24 ปีก่อน ประสิทธิ์ ณรงค์เดช หันเหวิถีชีวิตจากเป็นลูกจ้างมาเป็นเถ้าแก่ ด้วยการให้กำเนิดบริษัทอนามัยภัณฑ์ซึ่งเกิดจากร่วมมือระหว่างประสิทธิ์ในฐานะเป็นหัวเรือใหญ่กับเหล่าญาติ ๆ ด้วยทุนจดทะเบีย 2,200,000 บาท แต่มาเริ่มดำเนินการจริง ๆ ก็เมื่อปี 2509 เมื่อมีการเพิ่มทุนเป็น 4 ล้านบาท พร้อม ๆ กับการเข้าร่วมทุนกับสเตอร์ลิงอินเตอร์เนชั่นแนล (อ่านรายละเอียดในสก๊อต-เกษม อัดประสิทธิ์ใน "ผู้จัดการ" เดือนกุมภาพันธ์) ผลิตกระดาษชำระและผ้าอนามัยยี่ห้อเซลล็อกซ์ ซึ่ง "ชื่อเซลล็อกซ์ผมได้มาจากคำว่าเซลลูโลสซึ่งแปลว่าเนื้อเยื่อ แต่เมื่อผมมาตั้งเป็นยี่ห้อจะใช้คำว่าเซลลูโลสก็จะไม่เหมาะ ผมเลยใช้เป็นเซลล็อกซ์ใช้ภาษาฝรั่งหน่อยมันจะได้ดูขลัง" ประสิทธิ์เล่าที่มาของยี่ห้อสุดรักนี้ให้ฟัง
ความคาดหวังของประสิทธิ์ที่จะให้เซลล็อกซ์ขลังก็ดูจะประสบความสำเร็จ เซลล็อกซ์บูมมาก ๆ ทั้งผ้าอนามัยและกระดาษชำระ ทำให้ประสิทธิ์มีกำลังใจมุมานะในการบุกเบิกบริษัทใหม่ คือการเกิดบริษัทแปรรูปกระดาษไทยในปี 2511 ซึ่งมีแนวการดำเนินธุรกิจเหมือนกับอนามัยภัณฑ์ทุกกระเบียดอันสอดคล้องกับคำกล่าวของประสิทธิ์ที่ว่า "ผมชอบทำธุรกิจทีผมมีความถนัด" เขาเผยความรู้สึกในงานเปิดตัวโรงงานใหม่บีดีเอฟ
บริษัทใหม่ของเขานี่เองที่จะกลายเป็นตำนานการต่อสู้ของเขาในอนาคตซึ่งประสิทธิ์เองก็ไม่คาดคิดว่าจะมีวันนี้
แปรรูปกระดาษไทยของเขาในอีก 1 ปี ต่อมาได้ไปร่วมทุนกับบริษัทสก๊อตต์เปเปอร์ (ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นสก๊อตต์อินเตอร์เนชั่นแนล และกลายเป็นนสก๊อตต์-เวิลด์ไวด์ อิงค์) อันเป็นวิธีการที่เขานิยมชมชอบ
สก๊อตต์ เวิลด์ไวด์ อิงค์ เป็นเจ้าของยี่ห้อกระดาษชำระสก๊อตต์ และ เลดี้ สก๊อตต์ และในปี 2514 ประสิทธิ์ได้โอนลิขสิทธิ์การผลิตกระดาษชำระเซลล็อกซ์ให้บริษัทกระดาษไทยสก๊อตต์ (คือบริษัทแปรรูปกระดาษไทยซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นบริษัทกระดาษไทย-สก๊อตต์) เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายตามสเป็กที่อนามัยภัณฑ์ตกลงไว้ "ก็ไม่มีอะไรแปลก เพราะอนามัยภัณฑ์ก็ถือหุ้นใหญ่อยู่ในกระดาษไทย-สก๊อตต์เช่นกัน" แหล่งข่าวในวงการให้ความเห็น
ซึ่งก็เป็นจริงเพราะอนามัยภัณฑ์ก็ไม่ได้ค่าตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้นจากบริษัทกระดาษไทย-สก๊อตต์เลย
ที่น่าแปลกก็คือขณะที่บริษัทกระดาษไทย-สก๊อตต์ผลิตกระดาษสก๊อตต์ซึ่งเป็นยี่ห้อของสก๊อตต์ เวิลด์ไวด์ อิงค์เอง และในขณะเดียวกันก็ผลิตกระดาษชำระยี่ห้อเซลล็อกซ์ควบคู่กันไปด้วยนั้น แทนที่กระดาษทั้งสองยี่ห้อจะมียอดขายสูสีกัน แต่การณ์กลับปรากฏว่าเซลล็อกซ์กลับทำยอดขายแซงหน้าไปมากกว่าครึ่งอาทิ ปี 2526 เซลล็อกซ์ทำยอดขายได้ 78,540,232 บาท ขณะที่สก๊อตต์ทำยอดขายได้เพียง 30,593,800 บาท ขณะที่เซลล็อกซ์มียอดขายทวีขึ้นเป็น 91-105-124-142 ล้านตามลำดับ แต่สก๊อตต์ทำยอดขายได้เพียง 40-45-48-53 ตามลำดับ นับจากปี 2527 จนกระทั่งปี 2530 ที่ผ่านมา
