ธุรกิจเกษตรสมัยใหม่ของ "วังน้ำฝน" ที่กลายเป็นน้ำกรดแช่เย็นราดรดใจแบงก์กรุงเทพให้ขบคิดอย่างหนัก ถึงจะไม่ใช่โศกนาฎกรรมใหญ่ของแบงก์นี้ก็ตาม ทว่าก็เป็นเรื่องสุดเศร้าอีกบทหนึ่งในตำนานเจ้าหนี้-ลูกหนี้ โดยเฉพาะข้อแปลกแยกของกรณีนี้ที่เกิดขึ้นเพราะกุศลกรรมในเชิงธุรกิจแท้ ๆ เทียว !!!
พัฒนาการทางเศรษฐกิจที่บิดเบี้ยวได้บ่งชัดนับครั้งไม่ถ้วนแล้วว่า เจ้าสัตว์สี่เท้าที่ถูกเรียกอย่างดูถูกดูแคลนว่า "หมู" นั้นคือที่มาของปัญหาหลากหลายรูปแบบที่ชวนให้ปวดเศียรเวียนเกล้าไม่รู้หยุดหย่อน
ความสัมพันธ์ของ "คน" กับ "หมู" ซึ่งตัดกันไม่ตาย ขายกันไม่ขาด ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าหลายขวบปีมานี้หลายคนได้กินบุญหมูจนร่ำรวย มีอำนาจวาสนาขึ้นมาทันตาเห็น หลายคนที่อิ่มหมีพีมันไปกับการสวาปามผลประโยชน์ที่เคลือบแฝงในรูปแบบต่าง ๆ จนแทบจะมีสรีระคล้ายกับหมูเข้าไปทุกวี่วัน
และแน่ล่ะว่ามีไม่น้อยเหมือนกันที่โดนหมู "ไล่กัด" จนแทบจะเสียผู้เสียคนมาแล้ว !!!
ดังนั้น ไม่ว่าจะอะไรที่เกี่ยวพันกับ "หมู" จึงไม่ใช่เรื่องพึงเลินเล่อว่ามันจะง่ายไปเหมือนอย่างใจคิด ถึงจะละเอียดรอบคอบเชี่ยวชาญสักปานไหนก็ไม่แน่ว่าอาจมีจุดอันตรายที่จะถูกขบกัดได้ทุกเมื่อ วิกฤติการณ์หนี้สินที่โถมทับจนหลังแทบแอ่นที่เกิดขึ้นแล้ว กับบริษัทวังน้ำฝน จำกัด น่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้พึงสังวรณ์อีกคำรบหนึ่ง
วังน้ำฝนโดดเข้าจับโครงการเลี้ยงหมูด้วย ความตั้งใจแรงกล้าที่จะแบ่งสรรปันผลประโยชน์ให้กับเกษตรกรอย่างงดงามที่สุด จุดเริ่มต้นที่ดูสวยหรูด้วยความร่วมมืออย่างพรักพร้อมจากแบงก์กรุงเทพ คงไม่มีใครนึกคิดหรอกว่า...
ถึงวันนี้บทสรุปของเรื่องทำไมจะต้องกลายเป็นความเศร้าสลดหดหู่อย่างเหลือประมาณ ???
จุดที่ใกล้จบของซากชีวิตที่ไร้วิญญาณอย่างวังน้ำฝนคงไม่สิ้นสุดเพียงแค่เรื่องการฟ้องร้องบังคับหนี้สินร่วม 700 ล้านที่แบงก์กรุงเทพจำต้องทำใจ "เชือด" ลูกหนี้ที่มองเห็นแล้วว่าไม่มีทางจะปลดแอกหนี้สินได้สำเร็จด้วยความปวดร้าวเหน็บลึกในใจเท่านั้น เพราะลึก ๆ ของเรื่องนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าแบงก์กรุงเทพถูกหลอกให้หน้าแหกอย่างจังอีกครั้งหรือเปล่า???
ที่สุดงานนี้ "หมู" ได้กลายเป็นฆาตรกรเลือดเย็นที่มาร่วมตัดสินชะตากรรมอนาคตคนบางคนให้ดับวูบในชั่วพริบตา มันเกิดขึ้นแล้วและเป็นคำถามต่อไปอีกว่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นอีกครั้งไหมกับใครก็ได้ที่พลัดหลงเข้ามา !!??
ความเป็นมา
"ความสำเร็จของงานหนึ่งไม่ได้เป็นสูตรสำเร็จบอกถึงความรุ่งโรจน์ของงานอื่นเสมอไป"
กฎแห่งความไม่เที่ยงแท้ที่ดีที่สุดสำหรับการอธิบายกรณีของวังน้ำฝน ซึ่งเกิดขึ้นเป็นจริงเพราะความเชื่อมั่นสูงสุดทั้งแบงก์และคนลงทุนที่มองเห็นความสำเร็จอย่างน่าชื่นใจมาแล้วกับโครงการเกษตรกรรมสมบูรณ์แบบบ้านหนองหว้า อ.พนมสารคาม จ. ฉะเชิงเทรา
โครงการหนองหว้าเป็นความร่วมมือกันของแบงก์กรุงเทพกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี.)
ที่เข้าไปดำเนินโครงการเลี้ยงหมูในรูปแบบสหกรณ์จนสามารถปันผลกำไร/ปี ให้กับเกษตรกรและเจ้าโครงการอย่างมหาศาล กระทั่งกลายเป็นแม่แบบของงานพัฒนาธุรกิจเกษตรและปศุสัตว์สมัยใหม่ในที่สุด
วังน้ำฝนย่ำรอยเดิมด้วยการร่วมมือกับแบงก์กรุงเทพ จัดสร้างโครงการหมู่บ้านเกษตรกรรมแห่งใหม่เพิ่มขึ้นอีก 2 แห่งในปี 2523 คือที่หมู่บ้านเกษตรกรรมทรายขาว และหมู่บ้านเกษตรกรรมลาดตะเคียน 1 และ 2 อ.วังน้ำเย็น จ. ปราจีนบุรี ซึ่งที่นี่ก่อนหน้านี้ทางวังน้ำฝนได้ไปลงทุนปลูกพืชไร่ (ข้าวโพด) และไซโลไว้ก่อนแล้ว นับเป็นการปูพื้นที่ไม่เลวนักเพราะเมื่อฟาร์มหมู่เสร็จก็สามารถป้อนอาหารสัตว์ที่เป็นผลพลอยได้จากพืชไร่เข้าไปเลี้ยงได้ทันทีทันควัน
ความแตกต่างในสองโครงการของวังน้ำฝนกับหนองหว้าอยู่ตรงที่ "ตัวเกษตรกร" ที่เข้าไปดำเนินงาน วังน้ำฝนได้ขอความร่วมมือจากองค์การทหารผ่านศึกเป็นคนคัดเลือก ทหารพิการจากสงครามเข้ามาเป็นแรงงาน (เริ่มงานในปีงบประมาณ 2525) จำนวน 228 ราย (ทรายขาว 84 ราย ลาดตะเคียน 1, 2, 104 และ 40 รายตามลำดับ)
