตผู้จัดการฝ่ายบัญชีบริษัทประกันชีวิตชื่อดังท่านหนึ่ง ได้บอกกับ "ผู้จัดการ" ว่า "พวกทีมตรวจสอบของสำนักงานประกันภัยเวลาออกมาตรวจสอบในบริษัท จะเน้นหนักมุ่งดูความถูกต้องในหลักฐานด้านการขายกรมธรรม์ ( POLICY AUDIT)มากกว่าจะมาดูว่าหลักฐานการลงทุนของบริษัทถูกต้องตามที่รายงานไปหรือเปล่า และอีกประการหนึ่ง พวกเจ้าหน้าที่ที่มาตรวจสอบ ส่วนใหญ่จะเป็นข้าราชการระดับล่าง"

แหล่งข่าวระดับสูงในสำนักงานประกันภัยยอมรับว่า การตรวจสอบโดยส่งพวกข้าราชการระดับล่าง ซึ่งเป็นชั้นผู้น้อยลงไปตรวจนั้นเป็นไปได้ว่า ความหละหลวมอาจเกิดขึ้นได้เพราะเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยมีรายได้จากเงินเดือนไม่มากนัก เมื่อถูกยื่นผลประโยชน์เล็กน้อยจากบริษัทประกันภัยบางแห่งก็อาจทำให้การตรวจสอบเป็นไปในลักษณะ "หลับตาข้างเดียว" ได้ และเงื่อนเวลาตรวจสอบมีจำกัดเพียงสัปดาห์เดียว สำหรับแต่ละบริษัทที่ไปตรวจ ประกอบกับความรู้ความเข้าใจในเทคนิคธุรกิจประกันยังไม่แน่นพอเนื่องจากขาดการฝึกอบรมอย่างเข้มข้นจึงเป็นไปได้ยากที่จะตรวจดูเอกสารหลักฐานได้ครบถ้วน

และเนื่องจากสำนักงานประกันภัยมีฐานะเป็นหน่วยงานระดับ "กรม" ของกระทรวงพาณิชย์ ผู้อำนวยการสำนักงานประกันภัย ซึ่งมีบทบาทสำคัญเหมือนกับผู้ว่าแบงก์ชาติ แต่กลับไม่มีความมั่นคงเพียงพอในหน้าที่ มีการสับเปลี่ยนตัวผู้อำนวยการสำนักงานประกันภัยกันบ่อยมากอีกด้วย

ตั้งแต่สำนักงานประกันภัยได้เปลี่ยนฐานะจากกองมาเป็นสำนักงาน ฐานะเทียบเท่า "กรม" ตั้งแต่ปี 2510 เป็นเวลา 20 ปี ถึงทุกวันนี้ มีผู้อำนวยการสำนักงานประกันภัยแล้ว 6 คน ในจำนวนนี้ มีเพียงคนเดียว คือโพธิ์ จรรย์โกมล ที่อยู่ในตำแหน่งนานถึง 8 ปี นอกนั้นเฉลี่ยคนละ 2 ปีเท่านั้น

ทั้ง ๆ ที่งานควบคุมธุรกิจประกันภัยเป็นเรื่องสลับซับซ้อนที่ไม่ง่ายต่อการเข้าใจขนาดรู้ เล่ห์เหลี่ยมของผู้ประกอบการธุรกิจนี้ได้

แต่ว่ากันตามความจริงแล้ว ตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานประกันภัยแต่ละคนที่ขึ้นมาดำรงตำแหน่งก็ไม่ใช่ลูกหม้อของสายงานนี้ ส่วนใหญ่มาจากหน่วยงานการค้าอื่น ๆ ในกระทรวงพาณิชย์มาก่อนทั้งนั้น

"ตัวผู้อำนวยการฯเองผมว่ามีความรู้กว้าง ๆ ในธุรกิจนี้เท่านั้น ด้านรายละเอียดกล้าพูดได้ว่ายังตามไม่ทันพวกนักธุรกิจประกันหรอก" อดีตผู้บริหารประกันชีวิตชื่อดังท่านหนึ่งประเมินศักยภาพของ ตัวผู้อำนวยการสำนักงานประกันภัยให้ "ผู้จัดการ" ฟัง (ดูตาราง IV ประกอบ)

ดังนั้น ยิ่งระบบราชการมีการสับเปลี่ยนหน้าที่ข้าราชการระดับอธิบดีกันบ่อยด้วยแล้วก็ยิ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ และทำงานในหน้าที่นั้นได้อย่างต่อเนื่อง

และสิ่งนี้ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้งานกำกับและตรวจสอบธุรกิจประกันภัยของสำนักงานประกันภัยไม่รัดกุมเพียงพอ

