Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มีนาคม 2531








 
นิตยสารผู้จัดการ มีนาคม 2531
กรมธรรม์ ไต้ร่มธงท้อปบู๊ท หมูไป ไก่มา?             
โดย สมชัย วงศาภาคย์
 


   
www resources

โฮมเพจ ไทยประกันชีวิต

   
search resources

ไทยประกันชีวิต, บจก.
อภิรักษ์ ไทพัฒนกุล
Insurance




ผู้เชี่ยวชาญวงการประกันภัยกล่าวว่าเงื่อนไขการเกิดสงคราม ไม่ใช่มาจากธรรมชาติ หากมาจากผู้มีอำนาจในสังคม ธุรกิจการประกันภัยสงครามจึงมีความเสี่ยงต่อการขาดทุนสูง แต่บริษัทไทยประกันชีวิตไม่กลัวการขาดทุน คนในวงการเชื่อว่า เป็นรายการ "คุณขอมา" ที่บริษัทไทยประกันชีวิตยินดีรับเพื่อภาพพจน์ที่ดี แต่ "ผู้จัดการ" ว่า เป็นรายการหมูไปไก่มามากกว่า...??

"สงครามมิได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หากบังเกิดจากความขัดแย้งในผลประโยชน์ของชาติ ของชุมชน และมนุษย์ที่การเจรจาในเชิงสันติได้ล้มเหลวลง ดังนั้นเนื้อแท้ของการยุติสงครามด้วยชัยชนะ จึงไม่ใช่อยู่ที่การทำลายข้าศึก หากอยู่ที่การสร้างพลังต่อรองที่ได้เปรียบเหนือจิตใต้สำนึกของมนุษย์ที่แลกมาด้วยการสูญเสียเลือดเนื้อน้อยที่สุด...."

สัจธรรมเชิงปรัชญาข้างต้นนี้ เคล้าซ์วิตท์ บันทึกไว้ใน ON WAR ตำราสงครามระดับคลาสสิคของเขา ซึ่งเป็นที่นิยมแพร่หลายในหมู่นักยุทธศาสตร์ทางทหารทั่วโลก แต่ก็นั่นแหละ สัจจะเชิงปรัชญาในทุกสิ่ง ๆ มักจะมีวิถีปฏิบัติที่มักจะส่วนทางกับพฤติกรรมแห่งความจริงที่เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์อยู่เสมอ หาไม่แล้วการเสียเลือดเนื้ออย่างมากมายของเหล่าทหารหาญในตะวันออกกลาง อินโดจีน และแม้กระทั่งชายแดนไทย-ลาว ก็จักไม่มีวันเกิดขึ้น

เมื่อมีการเสียเลือดเนื้อ ภาระของผู้อยู่แนวหลังไม่ว่าจะเป็นญาติมิตรหรือแม้แต่หน่วยธุรกิจเอกชนต่าง ๆ ที่ทำมาหากินอยู่ก็หลีกเลี่ยงได้ยากที่จะอยู่โดยไม่แสดงออก ซึ่งการให้ความช่วยเหลือเลี้ยงดูและให้หลักประกันแก่ผู้สูญเสียไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียชีวิตหรือบาดเจ็บพิการ

ยิ่งในปัจจุบันสถาบันแห่งรัฐมักจะกล่าวอ้างเสมอว่าขาดแคลนงบประมาณการใช้จ่ายเพื่อสร้างความสุขให้แก่ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และพลเรือนด้วยแล้ว ภาระก็ย่อมตกหนักอยู่กับหน่วยงานเอกชนผู้อยู่แนวหลัง

"ทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากสงครามจนพิการ ได้รับความช่วยเหลือจากกองสวัสดิการกองทัพบกเพียงเดือนละ 2,000 บาท เท่านั้น มันไม่พอต่อการเลี้ยงดูครอบครัว" ประยูร จินดาประดิษฐ์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่แบงก์ทหารไทย เล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังเพื่อย้ำถึงขีดความช่วยเหลือของกองทัพบกต่อทหารที่บาดเจ็บจนพิการจากการสู้รบ และจุดนี้เองที่เชื่อมโยงมาสู่บทบาทการให้ความช่วยเหลือในรูปการให้ประกันชีวิตหมู่ภัยสงครามแก่ทหารสังกัดกองทัพบกเฉพาะส่วนที่รบตามแนวชายแดนของบริษัทไทยประกันชีวิตของเสี่ยวานิช ไชยวรรณ ดังที่ทราบกัน