วังน้ำฝนนอกจากมองความสำคัญของทหารพิการเป็นตัวสร้างภาพพจน์ดีงามแก่บริษัทแล้วนั้น อาจเป็นไปได้อีกประการหนึ่งว่า คงมีความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวทหารเหล่านั้นว่าถึงแม้จะปลดประจำการแล้วก็ตาม แต่ค่าที่เคยอยู่ในกฎระเบียบวินัยคงเป็นคนที่มีคุณภาพพอที่จะเสริมศักยภาพความสำเร็จให้สูงยิ่งไปกว่าหนองหว้า
ด้วยมูลเหตุนี้กระมังวังน้ำฝนจึงกล้าพอที่จะทำสัญญา ชนิดอัตราเสี่ยงค่อนข้างสูงในลักษณะผูกมัดตัวเองหลายข้อ เช่น หนึ่ง- ยินยอมจัดหาที่ดิน 6,000 ไร่ ให้กับครอบครัวทหารแทนที่จะใช้ที่ดินในส่วนของกองนิคมอุตสาหกรรมขององค์การทหารผ่านศึก สอง-ยินดีสร้างบ้านพักราคาหลังละ 120,000 บาท และโรงเรือนเลี้ยงหมูหลังละ 430,000 บาทให้ก่อน สาม- เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ที่ทหารผ่านศึกกู้จากแบงก์มารายละ 1,000,000 บาท สี่ - พร้อมประกันรายได้ขั้นต่ำ 2,000 บาท/เดือน/ครอบครัว ในระยะเวลานานถึง 10 ปี
ที่กล่าวว่าสัญญานี้นักลงทุนอย่างวังน้ำฝน มีความเสี่ยงสูงเนื่องเพราะ หนึ่ง- วังน้ำฝนเพิ่งเริ่มดำเนินกิจการ ทว่าแผนปฏิบัติการที่ปรากฏออกจะรุกคืบอย่างหนักหน่วย ด้วยความมั่นใจสูงว่าไม่น่าพลาด ทั้ง ๆ ที่ตลาดหมูนั้นหลายคนบอกว่ามันผกผันอยู่เป็นนิจ สอง - ระยะเวลาสัญญาที่ผูกพันกันถึง 10 ปี แบบว่าจ้างทหารผู้เดียวมองแล้วเหมือนกับปิดตาแก้ปัญหาแต่เนิ่น ๆ เนื่องจากหากเกิดความไม่ชอบมาพากลใด ๆ ขึ้นมาสภาพการณ์อิหลักอิเหลื่อมีความเป็นไปได้มากที่จะเกิดกับวังน้ำฝน
"วังน้ำฝนคงมั่นใจมากถึงกล้าทำอย่างนี้ เอากันง่าย ๆ แค่บ้านพักและโรงเรือนผมไปเห็นแล้วคิดว่ามันเหมาะสมกับเกษตรกรศักดินาเสียมากกว่า ดูแล้วเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ โดยไม่จำเป็น หรืออย่างจำนวนเกษตรกร 6 คน ต่อการเลี้ยงแม่พันธุ์ 36 ตัวนั้นก็มากเกินไป สองคนหรือสามคนก็พอแล้ว" คนที่เคยเข้าไปดูงานที่ทรายขาวมาแล้วเล่าให้ฟัง
งานนี้จึงเป็นเรื่องที่ทหารมีแต่ได้กับได้อย่างที่อีกกี่สิบปีสิบชาติยังไม่รู้เลยว่าจะพานพบอย่างนี้อีกไหม? ส่วนวังน้ำฝนนอกจากเชื่อมั่นเด็ดเดี่ยวในกุศโลบายของตนว่าจะสอดคล้องไปได้ดีกับผลตอบแทนทางธุรกิจแล้วนั้น บางคนตั้งข้อสงสัยเพิ่มว่าเป็นเพราะปรารถนาแรงกล้าที่จะอุทิศตัวเพื่อสังคม จึงต้องทำให้กลายเป็น "หมูรองบ่อน" ที่ถูกมัดมือชกโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว???
นอกจากสองโครงการนี้แล้ว วังน้ำฝนยังได้กู้เงินอีกจำนวนหนึ่งจากแบงก์กรุงเทพนำไปดำเนินการในลักษณะเดียวกันนี้อีกที โครงการส่งเสริมพืชไร่วังน้ำเย็น จ.ปราจีนบุรี โครงการเกษตรกรรมวังน้อย จ. อยุธยา และโครงการเกษตรกรรมคลอง 13 จ. ปทุมธานี ในระยะเวลาไม่ห่างกันนัก
ตอนนั้น ๆ แม้แต่ซีพี. ที่เป็นยักษ์ใหญ่ก็ยังมองวังน้ำฝนด้วยความน่าทึ่งอยู่ในทีไม่น้อย แบงก์กรุงเทพเองก็ครึ้มอกครึ้มใจว่าวังน้ำฝนจะเป็นตัวเปิดเกมรุกสินเชื่อเกษตรที่น่าครั่นคร้าม และตัววังน้ำฝนเองก็ฝัน ๆ ว่า อีกไม่นานจะก้าวขึ้นสู่ทำเนียบผู้นำธุรกิจด้านนี้ให้จงได้
อะไร ๆ มันช่างดูดีไปเสียหมด ดีเสียจนไม่อยากจะรู้สึกว่ามันกำลังจะเป็นจุลไปแล้วในปัจจุบัน !!
แบงก์กรุงเทพนั้นภูมิใจมากกับสินเชื่อเกษตรที่ตัวเองจุดพลุขึ้นมาเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน เพราะ ถือเป็นการช่วยเหลือกระดูกสันหลังของประเทศให้กินดีอยู่ดีโดยแท้ กล่าวกันว่าวงเงินสินเชื่อส่วนนี้ ของแบงก์เทียบได้กับสินเชื่อทั้งระบบของแบงก์ขนาดกลางแห่งหนึ่งเลยทีเดียว
ใครที่คุมงานนี้ถือเป็นการอุ่นเครื่องก่อนก้าวไปสู่ชั้นยศ EVP มองจากพื้นฐานนี้ถึงคนที่มีใบ รับรองว่าเป็นอดีตนายธนาคารยอดเยี่ยมแห่งปี คนที่ย้ำถึงการอุทิศชีวิตเพื่อแบงก์เพียงสถานเดียว และยังช่ำชองกับงานนี้มาแล้วอย่าง ชูศักดิ์ หิมะทองคำ เขาน่าจะอยู่ในข่ายความก้าวหน้านี้อย่างเต็มเปี่ยม!!??
ชูศักดิ์เกิดและมีชื่อเสียงขึ้นมาพร้อมกับสินเชื่อเกษตรโดยแท้เทียว กระทั่งเมื่อใหญ่ขึ้นในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่าย พร้อมกับริเริ่มโครงการหนองหว้าจนเป็นที่ระบือลือนาม ชื่อของเขาเหมือนถูกกล่าวขวัญไปในทางที่ดีมากว่า ตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ร้อยเอาร้อยมีหรือจะพ้นมือเขาไปได้???