จนเกิดเหตุการณ์ให้บริษัทประกันภัยบางแห่งใช้ช่องโหว่อันนี้ ดำเนินการซิกแซกเอาเงินประกันของประชาชนมาหาประโยชน์ให้กับกรรมการบริษัทบางคน

ใคร ๆ ก็รู้ว่าโดยทั่วไปแล้ว ตำแหน่งหน้าที่ระดับอธิบดีในกรมของระบบราชการไทย มันมีผลประโยชน์ไม่มากก็น้อยทั้งนั้นจากการแทรกตัวเข้ามาของผู้มีอิทธิพลในแวดวงธุรกิจ

สำนักงานประกันภัยที่หลุดไม่พ้นจากการแทรกแซงของผู้มีอิทธิพลนี้เช่นกัน !

แหล่งข่าวระดับสูงในสำนักงานประกันภัยก็ยอมรับกับ "ผู้จัดการ" ว่าปัญหาการพิจารณาตัดสินการจ่ายค่าสินไหมให้แก่ผู้เสียหายจากการเอาประกันตัวผู้อำนวยการสำนักงานฯ มักจะถูกแทรกแซงขอร้องกันดื้อ ๆ จากผู้เสียหายที่มีอิทธิพลอยู่บ่อยครั้ง

กรณีบริษัท อาคเนย์ประกันภัย เมื่อ 3 ปีก่อนนี้เป็นตัวอย่าง ผู้เสียหายเอาประกันเพื่อผลคุ้มครองโรงงานผลิตถุงเท้า ปรากฏว่าวันหนึ่งเพลิงไหม้เผาทรัพย์สินเสียหาย หลังจากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นอุบัติเหตุ ทางบริษัท อาคเนย์ฯประเมินความเสียหายจากอุบัติเหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้ไม่เกิน 8 ล้านบาทแต่ทางผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลเรียกร้องสูงถึง 20 ล้านบาท ก็มีการวิ่งเต้นไปยังผู้อำนวยการสำนักงานประกันภัย เพื่อขอให้บริษัท อาคเนย์ฯจ่ายค่าเสียหายให้ตามที่เรียกร้อง

เรื่องอย่างนี้ว่ากันว่า ในที่สุดบริษัทอาคเนย์ฯ ก็ต้องยอมจ่ายไปเท่าไรไม่แน่ชัด!

แต่มากกว่า 8 ล้านบาท ซึ่งบริษัทประเมินไว้ก็แล้วกัน

เหตุผลสำคัญ นัยว่าไม่ใช่เพราะบริษัทอาคเนย์ฯจำนนต่อหลักฐาน แต่เป็นเพราะไม่อยากเสียเวลาทำมาหากิน ด้วยต้องไปเผชิญหน้าเอากับผู้มีอิทธิพล และตัวผู้อำนวยการสำนักงานประกันภัยให้หมองใจกันเปล่า ๆ

ที่กล่าวถึงการแทรกแซงจากผู้มีอิทธิพลภายนอกต่อตัวผู้อำนวยการสำนักงานประกันภัย ไม่เพียงเกิดขึ้นในปัญหา CLAIMS ADJUSTMENT เท่านั้น

ในเรื่องการใช้เงินสำรองมาสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่ของบริษัท ประกันชีวิตบางรายที่เกิดขึ้นในขณะนี้ก็เช่นกัน ที่แสดงให้เห็นว่าบางกรณีตัวผู้อำนวยการสำนักงานประกันภัยเองก็ผิดพลาดเอามาก ๆ

แหล่งข่าวในสำนักงานประกันภัยรายหนึ่งเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่าในสมัยโพธิ์ จรรย์โกมล เป็น ผู้อำนวยการสำนักงานฯ มีบริษัทประกันชีวิตเอไอเอ มาขออนุญาตโพธ์เอาเงินสำรองของบริษัทจำนวน 300 ล้านบาท มาลงทุนสร้างอาคารหลังใหม่ AIA TOWER ที่ถนนสุรวงศ์ ทั้ง ๆ ที่ตามกฎเกณฑ์แล้วการกระทำแบบนี้ไม่ได้ ต้องนำเงินจากผลกำไรไปลงทุนสร้างไม่ใช่จากเงินสำรอง

แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลกลใด โพธิ์ จรรย์โกมล ไปอนุมัติตามที่บริษัท เอไอเอขอมา ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า ไม่ถูกต้อง

"ผลปรากฏว่าในปีนั้น เอไอเอนำเงินจากผลกำไร (SURPLUS ) ประมาณ 100 กว่าล้านบาทออกนอกประเทศกลับไปยังบริษัทแม่" แหล่งข่าวกล่าวพร้อมกับยืนยันว่าเหตุนี้เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของผู้อำนวยการสำนักงานประกันภัยขณะนั้น

