"ทศ จิราธิวัฒน์" โชว์วิสัยทัศน์หลังจากเข้ารับตำแหน่ง กรรมการ
ผู้จัดการใหญ่ เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่นได้เพียงเดือนเศษ วางเป้าหมายเป็นผู้นำ
ค้าปลีกทุกกลุ่มธุรกิจ เผยอีก 10
ปีข้างหน้าเซ็นทรัลรีเทลหนีไม่พ้นการเป็นบริษัทมหาชน
นายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ ใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น
จำกัด หรือซีอาร์ซี เปิดเผยถึงวิสัยทัศน์การบริหารงานของซีอาร์ซี
เป็นครั้งแรกหลังจากที่เข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ได้เพียงเดือนเศษว่า
ซีอาร์ซี เข้าสู่ยุคการบริหารงานในช่วง ที่สาม ภายใต้การปรับโครงสร้างใหญ่ของเซ็นทรัลกรุ๊ปเป็นครั้งที่
2 เมื่อวันที่ 4
มีนาคม 2545 โดยได้ดึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ในตระกูลจิราธิวัฒน์เข้ามาบริหารกลุ่มธุรกิจที่แบ่งออก
เป็น 5 กลุ่ม คือ เซ็นทรัลรีเทล โรงแรม อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจค้าส่ง และฟาสต์ฟูด
สำหรับกลุ่มเซ็นทรัลรีเทลนั้น นายทศ ได้วางนโยบายที่จะก้าวสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกในแต่ละธุรกิจที่ดำเนินการอยู่
โดยปัจจุบันเซ็นทรัลรีเทล ได้แยกธุรกิจออกเป็น Business Unit ประกอบด้วย
ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล โรบินสัน เซน เพาเวอร์บาย ซูเปอร์สปอร์ต บีทูเอส
โฮมเวิร์ค ออฟฟิศเดโป้ มาร์คแอนด์สเปนเซอร์ จัส25 และ เรดดอท
"แต่ละกลุ่มธุรกิจเรามองว่าเป็นแบรนด์ๆหนึ่ง แต่ละแบรนด์จะต้องทำให้เป็นที่
1 ใน ด้านส่วนแบ่งการตลาดและต้องเป็นที่ 1 ในใจของ ผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบันเราก็เป็นที่
1
เกือบหมดทุกประเภทแล้วยกเว้นโฮมเวิร์ค ที่เซ็นทรัลเปิดตัวทีหลังโฮมโปร ที่เป็นผู้นำอยู่ในขณะนี้"
นายทศ กล่าวว่า ในการวางเป้าหมายเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกนั้น เซ็นทรัลรีเทล
จะเป็นผู้นำได้เฉพาะกลุ่มธุรกิจประเภท non-food เท่านั้น เนื่องจากก่อนหน้านี้เซ็นทรัลรีเทล
มีหุ้นอยู่ในท็อปส์
ซูเปอร์มาร์เก็ต และบิ๊กซี แต่ในช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ได้เปิดโอกาสให้พันธมิตรจากต่างชาติเข้ามาเพิ่มทุนและถือหุ้นใหญ่แทน
ทำให้เซ็นทรัลรีเทลต้องตัดกลุ่มสินค้าประเภทอาหารออกไป
"หากเราไม่ตัดกลุ่มธุรกิจอาหารออกไป เซ็นทรัลรีเทลก็เป็นผู้นำในธุรกิจรีเทลทั้งในประเทศและในระดับภาคพื้นที่
ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก หากเราอดทนรออีกเพียง 2
ปีหลังเกิดวิกฤตโดยไม่ต้องเพิ่มทุนก็คงไม่ต้องเสียสองกลุ่มธุรกิจนี้ออกไป
อย่างไรก็ตามในวันนี้เราก็ยังทำงานในฐานะที่เป็นพันธมิตรกับท็อปส์และบิ๊กซีได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร"
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ เซ็นทรัลรีเทล ซึ่งมีผลประกอบการด้านยอดขายประมาณ
38,000 ล้านบาท ยังไม่ถือว่าเป็นผู้นำในธุรกิจ เมื่อเทียบกับยอดขายของเทสโก้โลตัสที่มีกว่า
40,000 ล้านบาท
ซึ่งเป้าหมายของเซ็นทรัลรีเทล ต้องเป็นบริษัทชั้นนำที่มีผลประกอบการดี มีการเติบโตต่อเนื่อง
มีกำไร ธุรกิจอยู่ได้อย่างเข้มแข็งและเป็นผู้นำตลาด รวมทั้งพนักงานของเซ็นทรัล
ที่มีกว่า 20,000