เขาในขณะนั้นเปรียบดั่งม้าศึกคึกคะนอง ยิ่งเจ้าของคอกอย่าง ชาตรี โสภณพนิช คอยเกื้อหนุนเป็นกำลังใจและปล่อยให้โลดแล่นเต็มที่เพื่อพัฒนาสินเชื่อเกษตรที่ถูกกำชับจากแบงก์ชาติว่า แบงก์พาณิชย์ทุกแห่งต้องปล่อยสินเชื่อนี้ 13% ของเงินฝากทั้งหมด ในฐานะผู้นำเขาและแบงก์กรุงเทพย่อมจะพบกับความพ่ายแพ้ไม่ได้เด็ดขาด -(อ่านเพิ่มเติมเรื่องชูศักดิ์ใน "รายงานผู้จัดการ")
ไม่นับโครงการขนาดใหญ่เช่นหนองหว้าที่ปล่อยเงินกู้แก่ ซีพี. เป็นเงินหลายร้อยล้านบาท แบงก์กรุงเทพและชูศักดิ์ยังได้อำนวยความสะดวกด้านนี้แก่เกษตรกรรายอื่น ๆ นับเป็นเงินร่วมหมื่นล้านบาท เรียกได้ว่าสินเชื่อเกษตรบัวหลวงชูช่ออรชรไปทั้งแผ่นดินก็ว่าได้
แล้วเพราะความสำเร็จอย่างชื่นมื่นของหนองหว้านั่นล่ะที่ทำให้ชูศักดิ์รู้สึกนึกคิดว่า เขาน่าจะ รังสรรค์โครงการแบบนี้ขึ้นมาอีก และครั้งนี้ก็ควรทำให้เป็นธุรกิจเกษตรครบวงจรอย่างสมบูรณ์แบบ 100% เสียที !! คนที่รู้จักชูศักดิ์ดีบอกว่า "เขาฝันว่าเมืองไทยจะต้องมีอย่างคิบบุทซ์ของอิสราเอลสักแห่งหนึ่ง ยิ่งเมื่อได้ใจจากหนองหว้าจึงกระโจนใส่วังน้ำฝนโดยไม่กลัวเกรง"
วังน้ำฝนเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นมาโดย พิเชษฐ์ เหล่าเกษม ซึ่งเป็นคนเดียวกับพิเชษฐ์ของซีพี. ที่ควบคุมบริหารงานให้กับหนองหว้าจนรุ่งเรืองคนเราลองเมื่อเห็นฝีไม้ลายมือกันยิ่งกว่าไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่อย่างชูศักดิ์ - พิเชษฐ์ นั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดที่ชูศักดิ์จะกล้าตัดสินใจอำนวยเงินสินเชื่อให้กับวังน้ำฝนเป็นเงินร่วม 400 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการธุรกิจเกษตรที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่แบงก์เคยช่วยเหลือมา !!
"ผมมองพิเชษฐ์อย่างชื่นชมความสามารถของเขา เขาร่วมงานกับ ซีพี. มาเกือบ 10 ปี จนแทบจะอ่านเกมธุรกิจนี้ได้ทะลุปรุโปร่ง เขาเป็นคนที่มีอัธยาศัยดี เราพูดคุยกันรู้ในทุกเรื่อง ที่ผมช่วยเขา เพราะเราเชื่อถือกัน" ชูศักดิ์เคยบอกกับ "ผู้จัดการ" ถึงเหตุผลที่เขากล้าเสี่ยงปล่อยเงินกู้มโหฬารถึงขนาดนั้น
มันคงเป็นสัญญาสุภาพบุรุษที่มีรากฐานแน่นหนักจากความเชื่อมั่นว่า ไม่มีภูเขาลูกไหนที่คนปีนป่ายไปไม่ถึง และไม่ใช่เรื่องยากที่คนตั้งใจจริง 2 คน จะพัฒนาเกษตรกรขึ้นมาให้เป็นคนที่มีลมหายใจกระจายได้ทั่วท้องเฉกเช่นคนอื่น ๆ ในสังคม !!!
พิเชษฐ์จบปริญญาตรี พาณิชยศาสตร์และการบัญชี จากจุฬาฯ เคยทำงานกับบริษัท ดีไซน์ ไทย ก่อนที่จะย้ายไปอยู่กับซิงเกอร์ที่กินเวลาไม่นานนัก จากนั้นจึงลาออกไปเรียนต่อ เอ็มบีเอ. ที่สหรัฐฯ จนจบแล้วเข้าฝึกงานในบริษัท อาร์.เบย์.เอเคอร์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตสุกรรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯและของโลก
ข้อต่อครั้งนั้นมีผลดีต่อชีวิตของเขามากเพราะ หนึ่ง - อาร์.เบย์.เอเคอร์ เลือกเขาเพราะมองเห็นแววเฉียบฉลาดว่าเขามีดีพอที่จะเป็นคนเปิดตลาดให้กับบริษัทในย่านเอเชีย ซึ่งพิเชษฐ์ก็ทำได้จริง ๆ ในเวลาถัดมาจนปัจจุบันนี้เขากินค่าหัวคิวจาก อาร์.เบย์.เอเคอร์. เดือนละหลายแสนบาท โดยไม่ต้องเหนื่อยแรงอีกแล้ว สอง- ที่นี่เขาได้พบกับ "เสี่ยกก" หรือ ธนินท์ เจียรวนนท์ นายใหญ่ของซีพี. ที่มีกิจธุระกับ อาร์.เบย์. เอเคอร์ เป็นประจำ เสี่ยกกชอบเขามากถึงกับเอ่ยปากชวนให้มาร่วมงานกับซีพี. ด้วยตนเอง
มันก็ไม่บ่อยครั้งนักหรอกที่คนชอบเลี้ยงนกพิราบอย่างเสี่ยกกจะไว้วางใจใครสักคนหนึ่งถึงเพียงนี้ !!!
ฟาร์มกรุงเทพเป็นธุรกิจหลักที่ ซีพี. ตั้งใจปลุกปั้นให้ยิ่งใหญ่เพื่อการเป็นผู้นำในตลาดปศุสัตว์ ซึ่งที่นี่พิเชษฐ์เข้าทำงานในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ เป็นพระอันดับ 2 ที่มีอำนาจสั่งงานรองลงมาจากเสี่ยกก นอกจากนี้เสี่ยกกยังวางใจให้เขาเข้ามาช่วยเหลือเรื่องการเงินของกลุ่มบริษัทในเครือด้วย
เส้นทางเดินของคนหนุ่มเช่นเขาในบริษัทใหญ่ ๆ อย่างซีพี. สวยสดงดงามเสียนี่กระไร ว่าไปแล้วเขาก็ไม่ได้สร้างความผิดหวัง ในเวลาไม่กี่ปีที่เข้ามาทุกคนยอมรับว่าพิเชษฐ์เป็นหัวจักรในการขยายงานของฟาร์มกรุงเทพ จนครอบคลุมทั่วทุกปริมณฑลที่เหมาะแก่การเลี้ยงสัตว์ รากฐานที่เขาสร้างให้กับฟาร์มกรุงเทพฯ เหนียวแน่นดุจตาข่ายทองคำ !!
แต่โครงการที่สร้างชื่อแก่เขามากที่สุดก็คือโครงการหนองหว้า ซึ่งเขาขบคิดและร่วมพัฒนามากับชูศักดิ์ของแบงก์กรุงเทพตั้งแต่ต้น ลุกน้องเก่าของเขาที่ซีพี. บอกว่าพิเชษฐ์ทุ่มเทสติปัญญาความสามารถ ที่มีอยู่ให้กับหนองหว้าราวกับเป็นชีวิตของเขาเองทีเดียว
พิเชษฐ์นอกจากจะเป็นคนที่มีอัธยาศัยดี นุ่มนวล เชื่อมั่นในตนเองสูงแล้ว ยังเป็นคนที่มีแนวคิดใหม่ออกมาเสมออย่างเรื่องสภาเกษตรแห่งชาติ ก็ว่ากันว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างสูงคนหนึ่ง คงเป็นเพราะเหตุนี้จึงทำให้ ชาตรี โสภณพนิช อุ่นใจได้กับการปล่อยกู้ที่วงเงินดูจะสูงกว่าหลักทรัพย์ค้ำประกัน???