ปัญหาการถูกแทรกแซงจากผู้มีอิทธิพลในกรณี CLAIMS ADJUSTMENT ก็ดี การวิ่งเต้นของบริษัทประกันเพื่อแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบในกรณีการลงทุนให้กู้ยืมโดยมีหลักทรัพย์พวกอสังหาริมทรัพย์เป็นตัวค้ำประกันก็ดี หรือแม้แต่การใช้เงินสำรองมาลงทุนสร้างสินทรัพย์ถาวรก็ดี

ความไม่ถูกต้องเหล่านี้ ว่ากันแล้วเป็นจุดสำคัญที่สำนักงานประกันภัยต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวดตรงไปตรงมาให้รัดกุม

เพราะเงินบริษัทประกันชีวิตต้องรับผิดชอบเงินเอาประกันของประชาชน ปีหนึ่ง ๆ 6,000-7,000 ล้านบาท (ดูตาราง V )

เงินเอาประกันของประชาชน 7,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับเงินฝากของประชาชนในแบงก์พาณิชย์ที่มีอยู่ประมาณ 550,000 ล้านบาท อาจจะมีสัดส่วนน้อยนิดประมาณ 2%

แต่เมื่อเทียบกับเงินฝากของประชาชนในธุรกิจเงินทุนที่มีอยู่ประมาณเกือบ 80,000 ล้านบาท สัดส่วนจะเพิ่มขึ้นเป็น 9%

อันนี้แสดงว่า โดยความสำคัญ หรือศักยภาพในการระดมทุนของธุรกิจประกันเมื่อเทียบกับสถาบันการเงินประเภทอื่น ๆ แล้ว ยังมีบทบาทน้อยอยู่

แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า โดยเนื้อแท้ของธุรกิจประกันจะไม่มีศักยภาพที่สูงเพียงพอต่อการระดมทุนที่มีบทบาทเทียบกับธุรกิจเงินทุนอื่น ๆ เลยก็หาไม่ เพราะ หนึ่ง-ตัวสินค้า หรือกรมธรรม์ของธุรกิจประกันบางชนิดเป็นกรมธรรม์สะสมทรัพย์ สามารถให้ผลตอบแทนในรูปของเงินคืน หรือดอกเบี้ยแก่ผู้เอาประกันในอัตราที่สูงไม่น้อยกว่าแก่ผู้ฝากเงินไว้กับบริษัทเงินทุนเลย ยกตัวอย่างกรมธรรม์สะสมทรัพย์ของบริษัทเอไอเอที่มีทุนประกัน 250,000 บาท อายุการซื้อกรมธรรม์ 20 ปี การจ่ายเบี้ยประกันประมาณ 2,000 บาท หรือปีละ 24,000 ทุก 3 ปีกรมธรรม์ชนิดนี้จะจ่ายคืนแก่ผู้เอาประกัน 10% ของทุนประกันหรือ 25,000 บาท

"ซึ่งคิดเป็นผลตอบแทนเมื่อเทียบกับเงินชำระค่าเบี้ย 72,000 บาทที่ผู้เอาประกันส่งแก่บริษัท 3 ปี เป็น 34% หรือปีละ 11.3% และเมื่อลองเอาผลตอบแทนอัตรานี้เทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก P/N 3 ปี ของบริษัทเงินทุนที่ได้ 9.5% ต่อปีแล้ว จะเห็นว่าดอกเบี้ยจากเงินประกันสูงกว่า" ตัวแทนขายประกัน เอไอเอเล่าให้ฟัง

สอง-ตัวกรมธรรม์มีผลการคุ้มครองแก่ผู้ซื้อกรมธรรม์ในด้านสุขภาพอนามัยอีกหลายประการ ในขณะที่ธุรกิจเงินทุนอื่นไม่มีผลการคุ้มครองนี้แต่อย่างใด

และสาม-ค่าเบี้ยประกันที่ส่งไปแล้วสามารถนำมาเป็นค่าใช้จ่ายหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้จำนวน 7,000 บาท/ปี ขณะที่ดอกเบี้ยจากเงินฝากกับธุรกิจเงินทุนและแบงก์ รายได้ที่ได้จากดอกเบี้ยของผู้ฝากต้องเสียภาษีเงินได้ 15% ของรายได้จากส่วนนี้ในลักษณะ PROGRESSIVE TAX

ผลประโยชน์ 3 ประการนี้บ่งชี้ว่าโดยธุรกิจเนื้อแท้แล้วธุรกิจประกันฯ มีความสามารถในการระดมเงินออมของประชาชนได้ดีกว่าธุรกิจการเงินประเภทอื่น ๆ ทั้งสิ้น