แต่โลกธุรกิจไม่มีหรอกที่ช่วยเหลือ โดยไม่มีอะไรเป็นผลตอบแทน "ผู้จัดการ" เชื่อว่า งานประกันชีวิตให้ทหารครั้งนี้ถึงที่สุด ก็เป็นเรื่องของหมูไปไก่มาอย่างมิพักต้องสงสัย

"คุณวานิชเป็นไงบ้าง งานประกันชีวิตให้ทหาร..."

"แฮะ ๆ ไม่มีอะไรมาก ก็สนุกดี งานนี้บริษัทเรายินดีขาดทุน 8.5 ล้าน เพื่อแลกกับชื่อเสียง..."

คำถามและคำตอบข้างต้นเป็นการพูดโต้ตอบกันระหว่าง สรร อัษรานุเคราะห์ กับ วานิช ไชยวรรณ ซึ่งได้มีโอกาสพบปะกันในงานเลี้ยงแห่งหนึ่งหลังจากสถานการณ์การสู้รบ ที่บ้านร่มเกล้าระหว่างไทย- ลาว ใกล้ยุติลง ซึ่งสะท้อนบางด้านของเนื้อหาโครงการประกันชีวิตทหารที่บริษัทไทยประกันชีวิต รับประกันให้กับกองทัพบกได้พอประมาณ

สรรเป็นเพื่อนรักของวานิช ทั้ง 2 ถือหุ้นร่วมกันในธนาคารแหลมทอง โดยถือหางข้าง สมบูรณ์ นันทาภิวัฒน์ในการต่อกรกับแขกจอมลวดลาย - สุระ จันทร์ศรีชวาลา

เข้าทำนองเป็นมิตรร่วมรบ แต่ไม่ร่วมเมา ! เพราะวานิชค้าสุราที่สุราทิพย์ (จึงดื่มเหล้าบ่อย ๆ ) ขณะที่สรรค้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้การสื่อสาร

ดังนั้น เมื่อสรรทราบว่าวานิช นำบริษัทไทยประกันชีวิตไปประกันชีวิตให้ทหารตามชายแดน และทราบว่างานนี้เสี่ยวานิชเจอศึกหนักเข้าไป 2 ครั้ง ที่ช่องบกกับบ้านร่มเกล้า เมื่อบังเอิญมาพบกันเข้าก็เลยถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงตามประสาชอบพอกัน

แต่ที่น่าสนใจก็คือ งานนี้ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเสี่ยงต่อการต้องขาดทุน ขนาดบริษัทประกันชีวิตรายอื่น ๆ รู้เข้ายังต้องรีบเดินหนี ไฉนบริษัทไทยประกันชีวิตของเสี่ยวานิชจึงเข้าไปแบกและเกี่ยวข้องแต่รายเดียว?

เมื่อกลางเดือนธันวาคม ปี 2529 มีการประชุมคณะกรรมการธนาคารทหารไทย พลเอกชวลิต - บิ๊กจิ๋ว ผบ.ทบ. คนปัจจุบัน ในฐานะกรรมการแบงก์ด้วยคนหนึ่งได้เข้าประชุมพร้อม ประยูร จินดาประดิษฐ์ ซึ่งตอนนั้นดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่

ช่วงก่อนที่จะมีการประชุมตามวาระเล็กน้อย บิ๊กจิ๋วได้ปรารภกับประยูรว่า กองทัพบกอยากช่วยเหลือทหารที่เสียชีวิต หรือทุพพลภาพจากการปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดน โดยไม่ต้องไปรบกวนงบประมาณแผ่นดิน