เพราะความสำเร็จจากโครงการหนองหว้าทำให้คู่กรรม พิเชษฐ์ - ชูศักดิ์มองว่า ถึงที่สุดแล้วนั้น หนองหว้ายังได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งที่ตั้งใจ สองคนนี้หวังมากที่จะเห็นสหกรณ์เกษตรในลักษณะคิบบุทซ์ของอิสราเอลปรากฎขึ้น และจากจุดนี้พิเชษฐ์จึงดีดตัวออกมาจาก ซีพี. ตั้งบริษัทวังน้ำฝน เป็นตัวของตัวเอง ซึ่งก็มีผู้ใหญ่บางคนของ ซีพี. ไม่สู้พอใจที่เขาทำอย่างนี้
โครงการทรายขาวและลาดตะเคียนของวังน้ำฝนนั้น เมื่อพิเชษฐ์เสนอแนวคิดว่าจะนำทหารพิการเข้ามาเป็นเกษตรกรดูทุกคนจะชื่นชมกันมาก เนื่องจากการทำเช่นนี้เป็นการยิงนกด้วยกระสุนนัดเดียวแต่ได้นกถึงสองตัว คือ หนึ่ง- เป็นการสร้างภาพพจน์ที่ดีงามว่า องค์กรธุรกิจชั้นนำ เช่นแบงก์กรุงเทพยังมองเห็นคุณค่าของทหารพิการ ที่เสียสละชีวิตจนทุพพลภาพ สอง- ยังมีหวังได้รับผลตอบแทนทางธุรกิจที่น่าจะคุ้มค่าอีกด้วย
แบงก์กรุงเทพและชาตรีแทบจะเออออห่อหมกไปเสียทุกอย่าง ยิ่งเห็นว่าพิเชษฐ์สามารถไปเช่าที่ดินจากกรมป่าไม้มาได้ในราคาถูกซึ่งน้อยคนนักที่จะเจรจาเอามาได้ก็ยิ่งตอกย้ำความมั่นใจเป็นทวีคูณ เมื่อผสมเข้ากับความเชี่ยวชาญของลูกน้องอย่างชูศักดิ์ แบงก์กรุงเทพก็คงไม่คิดอะไรมากไปกว่า...
ปล่อยให้เงินไปเที่ยว เดี๋ยวเดียวมันก็คงกลับมาเป็นสองเท่าสามเท่า !?
อย่างว่านั่นแหละถ้าทุกอย่างดีหมดดังใจคิดความวุ่นวายคงไม่เกิดขึ้น ซึ่งเมื่อมองวงเงินกู้ที่สูงกว่าหลักทรัพย์ค้ำประกันที่มีอยู่จริง ๆ ไม่เกิน 200 ล้านบาทของวังน้ำฝน เรื่องคงไม่แตกต่างกับกรณีอุตสาหกรรมเสถียรภาพเท่าใดนัก ดีหน่อยที่ครั้งนี้แบงก์ยังเหลือหน้าไว้แก้ต่างบ้างเล็กน้อย
โดนเข้าจั๋งหนับอย่างนี้เลยมีข่าวว่า ผู้นำสินเชื่อเกษตรอย่างแบงก์กรุงเทพ ดูท่าจะเข็ดขยาดที่จะปล่อยกู้แก่รายหนึ่งรายใดเป็นวงเงินสูง ๆ อย่างนี้อีกแล้ว ???
แหล่งข่าวในแบงก์กรุงเทพบอกกับ "ผู้จัดการ" ว่า นอกจากจะยื่นฟ้องร้องต่อศาลให้บังคับหนี้สินของวังน้ำฝน ภายในแบงก์เองอาจมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนบุคคลที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ และยังทำงานอยู่กับแบงก์ว่า เหตุแห่งความล้มเหลวเป็นเรื่องของความบังเอิญหรือจงใจเจตนาที่จะทุจริตกันแน่ !!?
หากเป็นเช่นนี้จริงก็เท่ากับว่าอดีตนายธนาคารยอดเยี่ยม ชูศักดิ์ หิมะทองคำ จะต้องกลายเป็นจำเลย โดยดุษณี เพราะเรื่องนี้คนที่รู้เรื่องดีที่สุดก็คือตัวเขา
"ผมไม่แก้ตัวว่าผมไม่ผิดพลาด เราทำไปโดยไม่นึกว่าเหตุการณ์มันจะผันแปร พิเชษฐ์เองเขาก็เสียใจที่ทำให้ผมเดือดร้อน แต่ผมไม่โทษเขา ไม่คิดว่าเขาจะโกงด้วย มันเป็นเรื่องของความบังเอิญที่เราบังคับมันไม่ได้ แต่ถ้าบอกว่าผมทุจริตผมจะสู้เต็มที่ ผมทำแบงก์มา 25 ปี ไม่เคยมีเรื่องด่างพร้อย ถ้าผมมันโกงจริงป่านนี้ผมไปผูกคอตายแล้ว" ชูศักดิ์ระบายความในใจให้ "ผู้จัดการ" ฟัง
เรื่องที่ชูศักดิ์จะถูกสอบสวนในประเด็นโครงการทรายขาวและลาดตะเคียนนั้น หากพิจารณาเหตุผลโดยเที่ยงธรรมแล้วเขามีความบริสุทธิ์อยู่ไม่น้อยเลย แต่ชนักที่นักพัฒนาธุรกิจเกษตร อย่างเขาอาจจะถอนไม่ออกก็คือเรื่องที่ดินที่ตั้งโครงการเกษตรกรรมคลอง 13 จ.ปทุมธานี ซึ่งมีข่าวว่าที่ดินนี้เดิมทีทางวังน้ำฝนจะเป็นผู้เช่า แต่ไม่รู้ว่าทำไมทำไปทำมาจึงกลายเป็นการซื้อ-ขายกันไปได้ นับเป็นการผิดสัญญาอย่างร้ายแรง และการโอนเงินซื้อขายปรากฏว่าแบงก์แทบจะไม่รู้เรื่องเลยสักนิด
ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าที่ดินแปลงนั้นกล่าวกันว่า เป็นที่ดินญาติสนิทคนหนึ่งของชูศักดิ์เสียด้วย ดังนั้นถ้าจะไม่ชอบมาพากลอะไรเขาก็น่าจะรู้เรื่องดีคนหนึ่ง ซึ่งถ้าแบงก์จะเอาผิดทางวินัยในประเด็นนี้ เขาอาจดิ้นไม่หลุด ??
พิเชษฐ์กับชูศักดิ์จึงนับเป็นคู่กรรมกันจริง ๆ ทั้งสองดังคู่กันมาจากโครงการหนองหว้า แล้วก็มาพบความรันทดด้วยกันอีกในโครงการวังน้ำฝน พิเชษฐ์กลายเป็นบุคคลที่ถูกฟ้องล้มละลาย เครดิตทางธุรกิจของเขาหดสิ้นในฉับพลับ ส่วนชูศักดิ์วัย 55 ปี ของเขาถึงไม่อาจปีนไปสู่จุดสูงสุดของการเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ได้สำเร็จ (ในวันนี้) หากแต่ถึงเวลาที่จะต้องเดินลงจากเวทีมันก็ควรยิ่งใหญ่และ มีศักดิ์ศรี
ไม่ใช่ต้องเดินลงปลงตกกับความเป็นจำเลยที่อาจจะเป็นจริงขึ้นมาก็ได้???