แต่ที่มันไม่เป็นเช่นนั้นในบ้านเรา ทั้ง ๆ ที่เป็นหลักประกันที่ทดแทนสวัสดิการสังคมที่รัฐไม่สามารถจัดหาให้ประชาชนในประเทศได้ ไม่ใช่เพราะตัวธุรกิจมันไม่ดี แต่เป็นเพราะธุรกิจประกันมีอุปสรรคหลายประการที่ประสบอยู่คือ

หนึ่ง-จำนวนประชากรผู้อยู่ในข่ายสมควรทำประกันส่วนใหญ่มีค่านิยมที่ไม่ดีต่อการทำประกันชีวิตด้วยเห็นว่า "การทำประกันชีวิตเป็นการแช่งตัวเองให้ตายก่อนวัยอันสมควร" ประเด็นนี้เป็นค่านิยมที่มีรากเหง้าจากพื้นฐานการศึกษาของประชากรยังไม่ดีพอเนื่องจากระบบการศึกษาในบ้านเรายังไม่พัฒนาความรู้ความเข้าใจในธุรกิจประกันได้ดีพอที่จะให้การศึกษาแก่ประชาชนได้ สอง-บริษัทประกันฯเอง ยังขาดจิตสำนึกที่ก้าวหน้าในการจัดระบบ และกลไกต่าง ๆ ในองค์กรเพื่อผลิตตัวแทน หรือนายหน้าขายประกันที่มีความรู้ความเข้าใจและซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพขายประกัน ทำให้เกิดปัญหาตัวแทนหลอกลวงประชาชนผู้เอาประกันอยู่เนือง ๆ

สิ่งนี้ส่งผลกระทบกลับคืนไปยังบริษัทเองในรูปการค้างชำระเบี้ยของประชาชนผู้เอาประกัน ทำให้บริษัทต้องประสบปัญหาการขาดทุนจากการดำเนินงานในกรมธรรม์บางประเภท เช่น กรมธรรม์กลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งเป้าหมายตลาดคือ ผู้เอาประกันส่วนใหญ่ที่มีรายได้น้อย ตัวแทนขายก็หวังจะสร้างรายได้จากการขายโดยยึดปริมาณมากกว่าคุณภาพ โดยวัดจากสุขภาพของผู้เอาประกันและความสามารถในการชำระเบี้ย ซึ่งผลการดำเนินธุรกิจในกลุ่มเป้าหมายนี้ เป็นที่รู้กันในแวดวงผู้บริหารธุรกิจประกันภัยว่า ส่วนใหญ่บริษัทที่ทุ่มการโปรโมทในกรมธรรม์นี้จะขาดทุนกันทั้งนั้น

ตรงนี้มีตัวอย่างเกิดขึ้นกับบริษัทไทยสมุทรพาณิชย์ประกันภัย

นายหน้าขายประกันคือนายโสภณ เสวกวัชรี ได้ทำสัญญาขายกรมธรรม์เพิ่มพูนทรัพย์ ซึ่งเป็นกรมธรรม์ประเภทอุตสาหกรรมให้แก่นายมนตรี สิทวรกุล รวม 2 ฉบับ ฉบับแรก ทุนประกัน 50,600 บาท อายุ 20 ปี ชำระเบี้ยเป็นรายเดือน ๆ ละ 300 บาท ฉบับที่สอง ทุนประกัน 33,748 บาท อายุ 20 ปี ชำระเบี้ยประกันเป็นรายเดือน ๆ ละ 200 บาท

กรมธรรม์สองฉบับเริ่ม 20 พ.ค. 2528 และ 18 ส.ค. 2529 ต่อมานายมนตรีได้เสียชีวิตลงด้วย โรคเส้นโลหิตแตกในสมองเมื่อ ก.ย. 2530 หรือหลังจากทำประกันไปได้เพียง 13 เดือน ซึ่งบริษัทประกันต้องจ่ายสินไหมทดแทน 147,600 บาท

แต่บริษัทฯไม่ยอมจ่าย โดยให้เหตุผลว่าผู้เอาประกันไม่แจ้งข้อเท็จจริงเรื่องโรคหืดของตัวเองที่เคยเจ็บป่วยมาก่อนทำประกันเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นในข้อเท็จจริงคือ นายมนตรี ผู้เอาประกันเคยเข้าโรงพยาบาลลานนา รักษาโรคหืดมาแล้ว 3 ครั้ง เมื่อปี 2520, 2522 และ 2523

แต่ที่ไม่แจ้งให้บริษัททราบเพราะ นายหน้าขายประกันของบริษัทที่อยู่สาขาลำพูนเป็นผู้กรอกสัญญาเอาประกันให้นายมนตรีเอง โดยมิได้มีการสอบถามเกี่ยวกับสุขภาพหรือตรวจสุขภาพจากแพทย์ก่อนแต่อย่างใด