คนจะต้องทำงานอย่างมีความสุข นี่คือเป้าหมายที่นายทศ ได้ตีกรอบไว้ในช่วง
2-3 ปีนี้
ด้านการบริหารงานนั้น หลังจากที่นายทศ ขึ้นเป็นผู้นำระดับสูงสุดของเซ็นทรัลรีเทลแล้ว
เขากล่าวว่า การทำงานก็ยังเหมือนเดิม เพราะทำงานอยู่ในกลุ่มเซ็นทรัลรีเทลมานานถึง
10 ปี
ต้องทำงานเองในหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะธุรกิจใหม่ที่เกิดจากตัวเขาเองด้วยนั้น
จะลงมือทำเองทั้งหมด เช่น ธุรกิจบีทูเอส ซึ่งเป็นร้านขายหนังสือและเครื่องเขียน
และโฮมเวิร์ค ร้านขายอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน
แต่เมื่อขึ้นมาเป็นผู้บริหาร นายทศ ได้เปิดโอกาสให้ผู้บริหารและพนักงานในระดับผู้จัดการ
เสนอแนะข้อคิด รวมทั้งวางเป้าหมายที่จะสร้างการเติบโตในธุรกิจที่ทำอยู่ให้มากขึ้น
โดยเขาทำหน้าที่เพียงผู้สนับสนุนเพื่อให้เป้าหมายที่ระดับปฏิบัติการเสนอขึ้นมานั้นสามารถเดินหน้าไปสู่ความสำเร็จได้ตามเป้าหมายนั้น
โดยวัฒนธรรมองค์กรที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในขณะนี้ก็คือการจัดให้มี CEO Lunch
เป็นประจำทุก 2 สัปดาห์ ซึ่งนายทศ จะเชิญผู้บริหารระดับผู้จัดการ ที่มีอยู่ประมาณ
2,000 คน
เข้ามาร่วมรับประทานอาหารครั้งละ 20 คน เพื่อศึกษาความต้องการของผู้จัดการ
รวมทั้งการรับฟังปัญหาและแนวทางกรแก้ไข เพื่อ ให้เกิดการสื่อสารระหว่างคนภายในองค์กรให้มากขึ้น
ซึ่งจะทำให้ทุกคนทำงานได้ง่ายขึ้นและมีความสุขกับการทำงาน
อย่างไรก็ตาม นายทศ ได้กล่าวว่า แม้ว่าจะขึ้นมาเป็นผู้บริหารระดับสูงสุด
แต่อำนาจการตัดสินใจก็ยังขึ้นอยู่กับคณะกรรมการบริหาร ซึ่งมีคนรุ่นก่อนหน้านี้
หรือเป็นผู้บริหารรุ่นที่สองของตระกูลจิราธิวัฒน์
อาทิ สุทธิชาติ และสุทธิธรรม เป็นกรรมการบริหาร ส่วนผู้บริหารรุ่นแรก อาทิ
วันชัย ก็จะเป็นคณะกรรมการชุดใหญ่ที่ ทำหน้าที่ในการดูแลนโยบายของเซ็นทรัลกรุ๊ปในภาพรวม
เป็นผู้ดูแลและรักษาผลประโยชน์ให้แก่ผู้ถือหุ้นและของคนในตระกูลจิราธิวัฒน์ด้วย
"เป้าหมายในระยะยาวของเซ็นทรัลรีเทล คงหนีไม่พ้นเรื่องการเปลี่ยนเปลงตัวเองสู่การเป็นบริษัทมหาชน
เพราะในวันนี้ตระกูลจิราธิวัฒน์ใหญ่ขึ้นมีจำนวนสมาชิกกว่าร้อยคน
แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนในตระกูลจะได้เข้ามาบริหารทั้งหมด เราจะเลือกตามความเหมาะสมและความสามารถ
หากคนในตระกูลไม่มีความสามารถก็ต้องเปิดโอกาสให้คนนอกที่มีความสามารถเข้ามาบริหารแทน"
ซึ่งในปัจจุบันเซ็นทรัลรีเทลก็มีคนนอก เข้ามาบริหารงานหลายคน อาทิ นายปรีชา
เอกคุณากูล ดูแลบีทูเอส นายประวิทย์ อนันตวราศิลป์ ดูแลเพาเวอร์บาย เป็นต้น
และในอนาคตอาจมีคนอื่นเข้ามาร่วมบริหารงานอีก
สำหรับการขยายธุรกิจของเซ็นทรัลรีเทลนั้น นายทศ กล่าวว่า เป็นไปได้หลายแนวทาง
เช่นการทำธุรกิจที่มีอยู่ให้มีผลกำไรมากขึ้น การขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศ
หรือหากไม่สามารถขยายงานได้และการบริหารงานในกลุ่มธุรกิจอาหารของท็อปส์
และบิ๊กซี ไม่สอดคล้องกับเซ็นทรัลรีเทล ก็มีความเป็นไปได้ที่เซ็นทรัลรีเทล
จะเข้าไปซื้อหุ้นของทั้งสองธุรกิจเพื่อเป็น
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่และบริหารงานแทนซึ่งจะทำให้ธุรกิจขยายตัวได้อีกแนวทางหนึ่ง
แต่ในที่สุดแล้วเซ็นทรัลรีเทล ในอีก 10 ปีข้างหน้าก็จะหนีไม่พ้นการเป็นบริษัทมหาชน
เพื่อให้ธุรกิจของเซ็นทรัลรีเทลมีการเติบโตต่อไป