เผอิญตอนนั้นประยูรดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัทไทยประกันชีวิตอยู่ด้วย ก็เลยนำคำปรารภของบิ๊กจิ๋วนี้มาปรึกษากับ วานิช ไชยวรรณ กรรมการผู้อำนวยการบริษัทไทยประกันชีวิตว่า พอจะมีทางช่วยเหลือทหารอย่างไรบ้าง

เสี่ยวานิชรับคำปรารภก็ส่งลูกต่อให้ อภิรักษ์ ไทพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการทันที ว่ากันว่า ตอนนั้นอภิรักษ์ก็งงเหมือนกัน เพราะยังไม่รู้ว่าทาง ผอ.ทบ. ต้องการให้บริษัทไทยประกันเข้าไปช่วยเหลือในลักษณะไหนและมีขอบเขตกว้างขวางประการใด

"จะให้บริษัทเข้าไปประกันชีวิตหมู่ ให้ทหารทั้งกองทัพอย่างที่พลเอกอาทิตย์เคยคิด ผมว่าทำไม่ได้ เพราะความเสี่ยงสูงต้องใช้เงินมาชำระเบี้ยประกันหลายร้อยล้านบาท ทางกองทัพบกจะหาเงินมาจากไหน? อภิรักษ์เล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังถึงเหตุการณ์ตอนแรก ๆ ที่ตนได้รับทราบข่าวจากวานิชว่า กองทัพบกอยากให้บริษัทประกันช่วยเหลือทหาร

ในสมัยพลเอกอาทิตย์เป็น ผบ.ทบ. นั้น เคยปรารภกับเจ้าของบริษัทประกันชีวิต หลายครั้งว่าอยากให้ช่วยเหลือทำประกันชีวิตให้ทหารทั้งกองทัพบก ซึ่งในสมัยนั้นพวกบริษัทประกันชีวิตหลายบริษัท ก็ได้นำเรื่องนี้มาปรึกษาหารือกันในสมาคมประกันชีวิตหลายครั้ง และมีข้อสรุปว่า พลเอกอาทิตย์เพ้อฝันมากเกินไป

"เพราะท่านปรารภว่าอยากประกันชีวิตทหารทั้งกองทัพบกในทุกกรณี พวกเรามานั่งคิดคำนวณเบี้ยประกันโดยใช้อัตรา 2 เท่าของอัตรามรณะของคนในยามปกติเป็นฐาน ปรากฏว่าค่าเบี้ยมัน สูงมากหลายร้อยล้านบาท อีกอย่างหนึ่งการที่ให้ความคุ้มครองทุกกรณี มันเสี่ยงเกินไป ตกลงก็เลยไม่มีบริษัทไหนกล้ารับ เผอิญท่านพลเอกอาทิตย์ก็เฉย ๆ ไป เรื่องนี้ก็เลยเงียบจนท่านถูกปลดออกจากตำแหน่ง..." แหล่งข่าวบางท่านให้ข้อสังเกตว่าจริง ๆ แล้วงานนี้พลเอกอาทิตย์ท่านไม่เอาจริงมากกว่า เพราะอำนาจบารมีมีอยู่อย่างล้นเหลือ ถ้าเอาจริง ๆ แล้ว ไฉนเลยจะมีบริษัทประกันชีวิตหน้าไหนกล้าปฏิเสธ ... !

เรื่องนี้เมื่อตกมาถึงสมัยบิ๊กจิ๋วเป็น ผบ.ทบ. ก็รื้อฟื้นขึ้นมาอีกอย่างจริงจัง แหล่งข่าวยืนยันว่า มีความเป็นไปได้มากว่าก่อนหน้าที่บิ๊กจี๋วจะนำเรื่องมาปรารภกับประยูร จินดาประดิษฐ์ ในที่ประชุมกรรมการแบงก์ทหารไทย ช่วงกลางเดือนธันวาคม 2529 ก่อนหน้านั้นราว ๆ เดือนตุลาคมปีเดียวกัน ก็ได้มีการนำเรื่องนี้พูดคุยกับบริษัทประกันชีวิตรายอื่น ๆ อย่างไม่เป็นทางการ แต่เนื่องจากตอนนั้นแนวคิดเรื่องนี้ยังไม่แจ่มชัด บวกกับมันเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงสูง จึงไม่มีบริษัทไหนให้ความสนใจ และเมื่อมีโอกาสพูดคุยเรื่องนี้กับประยูร ความเป็นไปได้ก็ดูจะสดใสขึ้น