"นายมนตรีเพียงแต่เซ็นชื่อ และจ่ายค่าเบี้ยตามสัญญาในแบบฟอร์มเท่านั้น" แหล่งข่าวกล่าว

"ผู้จัดการ" ทราบว่าเรื่องบริษัท ฯไม่ยอมจ่ายค่าสินไหมกรณีนี้ ผู้รับประโยชน์จากการประกันคือ นางวรรณี ภรรยาของนายมนตรี ได้ร้องเรียนมาที่ ชลอ เฟื่องอารมย์ ผู้อำนวยการสำนักงานประกันภัยแล้ว

แม้ว่าผู้จัดการสาขาลำพูน ของบริษัทไทยสมุทร คือนายประพันธ์ บุญมาลัย จะขอ "เกียะเซี้ย" กับนางวรรณีจำนวนครึ่งหนึ่งของค่าสินไหมก่อนหน้านี้ก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถตกลงกันได้

สาม-แม้ในแผนพัฒนาฉบับที่ 5 จะเน้นความสำคัญในธุรกิจประกันในฐานะเป็นแหล่งการระดมเงินออมที่สำคัญเทียบกับสถาบันการเงินประเภทอื่น ๆ ก็ตาม ในภาคปฏิบัติแล้วมาตรการทางการคลัง เช่น ภาษี ที่รัฐให้สิทธิเป็นค่าลดหย่อนได้ 7,000 บาท จริง ๆ แล้วไม่มากพอที่จะดึงดูดผู้อยู่ในข่ายเอาประกันได้

แม้แต่สิทธิหักค่าลดหย่อนภาษีเงินได้จากการประกันแก่นายหน้า ซี่งเป็นหัวใจสำคัญในการขยายธุรกิจประกันแก่ประชาชนก็ไม่ได้รับการยกเว้นภาษี

"พวกนายหน้าเมื่อขายประกันได้จำนวนหนึ่งที่พอจะคุ้มค่าเหนื่อย หลังจากหักภาษีแล้วก็จะ หยุดขาย หรือไม่ก็หาทางหลบเลี่ยงโดยวิธีตั้งตัวแทนผีขึ้นมา การทำแบบนี้ทำให้ธุรกิจประกันมัน บิดเบี้ยว" ผู้เชี่ยวชาญประกันอธิบายให้ฟัง

และสุดท้าย-เป็นเรื่องของอุปสรรคด้านโครงสร้างรายได้ของประชากรในบ้านเราที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว อุปสรรคนี้ทำให้ฐานของชนชั้นกลางที่มีความสามารถในการออมเพื่อการประกันภัยดูแคบลง และสิ่งนี้เองก็เป็นปรากฎการณ์อันหนึ่งที่บ่งชี้ถึงปริมาณการเอาประกันของประชาชน ยังไม่มากนักเมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศที่เจริญแล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม กล่าวกันตามความจริงแล้ว อุปสรรคข้อนี้ยังไม่เท่าไรเมื่อเทียบกับ 3 ข้อข้างต้น เพราะถ้าหากประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจในความสำคัญของธุรกิจประกันภัย และรัฐให้ความส่งเสริมอย่างจริงจังด้านภาษีแก่ประชาชนผู้เอาประกันและนายหน้าขายประกันแล้ว ก็อาจเป็นไปได้ว่าเงินออมที่มีอยู่กับสถาบันการเงินประเภทอื่นจะไหลเข้ามาในระบบธุรกิจประกันภัยได้มากพอสมควร

และจุดนี้ ก็จะเป็นเครื่องบ่งชี้ได้ชัดเจนถึงความสำคัญของธุรกิจประกัน ที่จะเป็นแหล่งระดมเงินออมได้ไม่แพ้บริษัทเงินทุนและแบงก์เหมือนในต่างประเทศ เช่น สหรัฐฯและญี่ปุ่น

"ซึ่งที่นั่นธุรกิจประกันใหญ่กว่า และสำคัญกว่าแบงก์มากมายหลายเท่านัก" ผู้รู้กล่าวให้ฟัง

เหตุผลการเติบโตของธุรกิจประกันในประเทศดังกล่าวมี 2 ประการ คือ หนึ่ง-ประชาชนที่นั่นมีจิตสำนึกต่อการทำประกันชีวิตว่า เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว แม้ว่าสังคมของทั้งสองประเทศจะมี สวัสดิการจากรัฐอยู่แล้วก็ตาม ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะระบบการศึกษาได้สร้างความรู้ ความเข้าใจในธุรกิจนี้แก่ประชาชนมาเป็นเวลานาน