เรื่องราวของชูศักดิ์มีบางคนบอกว่า "ถึงจะเป็นใหญ่ในแบงก์ได้ทว่าอย่าให้พลาดก็แล้วกัน เพราะเมื่อใดที่พลาดคุณอาจถูกเหยียบอย่างไม่ปรานี" ชูศักดิ์ตกอยู่วงจรอุบาทว์นี้หรือไม่นั้นตัวเขาย่อม รู้ดีที่สุด!!???
ปัญหา
"ไม่น่ามีปัญหาเกิดขึ้นกับวังน้ำฝน" !!
ก็ควรเป็นเช่นนั้นถ้าดูแค่เปลือกนอก เพราะทั้งรูปแบบและเนื้อหา แต่จริง ๆ แล้วมันไม่เป็นเช่นที่กล่าวไม่ว่าจะเป็นโครงการไหนล้วนตกอยู่ในสภาพเตี้ยอุ้มค่อมเสียทั้งสิ้น กอร์ปกับเป็นความโชคร้ายสุดขีดที่สถานการณ์ ณ เวลานั้นมีความผันแปรสูงด้วย
จุดเปราะบางที่สุดเกิดขึ้นแล้วตรงที่ เวลาและดวงมันซวย !!!!
พิเชษฐ์ก่อนที่จะเริ่มโครงการทรายขาวและลาดตะเคียน เขาได้ไปบุกเบิกให้ชาวไร่ปลูกข้าวโพด พร้อมรับซื้อในเขตพื้นที่ใกล้เคียงกันถึง 3,000 ไร่ เนื่องจากเห็นว่าพื้นที่นั้นเป็นแหล่งวัตถุดิบขนานแท้ และยังหวังอีกว่าเมื่อโครงการเลี้ยงหมูเกิดขึ้นจะได้รับประโยชน์ทางอ้อมนำข้าวโพดไปทำอาหารสัตว์อีกด้วย จนคนที่สนิทกับเขาพูดว่า "พิเชษฐ์คิดถึงการตั้งโรงงานอาหารสัตว์รอไว้ในสมองแล้วด้วย"
แต่เขากลับอกหัก ทั้งที่การต่อสู้เพิ่งดำเนินไปเพียงไม่กี่ยกเท่านั้น !!
ปี 2525 ที่ไซโลข้าวโพดสร้างเสร็จเป็นปีที่ราคาข้าวโพดพุ่งขึ้นสูงผิดปกติ พิเชษฐ์ต้องกู้เงินจากแบงก์กรุงเทพไปหลายสิบล้านเพื่อซื้อเข้ามาเก็บ แต่โชคไม่อำนวยเมื่อข้าวโพดเหล่านั้นเกิดปัญหาเรื่องความชื้นจนขายออกไม่ได้ ทำให้เกิดภาระหนี้สิน กองโตขึ้นมาโดยไม่จำเป็น ???
ทีนี้เมื่อเขาเริ่มต้นโครงการเลี้ยงหมูในปีแรก ช่วงกลางปี 2525 กว่าที่หมูรุ่นแรกจะให้ผลผลิต ก็กินระยะเวลาไปถึงกลางปี 2526 ซึ่งแม้ว่าราคาหมู ในปี 2526 จะสูงเพียงใดทว่าวังน้ำฝนก็ไม่สามารถตักตวงผลประโยชน์อะไรได้มากนัก เรียกว่ายังเปลื้องหนี้สินเก่าไม่ได้ว่างั้นเถอะ
พอตกถึงปี 2527-28 ปรากฏว่าราคาหมูกลับดิ่งนรก จากที่เคยขายได้กิโลกรัมละ 25-30 บาทในปีก่อน ๆ รูดมหาราชลงมาเหลือเพียงกิโลกรัมละ 11 บาทในปีนั้น ขณะที่ต้นทุนการผลิตหมูของวังน้ำฝนเฉลี่ยอย่างเบาะ ๆ ตกถึงกิโลกรัมละ 21 บาท เนื้อหมูที่นี่ 1 กิโลกรัมใช้อาหารสูงถึง 3.5 - 4 กิโลกรัม ซึ่งเป็นอัตราต้นทุนผลิตที่สูงกว่าทุก ๆ ฟาร์ม
ราคาขายต่ำ แต่ต้องปล่อยลูกหมูขุนออกมาขายถึงวันละ 4 -500 ตัว งานนี้วังน้ำฝนจึงขาดทุนวินาศสันตะโร ยิ่งต้องแบกรับภาระรายได้ขึ้นต่ำของทหารอีกเดือนละ 2,000 บาท 228 ครอบครัวเข้าไปอีก ทำให้แทบจะมองไม่เห็นอนาคตสดใสเอาเสียเลย???
ราคาหมูตกติด ๆ กันถึง 2-3 ปีก็พอแล้ว ที่จะทำให้ฟาร์มขนาดใหญ่อย่างนี้เสียผู้เสียคน กระทั่ง มีข่าวว่าเพื่อเป็นการลดต้นทุนการขนส่ง แทนที่จะส่งเข้ายังโรงงานฆ่าในกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่ของฟาร์มส่วนหนึ่งได้นำหมูไปดัมพ์ตลาดท้องถิ่นแถบ จ. จันทบุรี จนเป็นเรื่องอื้อฉาวมีการฆาตกรรม พ.ท. บุญชอบ ศรีบุญเรือง ผู้นำหมูจันทบุรีอย่างโหดเหี้ยมรวมถึงตัวภรรยาที่ต้องพิการไปตลอดชีวิต
"มันมีเหตุผลมาจากหมูของวังน้ำฝน" คนที่อยู่ในวงการบอกกับ "ผู้จัดการ"
ความผิดพลาดประการแรกจึงเป็นเรื่อง "ราคา" ที่สุดวิสัยจะแก้ไขได้จริง ๆ เพียงแต่อาจจะผ่อนหนักเป็นเบาได้ถ้าวังน้ำฝนเลือกแหล่งผลิตได้เหมาะกว่านี้ จริงอยู่ที่ว่าทรายขาวกับลาดตะเคียนอยู่ใกล้วัตถุดิบ เช่น ข้าวโพดทว่าก็ไกลมากจากโรงฆ่า ทำให้ต้องสิ้นเปลืองค่าโสหุ้ยต่าง ๆ รวมไปทั้งยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดการรั่วไหลในจุดต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น ซีพี. ที่แขยงโครงการนี้หลังจากที่ถูกแบงก์ขอร้องให้เข้าไปดูแลแทนก็มีปัญหาเรื่องโลเกชั่นเป็นสำคัญ
แต่เรื่องที่พิเชษฐ์พลาดจนไม่น่าให้อภัย นักบริหาร "มือทอง" อย่างเขาคือปัญหา "การจัดการ" ที่ด้อยประสิทธิภาพเอามาก ๆ ทั้งนี้เป็นเพราะเชื่อมั่นในระบบการจัดการสมัยใหม่มากเกินไป โดยหลงลืมว่ากำลังเล่นกับคนบางกลุ่มที่ไม่เข้าใจ เขามั่นใจและวางใจลูกน้องบางคนว่าจะเป็นมืออาชีพแท้จริงเหมือนตน จึงกลายเป็น "จุดอ่อน" ที่ถูกโจมตีโดยไม่ทันระแวดระวัง
ทั้งทรายขาวและลาดตะเคียนพิเชษฐ์ทำหน้าที่กำกับบทอยู่ห่าง ๆ ให้อิสระแก่พนักงานเต็มที่ ซึ่งแรก ๆ คงไม่มีอะไร ครั้นพอเริ่มแตกลายงา พนักงานบางคนก็ส่อเค้าทุจริตมองเห็นช่องทางโกยกินสารพัด ไล่มาตั้งแต่
หนึ่ง- ร่วมกับผู้รับเหมากินหัวคิวจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ในการสร้างบ้านพัก-โรงเรือนเกินความเป็นจริง อย่างเช่นไม้ท่อนหนึ่งราคาเพียง 40 บาทแต่กลับแจ้งยอดราคาในบัญชีถึง 120 บาท
สอง-จัดซื้ออาหารสัตว์แพงกว่าราคาท้องตลาดมากมายถึง 3-5% นอกจากนี้พนักงานบางคน ยังได้ให้ญาติบางคนเป็นคนจัดส่งอาหารให้เสียเอง
สาม-ร่วมมือกันกับเกษตรกรที่เป็นทหารพิการใจบางคนลักลอบนำลูกหมูออกไปขาย หรือ ไม่ก็แจ้งนน.หมูที่ขายไม่ตรงความเป็นจริง เช่นหมู นน. 100 กก. แต่ลงยอดเพียง 90 กก.
