|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"แสนสิริ" โชว์ยอดขาย "แสนสิริ สุขุมวิท" ราคาพุ่ง 30% หลังเปิดขายไม่นาน พร้อมตุน 15 ยูนิต ปล่อยเช่าสร้างรายได้ระยะยาวลดความเสี่ยงทางธุรกิจ ดึงกลยุทธ์ให้ผลตอบแทนช่วยดันยอดขาย สร้างความมั่นใจลูกค้า เจาะตลาดนักลงทุน คาดกำไรจากการขาย 30% ยันยังไม่คิดใช้กลยุทธ์นี้ในโครงการบ้านเดี่ยว
นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวในการเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวแสนสิริ สุขุมวิท ว่า โครงการนี้มีพื้นที่ 40 ไร่เศษ มูลค่าขาย 3,500 ล้านบาท จำนวน 96 ยูนิต มูลค่าการลงทุน 2,800 ล้านบาท ใช้เงินกู้ในสัดส่วน 1 ต่อ 1 หรือประมาณ 1,400 ล้านบาท จากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด ปัจจุบันบ้านในโครงการทั้งหมดก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว และมียอดจองซื้อบ้านในโครงการแล้ว 30% หรือประมาณ 13-14 ยูนิต
โดยแบ่งการพัฒนาออกเป็น 3 โซน ประกอบด้วย โซนแรก ซึ่งจัดให้เป็นบ้านปล่อยเช่าจำนวน 25 ยูนิต ซึ่งจะปล่อยเช่าให้กับลูกค้าในทุกกลุ่ม ทั้งนี้ส่วนใหญ่กลุ่มลูกค้าที่เข้ามาเช่าบ้านจะเป็นลูกค้าชาวต่างชาติ และนักธุรกิจข้ามชาติที่เข้ามาทำงานและท่องเที่ยว ซึ่งไม่สามารถจะซื้อบ้านในประเทศไทยได้เนื่องจากกฎหมายไม่เปิดช่องให้ชาวต่างชาติเป็นเจ้าของที่ดินในประเทศได้ โดยระดับราคราปล่อยเช่าเริ่มต้นที่ 1.5-2.5 แสนบาทต่อเดือน ซึ่งขณะนี้จำนวนบ้านทั้ง 25 ยูนิตมีการทำสัญญาปล่อยเช่าหมดทั้ง 100% แล้ว ส่วนอายุสัญญาเช่านั้นจะเริ่มตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป
"การที่บริษัทแบ่งให้มีโซนบ้านเช่านั้นเนื่องจากต้องการให้บริษัทมีรายได้ส่วนหนึ่งที่แน่นนอนในระยะยาวเพื่อลดความเสี่ยง และส่วนหนึ่งเป็นเพราะตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการบ้านเช่าในระดับนี้ โดยเฉพาะลูกค้าต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวในประเทศไทยและต้องการเช่าบ้านที่มีการบริการเต็มรูปแบบในลักษณะโครงการแบบปิด ซึ่งจากการเปิดให้เช่าในโครงการนี้นับว่าประสบความสำเร็จมาก เพราะจนถึงขณะนี้แม้ว่ามีลูกค้ามาทำสัญญาเช่าเต็มหมดแล้วแต่ก็ยังมีลูกค้าอีกจำนวนมากที่รอคิวเช่าต่ออยู่" นายอภิชาติกล่าว
นายอภิชาตกล่าวว่า ส่วนโซนที่ 2 เป็นโซนของการปล่อยขายให้กับนักลงทุนในลักษณะการันตีรายได้ตอบแทนจากการปล่อยเช่า หรือการขายยีลด์ ว่าเมื่อลงทุนซื้อบ้านในโครงการแล้วหากปล่อยเช่าจะมีรายได้ และผลกำไรคุ้มค่ากับการลงทุนแน่นอน ซึ่งในส่วนนี้บริษัทจะการันตีกับลูกค้าที่ซื้อบ้านเพื่อปล่อยเช่า หรือลงทุนว่าจะมีผลตอบแทนที่สูงกว่าราคาบ้าน 5% โดยบริษัทจะรับหน้าที่หาลูกค้าเข้ามาเช่าบ้าน และรับประกันว่าค่าเช่าหรือผลตอบแทนจะได้รับสูงกว่าการฝากเงินในธนาคารที่มีดอกเบี้ยเงินฝากในปัจจุบันค่อนข้างต่ำ โดยบริษัทจะคิดค่าบริการในการจัดหาลูกค้าให้ในครั้งแรกประมาณครึ่งหนึ่งของอัตราค่าเช่า
ทั้งนี้ อัตราค่าเช่าดังกล่าว เมื่อนำไปจ่ายผ่อนส่งบ้านบวกกับอัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายให้กับสถาบันการเงินที่ลูกค้าขอกู้แล้วยังเหลือในส่วนที่เป็นกำไรจากการปล่อยกู้ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนที่ค่อนข้างคุ้มค่ามาก สำหรับบ้านในโซนที่ 2 ที่ขายในลักษณะขายยีลด์นี้ มีจำนวน 15 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 30-55 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทคาดว่าจะมีกำไรจากการขายโครงการนี้ที่ 30% และจะมีการเปิดตัวและเปิดการขายอย่างเป็นทางการบ้านในโซนดังกล่าวในเดือนเมษายนนี้
สำหรับโซนที่ 3 จะเป็นบ้านโซนที่ปล่อยขายโดยเฉพาะ มีจำนวน 56 ยูนิต มีแบบบ้านให้เลือก 4 แบบ ประกอบด้วย แบบไทป์ A ขนาดพื้นที่ 560 ตารางเมตร แบบไทป์ B ขนาดพื้นที่ 490 ตารางเมตร แบบไทป์ C ขนาดพื้นที่ 437 ตารางเมตร และแบบไทป์ D ขนาดพื้นที่ 394 ตารางเมตร มีราคาขายเริ่มต้นที่ 30-55 ล้านบาทเช่นกัน
นายอภิชาติกล่าวว่า โครงการนี้นับเป็นโครงการแรกที่บริษัทได้นำกลยุทธ์ในการบริหารโครงการแบบขายยีลด์มาใช้ เพื่อขายให้กับกลุ่มลูกค้าที่เป็นนักลงทุนนักเก็งกำไร ซึ่งนับว่าเป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดในลูกค้ากลุ่มนักลงทุนเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ในโครงการต่อๆ ไปคิดว่าบริษัทจะไม่นำกลยุทธ์แบบขายยีลด์มาใช้อีกเนื่องจากยังไม่เห็นว่าจะมีที่ดินผืนใหญ่ ในทำเลใดที่มีความเหมาะสม และจะสามารถใช้กลยุทธ์การขายยีลด์ได้ เพราะโครงการที่จะทำการขายในลักษณะนี้ได้ต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกแวดล้อมโครงการอย่างครบถ้วน ส่วนในโครงการคอนโดมิเนียมนั้น บริษัทก็ยังไม่มีแผนที่จะนำกลยุทธ์ขายยีลด์เข้าไปใช้
|
|
|
|
|