และสอง-รายได้ของประชากรมีสูงเพียงพอที่จะนำมาลงทุนในธุรกิจประกันในรูปการจ่ายค่าเบี้ยประกัน โดยไม่เดือดร้อนต่อมาตรฐานการครองชีพ

ทั้ง ๆ ที่หน่วยงานของรัฐบาลไม่ได้เข้ามาแทรกแซงหรือยุ่งเกี่ยวใด ๆ เลยในธุรกิจนี้

ทุกกิจกรรมที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของบริษัทประกันกับผู้เอาประกันตกลงกันเองทั้งสิ้น ภายใต้กฎหมายประกันที่รัฐวางแนวเป็นกติกาไว้กว้าง ๆ

พูดง่าย ๆ ธุรกิจนี้ เขาปล่อยให้เป็นไปตาม FREE MARKET จริง ๆ

ไม่เหมือนบ้านเรา ซึ่งรัฐคือสำนักงานประกันภัย มีบทบาทเข้ามาแทรกแซงโดยการควบคุม เข้มงวดกว่ามาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการออกกรมธรรม์ การจ่ายค่าสินไหม และการรักษาฐานะเงินสำรอง ซึ่งการควบคุมในสิ่งเหล่านี้กฎหมายประกันปี 2510 เขียนไว้ละเอียดและพูดกันตามเนื้อผ้าแล้ว กฎหมายประกันที่เขียนไว้อย่างรัดกุมเช่นนี้ มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของบริษัทประกันและผู้เอาประกันเอง ซึ่งที่จริงแล้วเพิ่งจะอยู่ในขั้น "เริ่มตั้งไข่" เท่านั้น

แต่ความหละหลวมของเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันภัยที่เคยเกิดขึ้นอยู่เสมอมาเป็นอันตรายยิ่ง ต่อตัวธุรกิจประกัน ที่อาจจะสั่นคลอนลงได้จนมีผลต่อภาพพจน์ของธุรกิจในสายตาประชาชน

ปัญหาความไม่ถูกต้องที่แสดงถึงความหละหลวมของเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ และ MENTALITY ของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในสำนักงานประกันภัยนี้ ในประวัติศาสตร์...

...เมื่อ 17 ปีก่อน คณะกรรมการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ที่มีบุญชนะ อัตถากร เป็นประธาน เคยหยิบเรื่องปรับปรุงสถานภาพและอำนาจหน้าที่สำนักงานประกันภัยมาพิจารณากัน

นัยว่าเป้าประสงค์ต้องการพิจารณาแยกเอาธุรกิจประกันชีวิต-ที่เกี่ยวข้องกับการออมของประชาชนที่สำนักงานประกันภัยควบคุมดูแล มาให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ควบคุมดูแลแทน เนื่องจากเห็นว่าความพร้อมในงบประมาณ เครื่องไม้เครื่องมือและคุณภาพของเจ้าหน้าที่มีมากกว่า

โดยปล่อยให้สำนักงานประกันภัยดูแลเฉพาะธุรกิจประกันวินาศภัยอย่างเดียวเพราะไม่เกี่ยวข้องกับเงินออมของประชาชน

แต่ในที่สุดเรื่องนี้ก็จบลงดื้อ ๆ พร้อม ๆ กับการปฏิวัติตัวเองของรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจรสมัยนั้น โดยไม่มีมติอันใดในเรื่องนี้

ว่ากันว่า เหตุที่ไม่มีมติออกมานั้นก็เป็นเพราะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กับคลังสมัยนั้น คือบุญชนะ กับ ดร.เสริม วินิจฉัยกุล สามารถตกลงกันได้ โดยต่างฝ่ายต่างไม่ต้องการแย่งอำนาจกัน

ความจริง เรื่องราวการแยกธุรกิจประกันชีวิตให้ขึ้นต่อกระทรวงการคลังก่อนหน้านั้น เคยมีการเสนอมาแล้วเมื่อปลายปี 2500

ในสมัยนั้น จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งมีอำนาจสูงสุดสั่งให้ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้ว่าแบงก์ชาติ เป็นประธานกรรมการคณะกรรมการร่างกฎหมายประกันภัย

ตัวร่างกฎหมายฯเขียนไว้ชัดว่า ให้ธุรกิจประกันชีวิตอยู่ในความควบคุมดูแลของกระทรวงการคลัง

แต่น่าเสียดายที่ต้นร่างกฎหมายประกันฉบับนี้แท้งไปก่อนเข้าสภา เหตุผลเพราะ

หนึ่ง-ในขณะนั้นบรรดารัฐมนตรีร่วมคณะรัฐบาลหน้าฉากของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ส่วนใหญ่เป็นกรรมการในบริษัทประกันภัยกันทั้งนั้น จึงหวาดกลัวว่าถ้าเห็นด้วยกับต้นร่างกฎหมายนี้ จะทำให้ตนเองต้องได้รับผลกระทบกระเทือนด้านผลประโยชน์ไปด้วย