"ตอนที่มีข่าวว่าบริษัทจะเจ๊ง เกษตรกรบางรายที่คิดไม่ซื่อไหวทันก็ร่วมมือกับพนักงาน จับเอาลูกหมูไปขายข้างนอกตัวละ 50-60 บาททั้งที่ราคาขายจริงตกถึงตัวละ 200-300 บาท พอถึงเวลาก็ไม่มีหมูขุนขายตามที่แจ้งกับแบงก์ ๆ ก็เลยมองว่าไอ้นี่ไปไม่รอดแน่" แหล่งข่าวภายในบอกกับ "ผู้จัดการ"
ปัญหาในส่วนนี้แบงก์กรุงเทพติดตามมาตลอดชูศักดิ์เองบอกว่า ทันทีเขาระแคะระคายได้จัดส่งคนของแบงก์เข้าไปควบคุมตรวจสอบและแจ้งให้พิเชษฐ์รู้เพื่อจัดการแก้ไขเสียเนิ่น ๆ ทว่าไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร ปัญหาถูกปล่อยหมักหมมยิ่งกว่าดินพอกหางหมูแล้วเลยลามปามจนยากที่จะขจัดให้หมดไป
ชูศักดิ์นั้นไว้เนื้อเชื่อใจในตัวพิเชษฐ์มาแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ถ้าถามว่าในเมื่อพิเชษฐ์รับรู้แล้วถึงความเหลวแหลก แล้วไฉนจึงไม่วางแผนแก้ไขให้ดีขึ้น พิเชษฐ์เป็นคนปากว่าตาขยิบและเขากำลังเล่นบทหลอกลวงกัลยาณมิตรหรือไม่นั้น "ผู้จัดการ" คิดว่าชูศักดิ์ย่อมรู้แก่ใจดี
"ผมไม่คิดว่าเขาหลอกผม เขาเกรงใจลูกน้องมากไป เขาอาจมีความรู้เรื่องบริหารดีและใช้ได้ดีกับบริษัทใหญ่ ๆ อย่าง ซีพี.แต่นั้นอย่าลืมว่ายังมีระบบที่สูงกว่าคลุมอยู่ ทว่าในวังน้ำฝนเขาจัดการคนเดียวความรู้ที่มีจึงใช้ไม่ได้เลย" ชูศักดิ์ยังคงปกป้องมิตรร่วมรบ
อย่างไรก็ตามปัญหาส่วนนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวเกือบจะสิ้นเชิงของรูปแบบงานสหกรณ์ในบ้านเรา ที่ยังขาดแคลนที่คนมีสปิริต มีวินัยและความเข้าใจถ่องแท้เข้าไปทำงาน รูรั่ว จึงเป็นดั่งเช่นที่พิเชษฐ์-ชูศักดิ์ ต้องตามล้างตามเช็ดกันไม่มีที่สิ้นสุด???
ปัญหา "ตัวเกษตรกร" ทุกคนยอมรับถึงการใช้ทหารพิการเป็นแรงงานที่เป็นสิ่งวิเศษสุดแต่พองานเริ่มเดินเขาก็พบว่านั่นเป็น "ปัญหาใหญ่ไฟสุมขอน" รู้ทั้งรู้แต่ทำอะไรได้ไม่มากนัก จุดนี้หากมองเชิงจิตวิทยาว่าทหารพิการแม้จะได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดี แต่เป็นธรรมดาที่อาจมีบ้างเชื้อพันธุ์เลวในหมู่คนดีซึ่งคนเหล่านั้นเป็น "ทหารที่ใจพิการจริง ๆ" !!
จากสัญญาประกันรายได้ขั้นต่ำที่วังน้ำฝนต้องให้ 2,000 บาท/เดือน ทำให้ทหารบางคนไม่สนใจที่จะเลี้ยงหมู บางวันก็รวมหมู่กันเฮฮาปาร์ตี้ ร้ายมากถึงขนาดจัดแข่งรถกันในโครงการก็เคยมี ซึ่งเรื่องนี้พนักงานที่ดูแลอยู่ได้เข้าไปตักเตือน ทว่าผลที่ได้รับกลับมาก็คือ ถูกทำร้ายจนปางตาย
"พวกมีปัญหาเคยยิงผู้จัดการเราไปคนหนึ่งแล้ว ยิงที่หัวเลย มันจ่อยิงอย่างนี้ ยิงเหมือนตุ๊กตาเด็กเล่น โชคดีที่คนของเราสะบัดหัวทันกระสุนเลยแค่ถาก ๆ มีอย่างที่ไหนเขาทำกัน" พนักงานคนหนึ่งกล่าวอย่างเหลืออดถึงทหารบางคนในโครงการ
อะไรไม่เลวร้ายไปกว่าที่มีเสียงบอกว่า ทหารพวกนี้บางคนก็ลักลอบนำลูกหมูออกไปขายเอาเงินเข้ากระเป๋าเสียเอง หรือไม่วันไหนนึกอยากกินก็เชือดมากินอย่างง่าย ๆ ไม่ได้คิดว่าหมูเหล่านี้เป็นทรัพย์สินของส่วนรวมที่ว่าจ้างตนเป็นคนเลี้ยงดูแล
"คงเป็นเพราะความคับแค้นทางจิตใจที่ถูกกดดันมาจากสงคราม ทำให้บางคนสำแดงอาการ ไม่รับผิดชอบออกมา" นักจิตวิทยาให้ความเห็น
ก็มีความเป็นไปได้พิเชษฐ์เองอาจต้องการทำนุบำรุงและยกระดับจิตใจ ความรู้สึกของคนพวกนี้ให้ดีขึ้น จนทำให้เขาลืมช่องว่างความกดดันทางความคิดที่สั่งสมไปเสีย ซึ่งถ้าคิดได้เสียแต่แรก ๆ บางทีอาจไม่ต้องมานั่งหวานอมขมกลืนอย่างที่เป็นอยู่ก็เป็นได้!??
เรื่องเดียวกันนักวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ออกความเห็นว่า "พิเชษฐ์และชูศักดิ์พลาดตรงที่เขาไม่ศึกษาทฤษฎีทางชนชั้นของมาร์กซิสต์ให้เจนจบ" เพราะถ้ารู้ลึกซึ้งสังคมชนชั้นแล้วจะเข้าใจได้เลยว่า คนเรานั้นใช่ว่าจะสามารถเป็นเกษตรกรได้ทุกคนไป
เขาทั้งคู่ผิดไปแล้วตรงนี้!?