ยอดกำไรของเซลล็อกซ์เริ่มจาก 19 ล้านในปี 26 และลดลงเป็น 13-9-14-18 ล้านในปี 2530 รวมกำไรใน 5 ปีที่ผ่านมาก็ตก 75,926,016.54 บาท ส่วนของสก๊อตต์ก็คงตัวมาตลอดจาก 7 ล้านในปี 2526 มาเป็น 7-8-9-9 ในปี 2530 รวม ๆ แล้วได้เพียง 42,206,044.61 บาท
เรียกว่าห่างกันเกือบครึ่ง หรือจะพูดอีกทีลูกเลี้ยงอย่างเซลล็อกซ์กลับมีทีท่าว่าจะรุ่งมากกว่าสก๊อตต์เสียด้วย และแนวโน้มในนาคตก็ยังไม่แปรเปลี่ยน
มันเป็นความอัดอั้นตันใจของผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทกระดาษไทย-สก๊อตต์มานานเต็มทีจึงในราวกลางปี 2530 สก๊อตต์เวิลด์ไวด์ อิงค์ จึงได้กว๊านซื้อหุ้นจากบรรดาผู้ถือหุ้นชาวไทยซึ่งก็คือ ประสิทธิ์ ณรงค์เดช นั่นเอง
ประสิทธิ์ ณรงค์เดช ขายแต่ เกษม ณรวค์เดช ผู้น้องไม่ขายแถมยังรั้งตำแหน่งประธานบริษัทกระดาษไทย-สก๊อตต์
มันเป็นความขัดแย้งทางการทำธุรกิจที่พอจะเห็นเป็นรูปธรรมได้ชัดเจน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ประสิทธิ์ปวดในเท่ากับการที่บริษัทกระดาษไทย-สก๊อตต์ "กระทำ" ต่อมิตรร่วมรบอย่างประสิทธิ์
การกระทำต่อยี่ห้อเซลล็อกซ์เป็นการกระทำอย่างเป็นกระบวนการ เริ่มจากเมื่อมีการขายหุ้นส่วนของประสิทธิ์ไปแล้วแต่มีการผลิตกระดาษชำระยี่ห้อในล็อตสุดท้ายออกมา ปรากฏแผ่นปลิวโฆษณาว่ามีการเปลี่ยนชื่อจากเซลล็อกซ์เป็นกระดาษชำระยี่ห้อสก๊อตต์แล้ว
เมื่อกระดาษชำระเซลล็อกซ์ที่สก๊อตต์ผลิตในงวดสุดท้ายหมดแล้ว สก๊อตต์ก็ยังใช้ยุทธวิธีเดิมคือใช้แผ่นปลิวใส่ลงไปในม้วนกระดาษชำรยี่ห้อสก๊อตต์เหมือนเดิม ตามติด้วยการส่งจดหมายแจ้งบรรดาร้านค้าและตามห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ
จนในที่สุดสก๊อตต์ใช้โฆษณาทางโทรทัศน์เป็นเครื่องมือมีการโฆษณาประเภมก้าวร้าวมาก ๆ
มีการจับเซลล็อกซ์หันกลายเป็นสก๊อตต์เท่านี้ ประสิทธิ์ก็ทนไม่ไหวแล้ว
แต่เขาก็มีการทำงานเป็นระบบ เป็นการสงบเงียบก่อนพายุใหญ่จะเกิด
หลังจากเกิดกรณีนี้ขึ้น ประสิทธิ์ก็แอบกล้ำกลืนฝืนทนดูเซลล็อกซ์ยี่ห้อรักถูกระทำย่ำยีด้วยการเปิดยุทธการบุกแหลกทางการตลาดและการผลิต ด้วยการร่วมมือกับทางบีดีเอฟ. เปิดโรงงานขึ้นอีกแห่ง สัประยุทธ์กับจอห์นสันแอนด์จอห์นสันซึ่ง ๆ หน้า ดูเหมือนประสิทธิ์จะไม่ยี่หระต่อการย่ำยีเซลล็อกซ์เอาจริง ๆ
จนกระทั่งครั้งหลังสุดเมื่อวันที่ 29 เมษายน ประสิทธิ์ก็เปิดตัวเซลล็อกซ์ ทูเดย์ ที่หายหน้าหายตาจากยุทธจักรผ้าอนามัยมานาน
การหวนคืนสู่ยุทธจักรของเซลล็อกซ์ครั้งนี้ไม่ใช่การหวนคืนสู่เวทีการแข่งขันธรรมดา แต่มันหมายถึงการเปิดสงครามอย่างเป็นทางการกับทุกบริษัทที่ขวางหน้า
วันเดียวกับที่เปิดตัวเซลล็อกซ์ทูเดย์เป็นวันเดียวกันกับที่ประสิทธิ์ ณรงค์เดช ฟ้องบริษัทกระดาษไทย-สก๊อตต์เป็นจำเลยที่หนึ่งและบริษัทสก๊อตต์พาณิชย์เป็นจำเลยที่สอง ซึ่งเป็นบริษัทจัดจำหน่ายเรียกค่าเสียหาย 75 ล้านบาท
มันจึงเป็นวันที่ประสิทธิ์ได้ชำระความแค้นที่แน่นอุรา สุภาษิตจีนว่า "สิบปีล้างแค้นไม่สาย"
แต่ประสิทธิ์รอเพียงไม่ถึงปี เมื่อเขาจัดกระบวนการทางธุรกิจเสร็จคู่แค้นเขาจะรู้สึก วันนี้เขาจึงลุยแหลกทางด้านธุรกิจ ส่วนวันพรุ่งนี้เขาคงโถมเข้าสู่วงการเมืองอย่างเต็มตัวอีกครั้ง
|