เหตุผลสำคัญก็เพราะต้นร่างกฎหมายฉบับนี้มีอยู่มาตราหนึ่งที่เขียนไว้ชัดว่า "ในกรณีที่บริษัทประกันฯ กระทำการสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ทำให้บริษัทมีความเสียหาย หรือผิดหลักผิดเกณฑ์ ผู้ถือหุ้นและกรรมการบริษัททุกคนจะต้องรับผิดชอบในความผิดนั้นด้วย" พิศิษฐ์ สุขะวนิช เล่าให้ฟัง

ด้วยเหตุนี้ บรรดารัฐมนตรีทั้งหลายจึงต้องคัดค้านร่างกฎหมายประกันนี้

และสอง-มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองคือ เปลี่ยนคณะรัฐบาล ทำให้โอกาสที่รัฐบาลจะนำ ร่างกฎหมายนี้เข้าสภาต้องยุติลง

ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้ว- - ต้นร่างกฎหมายนี้ - - จอมพลสฤษดิ์ได้เห็นชอบด้วย และผ่านกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว

แต่ก็ต้องแท้งไปก่อนจนได้ !

จนเมื่อปี 2503 รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ก็ให้มีการรื้อฟื้นกฎหมายฉบับนี้ขึ้นมาใหม่ โดยในขณะนั้นให้นายบุญชนะ อัตถากร ซึ่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาการ เป็นผู้ควบคุมดูแลการร่างกฎหมายนี้ ซึ่งนายบุญชนะได้ให้นายชูเกียรติ ประมูลผลหัวหน้ากองประกันภัย กระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าคณะผู้ร่างกฎหมายนี้ใหม่

เผอิญขณะนั้น นายบุญชนะ อัตถากร นอกเหนือจากเป็นรัฐมนตรีพัฒนาการแล้วยังเป็นกรรมการอยู่ที่ไทยเศรษฐกิจประกันภัยอยู่ด้วย และนายชูเกียรติ ประมูลผลเองก็เป็นข้าราชการคนเดียวในกระทรวงพาณิชย์ที่มีความรู้เรื่องธุรกิจประกันภัยดีที่สุด

เพราะเคยได้รับทุนก.พ.ไปศึกษาปริญญาโท MBA สาขาธุรกิจประกันภัยที่มหาวิทยาลัย เพนซิลวาเนียมาก่อน

การร่างกฎหมายฉบับนี้มาเสร็จเอาในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2510 ผลคือต้นร่างกฎหมายประกันภัยฉบับนี้ยังคงสภาพเดิมตาม พ.ร.บ.แพ่งและพาณิชย์ ปี 2472 ที่ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานที่ควบคุมดูแลธุรกิจการให้บริการประกันภัยด้วย นอกเหนือจากธุรกิจการพาณิชย์

ว่ากันว่าเหตุผลที่เป็นฉากบังหน้าในการร่างกฎหมายนี้ให้ขัดแย้งกับฉบับที่ ดร.ป๋วย ร่างก็เพราะบรรดากรรมการที่ร่างกฎหมายเห็นว่า ธุรกิจประกันภัยเป็นเรื่องการให้บริการไม่ใช่ธุรกิจการเงิน จึงเข้าข่ายในกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ว่า และตัวรัฐมนตรีเองหลายคนเป็นกรรมการบริษัทประกันภัยกันทั้งนั้น แม้แต่จอมพลประภาส จารุเสถียร ซึ่งขณะนั้นเป็นรองนายกรัฐมนตรีคู่บารมีจอมพลถนอมก็ยังเป็นประธานกรรมการบริษัทนครหลวงประกันภัยอยู่เลย

ก็แล้วอย่างนี้พวกกรรมการที่ร่างกฎหมาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าราชการประจำจะมีหน้าไหนที่กล้าไปร่างกฎหมายให้ขัดกับผลประโยชน์ของนักการเมืองระดับ "มาเฟีย" เหล่านั้นได้!