ในส่วนองค์การทหารผ่านศึกยอมรับว่า มีเหมือนกันที่ทหารบางคนเป็นตัวปัญหา แต่เรื่องที่แบงก์ต้องฟ้องร้องนั้นน่าจะมาจาก บริษัทที่ไม่ยอมชำระหนี้สินเป็นเหตุใหญ่ "เราประชุมกันบ่อย ๆ ก็เคยถามเขาว่า ทำไมไม่จ่ายหนี้ให้แบงก์บ้างละดูเขาก็ไม่อินังขังขอบ รู้เลา ๆ ว่าเขามีโครงการอื่นอีก" เจ้าหน้าที่ขององค์การทหารผ่านศึกบอกกับ "ผู้จัดการ"
ลอยลม
พิเชษฐ์นั้นน่าชมเชยกว่าสองแม่ลูก "จุลไพบูลย์" ของอุตสาหกรรมเสถียรภาพมากนัก เขาไม่กะล่อนพอที่จะทำร้ายประชาชนอย่างเลือดเย็นเมื่อรับทราบปัญหาได้เข้าร่วมประชุมหารือกับเจ้าหน้าที่แบงก์เป็นประจำทุกสัปดาห์ พร้อมเสนอเงื่อนไขที่จะหากลุ่มทุนอื่นมาร่วมและรับสภาพหนี้ดังกล่าว
ชาตรีเองจึงพอยิ้มได้ และดูเหมือนเขาได้รับบทเรียนจากไทยเสรีห้องเย็นมาว่า ความเย็นของอารมณ์เท่านั้นที่จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ดังนั้นเขาจึงพยายามผ่อนปรนให้กับพิเชษฐ์มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่อย่างไรก็ตามด้วยความเข้าใจที่จะตกเป็นขี้ปากเขาจึงย้ายชูศักดิ์ไปห้อยเอาไว้ในตำแหน่งที่ปรึกษา
"นายเขาคงอยากให้ผมพิสูจน์ความบริสุทธิ์" ชูศักดิ์บอกถึงความรู้สึกที่เขาจำต้องจากงานที่รักยิ่ง
การเริ่มต้นแก้ปัญหานี้กระทำอย่างจริงจังเมื่อต้นปี 2529 พิเชษฐ์ได้ไปเจรจาติดต่อกลุ่มนิวดันแลนด์ ซึ่งผู้ผลิตหมูแม่พันธุ์รายใหญ่ของเนเธอร์แลนด์ให้เข้ามาร่วมทุน ประจวบเหมาะกับที่นิวดันแลนด์เองก็อยากขยายฐานมาในประเทศไทย เมื่อได้รับข้อเสนอจึงส่งทีมงานเข้ามาศึกษาความเป็นไปได้
นิวดันแลนด์นั้นไม่วิตกกังวลในสภาพหนี้สินสูงร่วม 700 ล้านของวังน้ำฝนแต่อย่างใด การศึกษาและเจรจาต้าอวยเกือบจะสิ้นสุดเป็นอย่างดีแล้วแต่ในที่สุดด้วยความขัดข้องทางเทคนิค
บางประการการร่วมทุนนี้มีอันต้องเป็นหมันไป???
"น่าจะเป็นเรื่องหุ้นและการบริหารภายในมากกว่า เพราะพิเชษฐ์เองเขายังรักที่จะเห็นวังน้ำฝนอยู่กับตนตลอดไป อีกอย่างมันมีเรื่องตัวเกษตรกรที่นิวดันแลนด์อยากเปลี่ยนด้วย." แหล่งข่าวคนหนึ่งกล่าว
ก็พลาดไปรายหนึ่ง !!
ห้วงเวลาแก้ปัญหานี้พิเชษฐ์ได้เข้าไปเป็นที่ปรึกษาให้กับโรงฆ่าสัตว์ ไทยอาร์เอฟเอ็ม.ที่กลุ่มมาบุญครองโอนมาให้กับ "กลุ่มวงศ์วรรณ" ด้วยเขาตั้งความหวังว่า หนึ่ง- หากเมืองไทยมีโรงฆ่าที่ทันสมัยอย่างไทยอาร์เอฟเอ็ม.ที่รับหมูได้ไม่จำกัดจำนวน โอกาสที่วังน้ำเย็นจะฟื้นคืนชีพยังพอมีเหลือ สอง- การสัมพันธ์กับกลุ่มวงศ์วรรณเป็นช่องทางที่ดีต่อการหาแหล่งเงินทุนจากต่างประเทศให้มารับสภาพหนี้ทั้งหมด เนื่องจากกลุ่มนี้มีฐานใหญ่ทางการเงินในต่างประเทศหลายแห่ง
มิติของการแก้ปัญหานี้พิเชษฐ์หวังถึงความเป็นไปได้มากที่สุด หากแบงก์กรุงเทพจะไม่ด่วนตัดสินใจเชือดเขาเสียอย่างที่เห็น "เขาวิ่งเต้นไม่หยุดหย่อนและกำลังจะเป็นไปได้แล้วกับแหล่งเงินแห่งหนึ่ง ไม่คิดว่าแบงก์จะตัดสินใจเร็วอย่างนี้" คนใกล้ชิดของพิเชษฐ์กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
แหล่งข่าวระดับสูงในแบงก์กรุงเทพก็บอกกับ "ผู้จัดการ" ว่า ก่อนหน้าที่แบงก์จะยื่นฟ้องพิเชษฐ์ได้โทรฯ ติดต่อถึงเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเรื่องนี้คนหนึ่ง พร้อมกับบอกว่า "อย่าเพิ่งทำอะไรเลย" ทว่าคำร้องขอของเขาไม่เป็นผลเมื่อแบงก์เห็นแล้วว่า ถึงจะได้อะไรกลับมาไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ยังดีเสียกว่าที่จะปล่อยให้คาราคาซังเสียหน้าและเสียหายมากไปกว่านี้อีก
พิเชษฐ์และวังน้ำฝนจึงถูกฟ้องล้มละลายด้วยประการฉะนี้!!
แบงก์เองก็ไม่ปล่อยให้พิเชษฐ์หัวปั่นแก้ปัญหาเพียงฝ่ายเดียว ได้ติดต่อกลุ่มธุรกิจปศุสัตว์ ชื่อดังที่มีสัมพันธ์อันดีกับแบงก์เช่นลีวัฒนา แหลมทองสหการ ให้เข้าไปศึกษาเพื่อ TAKE OVER แต่ทุกกลุ่มที่แหย่เท้าเข้าไปต่างเต้นเหยงถอยกลับออกมา เมื่อพบว่าปัญหามันยากเกินแก้ไข จะมีที่สนใจกว่าคนอื่น ๆ ก็คือ ซีพี.
ซีพี. เป็นรายล่าสุดก่อนฟ้องร้องที่ได้รับการขอร้อง ซึ่ง ซีพี. ได้ตั้งทีมงานศึกษาเรื่องนี้ถึง 5 คณะ โดยได้สัญญาณไฟเขียวจากชาตรีว่า "อย่าไปตั้งเงื่อนไขอะไรกับ ซีพี." ซึ่ง ซีพี. พบบทสรุปปัญหา 2 ประเด็นใหญ่คือ หนึ่ง - สถานที่ตั้งโครงการไม่เหมาะสม สอง - ความเป็นไปได้ทางธุรกิจกับการทำกุศลนั้นสวนทางกันอย่างรุนแรง
ซีพี. ได้เสนอเงื่อนไขตอบกลับไปว่า พร้อมที่จะรับงานนี้ต่อเพียงว่า หนึ่ง - ให้แบงก์อนุมัติเงินกู้จำนวนหนึ่ง (หลายร้อยล้านบาท) มาดำเนินการ สอง - ขอระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย 3 ปี สาม - ไม่เกี่ยว-พันกับสภาพหนี้สินเดิม และ สี่ -ขอให้มีระบบการจัดการใหม่ตามแนวคิด ซีพี.