"พลเอกประยุทธ จารุมณี ประธานแบงก์ทหารไทย ประยูร จินดาประดิษฐ์ และพลเอกชวลิต ท่านต่างเป็นกรรมการแบงก์ทั้งสิ้น เรื่องนี้มันง่ายกว่าไปคุยกับบริษัทประกันอื่น" แหล่งข่าวตั้งข้อสังเกตุถึงที่มาของการรับประกันของบริษัทไทยประกันชีวิตในโครงการนี้ เหมือนกับจะบอกว่ามันเกิดขึ้นมาจากการอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวของเจ้าหน้าที่ระดับสูงระหว่างทางบริษัทไทยประกันชีวิตกับกองทัพบกมากกว่าสิ่งอื่น

เมื่อโครงการนี้มาลงตัวที่บริษัทไทยประกันฯ เดือนมกราคมทางกองทัพบกโดยพลเอกชวลิต ผบ.ทบ. ก็แต่งตั้งให้ เสธ. จรวย วงศ์สายันห์ เป็นตัวประสานงานนี้กับบริษัทฯ เสธ. จรวยนำนโยบายรูปธรรมโครงการนี้ มาแจ้งให้บริษัทไทยประกันชีวิตได้ทราบ โดยเชิญอภิรักษ์จากบริษัทไทยประกันฯ สุมิตรา ผอ. กองประกันชีวิตจากสำนักงานประกันภัยกระทรวงพาณิชย์มาร่วมประชุมและปรึกษาหารือ ที่กองทัพบก

"จริง ๆ แรกสุดเราไม่แน่ใจว่าทางกองทัพบกจะให้เราประกันชีวิตทหารแบบเสียชีวิตธรรมดา ๆ หรือเอาภัยสงครามด้วยซึ่งท่าน เสธ. จรวยก็บอกว่าท่าน ผอ.ทบ. ให้นโยบายมาว่า เอาเฉพาะภัยสงครามอย่างเดียว และคุ้มครองตามระดับยศชั้นเป็นขั้น ๆ ลงไป คือระดับยศชั้นนายทหารสัญญาบัตร 100,000 บาท ชั้นประทวน 80,000 บาท และชั้นพลทหาร 50,000 บาท แล้วท่านก็ให้ข้อมูลตัวเลขสถิติการเสียชีวิตและบาดเจ็บของทหารจากภัยสงคราม 10 ปีย้อนหลัง มาให้เราคำนวณเบี้ยประกัน" อภิรักษ์ ไทยพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการบริษัทไทยประกันชีวิตเล่า

ว่ากันว่า งานนี้อภิรักษ์ซึ่งมีเครดิตเป็นผู้เชี่ยวชาญวงการคณิตศาสตร์ประกันภัย ทั้งที่ภายในและต่างประเทศยอมรับลงไปเล่นเองเลย เหตุผลเพราะ หนึ่ง - งานชิ้นนี้เป็นครั้งแรกของบริษัทและอาจจะเป็นครั้งแรกของโลกเลยก็ว่าได้ที่มีการประกันชีวิตหมู่ภัยสงครามให้กับทหาร

"กรมธรรม์ชนิดนี้ไม่ใช่แบบประกันชีวิตหมู่ธรรมดา แต่เป็นลักษณะกึ่ง ๆ ระหว่างการจัดการกองทุนกับประกันชีวิต" อดีตผู้บริหารบริษัทประกันชีวิตดังท่านหนึ่งให้ข้อสังเกตกับ "ผู้จัดการ" ถึงลักษณะความแปลกประหลาดของกรมธรรม์ชนิดนี้ ... ดังนั้น จึงต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญอย่างอภิรักษ์มาเล่นเอง

และจากการสืบค้นของ "ผู้จัดการ" ในข้อเท็จจริงถึงตัวกรมธรรม์นี้ก็เป็นดังเช่นข้อสังเกตข้างต้นจริง ๆ โดยกรมธรรม์นี้ได้รับการรับรองถูกต้องตาม ก.ม. จากสำนักงานประกันภัยด้วยเวลาเพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้น ซึ่งนับว่ารวดเร็วมากเป็นพิเศษคล้าย ๆ กับรายการคุณขอมาอย่างไรอย่างนั้น !