หรืออีกนัยหนึ่ง ไม่ต้องแคร์ว่าหน่วยงานอย่างกระทรวงพาณิชย์จะมี CALIBER เพียงพอหรือไม่ต่อการควบคุมธุรกิจประกันภัยให้มีประสิทธิภาพ

เรื่องอย่างนี้ว่าไปแล้วก็เหมือนกับการร่างกฎหมายแบบหลับตาข้างเดียว เพราะรู้กันอยู่ว่าธุรกิจประกันภัย จุดหัวใจในการทำรายได้มันอยู่ที่การเอาเงินของประชาชนที่ซื้อกรมธรรม์แลกกับการคุ้มครองมาลงทุน

และเมื่อกระทรวงพาณิชย์เอง โดยวัฒนธรรมในองค์กรของหน่วยงานนี้ไม่ว่าจะเป็นกรมกองไหน ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาต้อง DEAL กับพ่อค้านักธุรกิจอยู่ทุกวันอยู่แล้วดังนั้นลักษณะการควบคุมดูแลจึงเป็นแบบอะลุ้มอล่วยกับพ่อค้านักธุรกิจมาโดยตลอด

ว่ากันว่าผู้อำนวยการสำนักงานประกันภัยเมื่อต้องเดินทางไปต่างประเทศ พวกผู้บริหารและบรรดาเถ้าแก่บริษัทประกันจะคอยอำนวยความสะดวกให้?

ประเด็นนี้ผู้อำนวยการสำนักงานประกันภัยทุกคนตั้งแต่ชูเกียรติ ประมูลผล ถึงชลอ เฟื่องอารมย์ คงให้คำตอบได้ ว่าจริงหรือไม่?

แหล่งข่าวในวงการประกันภัยให้ข้อสังเกตกับ "ผู้จัดการ" ว่า จริง ๆ แล้วการควบคุมธุรกิจประกันของสำนักงานประกันภัยจะมุ่งดูที่การจ่ายค่าสินไหมของบริษัทแก่ผู้เอาประกัน กับเรื่องการขายกรมธรรม์ว่าเป็นธรรมกับประชาชนหรือไม่

เหตุผลเพราะ หนึ่ง-การมุ่งควบคุมด้านจ่ายค่าสินไหม มันเป็นกลวิธีทางจิตวิทยาที่แสดงให้เห็นว่า สำนักงานประกันภัยดำเนินงานอย่างจริงจังในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนผู้เอาประกันอย่าง แท้จริง

"เมื่อประชาชนผู้เอาประกันรู้ว่า สำนักงานประกันภัยเอาจริงเรื่องการจ่ายค่าสินไหมกับบริษัทประกันก็แห่กันมาร้องทุกข์ งานของสำนักงานประกันภัยก็จะมากขึ้น ซึ่งทุกวันนี้ปัญหาประจำวันของสำนักงานที่จะต้องสะสางส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเหล่านี้เกือบทั้งนั้น" แหล่งข่าวระดับสูงในสำนักงานประกันภัยกล่าวยอมรับกับ "ผู้จัดการ"

และสิ่งนี้เองก็คือเหตุผลหนึ่งที่สำนักงานประกันภัยอ้างกับผู้ใหญ่ในกระทรวงพาณิชย์ ในการ ขออนุมัติโครงการขยายสาขาระดับเขตของสำนักงานไปยังต่างจังหวัด

และสอง-การมุ่งควบคุมการขายกรมธรรม์ มันเป็นเรื่องไม่เกี่ยวข้องกับการหารายได้ของบริษัทประกันมากนักเมื่อเทียบกับการลงทุน ซึ่งเป็นหัวใจของผู้ทำธุรกิจประกันภัย ด้วยเหตุผลง่าย ๆ เหมือนกับที่โพธิ์ จรรย์โกมล อดีตผู้อำนวยการสำนักงานประกันภัย กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า เขาให้ความสำคัญในการควบคุมดูแลตรงนี้มาก เพราะเป็นผลประโยชน์ของประชาชนโดยตรง

ซึ่งว่าไปแล้วประเด็นนี้ก็สอดคล้องกับวัฒนธรรมหรือธรรมเนียมปฎิบัติของหน่วยงานทุกแห่ง ในกระทรวงพาณิชย์ ที่มี MENTALITY หมกมุ่นอยู่กับเรื่องการค้าขายมากกว่าสิ่งอื่น

ทั้ง ๆ ที่การควบคุมธุรกิจประกันภัย ที่มีฐานะเป็นสถาบันการเงินเหมือนกับแบงก์ และบริษัท-เงินทุนที่กระทรวงการคลังดูแลอยู่มันควรมุ่งไปที่การควบคุมอย่างใกล้ชิดในเรื่องการลงทุน เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับบริษัทมากกว่า

แต่ในเมื่อวัฒนธรรมและประเพณีปฏิบัติของกระทรวงพาณิชย์ในเรื่องที่ว่านี้ มันไม่เป็นเช่นนั้น

เรื่องก็มาอยู่ว่า ก็แล้วทำไม ไม่ให้กระทรวงการคลัง ซึ่งมีแบงก์ชาติอยู่ในมือเป็นผู้ดูแลแทนเสียล่ะ?   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us