ข้อเสนอทาง ซีพี. ที่วันนี้ใหญ่พอที่จะอ้าปากพูดกับแบงก์กรุงเทพ ได้อย่างเต็มปากเต็มคำแล้วนั้น ทำให้แบงก์ชะงักไปพักใหญ่ จึงได้เสนอเงื่อนไขกลับมาให้ซีพี. พิจารณาอีกหน ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับซีพี. ไม่น้อย เนื่องจากตอนแรกมีสัญญากันแล้วว่า "จะไม่มีเงื่อนไขอะไรในเรื่องนี้"
"ซีพี. ไม่ยอมเข้ามาเพราะลงทุนสูงเกินไป เรื่องหนี้สะสมนี่เรายินดีตัดทิ้งให้เลย แต่ขอร้องให้เขาซื้อเฉพาะราคาที่ประเมิน จาก 4-500 ล้าน เราอาจจะขายแค่ร้อยล้าน คือแบงก์น่ะยอมขาดทุนแล้ว แต่ซีพี. ก็ยังไม่ยอมรับ" แหล่งข่าวจากแบงก์กรุงเทพกล่าวถึงท่าที ซีพี.
ที่สุด ซีพี. ก็ทนรับไม่ได้อีกรายหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่ ซีพี. เองก็อยากจะได้โครงการนี้มาสานต่ออยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เพราะดูตามศักยภาพแล้ว ซีพี. สามารถทำได้อย่างสบาย ๆ !!!
ว่าไปแล้วก็น่าเห็นใจแบงก์กรุงเทพ เพราะพูดกันตามตรงแบงก์ไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านนี้มากคนนัก เมื่อมองเห็นว่าหนี้สะสมมันมีแต่จะมากขึ้น ๆ ทางแก้ที่จะให้เสียหน้าน้อยที่สุดก็คือหาคนมารับช่วงต่อ โดยที่แบงก์ยอมขายในราคาขาดทุน - แต่นักลงทุนในสภาพเป็นมวยต่อ ในเมื่อขอร้องแล้วไยต้องมาตั้งเงื่อนไขกันมากมาย ซึ่งเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีกันไปเสียแล้ว
เสนอให้ใคร ๆ ก็ไม่ยอมรับ ในที่สุดชาตรีก็ต้องสายตรงถึงสงวน จันทรนุกูล แห่งกลุ่มศรีไทยฯ ที่มีชื่อในเรื่องไก่ และเป็น "มือขวา" อีกคนหนึ่งของชาตรีให้เข้ามาศึกษา โดยเที่ยวนี้มีความเป็นไปได้มากเลยว่าศรีไทยฯ คงเข้าไปบริหารงานทรายขาวและลาดตะเคียน ด้วยเหตุผลที่ว่า หนึ่ง - ชาตรี-สงวน นั้นแทบจะตายแทนกันได้ สอง - แบงก์กรุงเทพยินยอมที่จะขายทอดตลาดทรัพย์สินในราคาถูกเพื่อให้ศรีไทยฯ เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่
แน่นอนล่ะว่า ถ้าศรีไทยฯ เข้าไปทำและทำได้สวย นอกจากจะเพิ่มบารมีให้ "เสี่ยสงวน" แล้วด้านหนึ่งยังเป็นการบลัฟฟ์ ซีพี. ไปในตัว ???
มันช่างน่าตลกสิ้นดีการเริ่มต้นที่งดงาม ทำท่าจะบานปลายกันไปใหญ่ เพราะหลังจากศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์สินทั้งหมดของวังน้ำเย็น แบงก์ก็เอาพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์ที่มีอยู่ทั้งหมดออกขาย โดยขายให้กับกลุ่มศรีไทยฯ เพียงรายเดียว แทนที่จะเปิดประมูลขายโดยทั่วไป
ทำอย่างนี้พวกเกษตรกรว่าเหมือนไม่ให้เกียรติกันเลย เพราะแบงก์จะฟ้องร้องบริษัทก็ทำกันไปไม่ควรมายุ่งในทรัพย์สินที่เป็นหมูของพวกตน การทำอย่างนี้เท่ากับ "บีบ" ให้เกษตรกรออกจากโครงการทางอ้อม หากเป็นอย่างนี้เกษตรกรทั้งหมดก็พร้อมจะร่วมเป็นจำเลยกับบริษัทวังน้ำเย็น
ยุ่งตายห่ะ... ขึ้นฟ้องกันมโหฬารแบบนี้ไม่รู้ว่ากี่ร้อยปีคดีจะแล้วเสร็จ ซึ่งคงไม่เป็นผลดีกับใครทั้งนั้น ข้อต่อจึงอยู่ที่การตีความว่าทรัพย์สินของโครงการทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นบ้านพัก-โรงเรือน-หมู จะเป็นของบริษัททั้งหมดหรือไม่ หาก "ใช่" แบงก์ก็มีสิทธิอันชอบธรรมที่จะรักษาผลประโยชน์ของตน
แต่ถ้าไม่ใช่เห็นทีแบงก์คงต้องรับศึกหนักจากที่เคยหวังจะเป็นผู้กำกับการแสดงยอดเยี่ยมอาจจะกลายเป็นผู้ร้ายไปโดยไม่เจตนา??
นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องโครงการเกษตรกรรมคลอง 13 ที่โดนหางเลขในการฟ้องร้องครั้งนี้ด้วย โดยปกติแล้วผลประกอบการของฟาร์มนี้ไปได้ค่อนข้างดีแทบจะกล่าวได้ว่า สายเงินหล่อเลี้ยงวังน้ำฝนมาจากที่นี่ เมื่อต้องมาเป็นคดีความจึงทำให้ไข่เป็ดที่ต้องส่งไปฟักที่นครปฐมไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้
วันหนึ่งเป็ดคลอง 13 จะฟักไข่ประมาณ 7,000 ฟอง เมื่อส่งไปฟักเป็นเป็ดอายุ 1 วัน จะขายได้ในราคาตัวละ 18 บาท หลังจากที่ฟ้องร้องกันมาเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค่าเสียหายก็ปาเข้าไปบานเบอะ และยังไม่รู้เลยว่าคดีจะสิ้นสุดกันเมื่อไร ค่าเสียหายจะเพิ่มมากขึ้นอีกเท่าใด และแรงงานทั้งหมดของที่นี่ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ
ก็ทุบหม้อข้าวกันชัด ๆ !!!!
เกษตรกรก็เตรียมที่จะฟ้องกลับแบงก์อยู่เหมือนกัน !!??
ถึงได้บอกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจากหมูนั้นไม่ได้ "หมู" เหมือนอย่างบางคนคิด สิ่งที่จะดำเนินกันในวันข้างหน้าควรทบทวนให้ถ้วนถี่ เพราะประวัติศาสตร์ไม่ได้เปิดโอกาสให้มนุษย์สั่งสมความผิดพลาดไปเรื่อย ๆ เหมือนทศนิยมที่ไม่รู้จบ !!!
|