กรมธรรม์ที่ว่านี้มีชื่อเรียกว่า "การประกันภัยหมู่แบบภัยสงคราม" (อ่านล้อมกรอบประกอบ)

การคิดเบี้ยประกันกรมธรรม์ชนิดนี้จะใช้หลักการคิดเบี้ยประกันตามหลักการวิชาคณิตศาสตร์ประกันภัยไม่ได้ จึงยากเป็นพิเศษกล่าวคือ ข้อมูลที่ใช้เป็นฐานการคิดคำนวณเบี้ยประกันแทนที่จะใช้อัตราตารางมรณะตามหลักการกลับคิดเอาจากฐานประสบการณ์การสูญเสียในอดีตที่กองทัพแจ้งข้อมูลมาให้ ปรับด้วยค่าเฉลี่ยเบี่ยงเบนมาตรฐาน (STANDARD DEVIATION) และบวกด้วย SAFETY MARGIN อีก 5%

ปรากฏว่าจากการนั่งทำงานของอภิรักษ์และสุมิตรา ในตอนแรกได้เสนอให้กองทัพบกพิจารณามีข้อสรุป 2 ข้อ คือ หนึ่ง - ทางบริษัทขอคิดค่าธรรมเนียมจัดการ 5% ของเบี้ยประกันทั้งหมด และถ้าหากว่าเมื่อมีเงินเหลือหลังจากหักค่าสินไหม ที่ต้องจ่ายไปตามข้อตกลงในกรมธรรม์ ทางบริษัท จะคืนผลประโยชน์และจำนวนเงินที่เหลือ (ในเบี้ยประกัน) ทั้งหมดแก่กองทัพ ซึ่งเรียกว่า EXPERIENCE REFUND สอง- บริษัทคำนวณค่าเบี้ยประกันปีแรก 50 ล้านบาท

แหล่งข่าวในกองทัพบกที่รู้เรื่องนี้ดีกระซิบให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่า ตอนที่บริษัทไทยประกันฯ เสนอรายละเอียดค่าเบี้ยประกันมาอยู่ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ปรากฏว่าบิ๊กจิ๋ว - พลเอกชวลิต ถึงกับผงะเพระค่าเบี้ยประกันภัยมันสูงเกินไป

"ตอนนั้นเสธ. จรวย ส่งตัวเลขสถิติ 10 ปี ย้อนหลังมาให้ ซึ่งมันรวมเอาตัวเลขทหารที่บาดเจ็บ แต่ยังไม่ปลดประจำการมาด้วย บิ๊กจิ๋วท่านก็ให้เรามาคำนวณดูใหม่" อภิรักษ์เล่าให้ฟังด้วยเสียงหัวเราะ

ความจริงแล้ว บิ๊กจิ๋วมีตัวเลขอยู่ในใจอยู่แล้วว่าค่าเบี้ยประกันปีแรกนี้กองทัพบก มีความสามารถหาเงินมาได้ไม่เกิน 20 ล้านบาท !!!

ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ อภิรักษ์ได้คำนวณตัวเลขขึ้นมาใหม่ โดยใช้ตัวเลขสถิติย้อนหลังเหลือเพียง 5 ปี และตัดจำนวนทหารที่บาดเจ็บแต่ยังไม่ปลดประจำการออก และปรับด้วยค่าเฉลี่ยเบี่ยงเบนมาตรฐานพร้อมบวกด้วย SAFETY MARGIN 5% เหมือนเดิม ปรากฏว่าตัวเลขค่าเบี้ยประกันออกมา 17 ล้านบาท

"พอเราคำนวณได้ ก็มาหาวิธีปกป้องความเสี่ยงจากการขาดทุนว่าควรจะรับได้เท่าไร ผมก็ใช้เครื่องมือทางสถิติ STANDARD DEVIATION คำนวณเปอร์เซ็นต์ออกมาปรากฏว่ามันตกอยู่ที่ไม่เกิน 50% ของจำนวนเบี้ยประกัน ซึ่งเท่ากับ 8.5 ล้านบาท ก็เสนอไปให้บิ๊กจิ๋วพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ท่านก็ O.K." อภิรักษ์เล่าให้ฟังถึงวิธีการคิดค่าเบี้ยประกันรอบสองแก่บิ๊กจิ๋ว

ก็ไม่แปลกใจอะไร งานนี้ทั้งข้อมูลเอยจำนวนเบี้ยประกันเอย ทั้งหมดกองทัพบกกำหนดมาให้ทั้งนั้น ก็เหมือนกับคำพูดของประยูร จินดาประดิษฐ์ ที่เน้นว่า "บริษัทไทยประกันฯ เชื่อใจกองทัพบกทุกอย่าง"

ดังนั้นถ้าจะเรียกว่างานนี้ของไทยประกันฯ เป็นรายการคุณขอมาก็ไม่ผิด และกรมธรรม์นี้จะเรียกว่า เป็นกรมธรรม์ใต้ร่มธงท็อปบู๊ทก็ไม่น่าจะผิดอีก ... !

ความจริงผลงานชิ้นนี้ของบิ๊กจิ๋ว ถ้ามองในแง่ความสมเหตุสมผลในการบริหารกองทัพบก ไม่มีอะไรผิดพลาด เพราะหนึ่งโดยเนื้อแท้แล้วบิ๊กจิ๋วต้องการ มุ่งไปที่การประกันชีวิตให้กลุ่มทหารพรานมากกว่าทหารประจำการ เพราะพวกทหารพรานได้รับสวัสดิการจากกองทัพน้อยกว่าทหารประจำการอยู่แล้ว เวลาบาดเจ็บหรือล้มตายจากภัยสงครามอย่างมากก็ได้เงินช่วยเหลือจากมูลนิธิสายใจไทยเดือนละไม่เกิน 2,000 บาทเท่านั้น ขณะที่ทหารประจำการจะได้เงินช่วยเหลือจากกองทัพในรูปเงินบำเหน็จตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีปี 2512 โดยเป็นเงินบำเหน็จ 25 เท่าของเงินเดือน กรณีเสียชีวิต หรือ 30 เท่าของเงินเดือน กรณีพิการ สอง- เงินที่เป็นค่าเบี้ยประกันใน โครงการนี้ ไม่ได้เอามาจากงบประมาณแผ่นดิน แต่มาจากงบบริจาคที่บริษัทห้างร้านต่าง ๆ ออกให้

แต่สำหรับในแง่ของบริษัทไทยประกันฯ แล้ว งานนี้ยังมีข้อสงสัยอยู่ว่าจะบรรลุถึงหน้าตาหรือภาพพจน์ต่อสาธารณชนจริง ๆ หรือไม่เหตุเพราะในแง่ธุรกิจประกันชีวิตสิ่งที่จะมาได้มาซึ่งภาพพจน์ที่ดีอยู่ในขั้นตอนชำระค่าสินไหมแก่ผู้เอาประกัน แต่เนื่องจากข้อมูลการสูญเสียของทหารที่เกิดขึ้นอยู่ในมือกองทัพ และบริษัทไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้จริงด้วยเหตุผลเป็น "ความลับทางราชการ" จึงเป็นดาบสองคมแก่บริษัทอยู่ไม่น้อย

"ถ้ายิ่งมีการออกข่าวการชำระสินไหมถี่มากเท่าไร บริษัทก็ได้หน้าตามากขึ้น แต่กองทัพไม่ชอบเพราะเท่ากับเป็นการเปิดเผยจำนวนการสูญเสียแก่สาธารณะ มองในแง่นี้แล้ว เป็นไปได้มากว่างานนี้ทางบริษัทไทยประกันฯ ไม่ได้หน้าตาเท่าไรในสายตาประชาชนทั่วไป" ผู้เชี่ยวชาญการบริหารธุรกิจประกันชีวิตวิเคราะห์ให้ "ผู้จัดการ" ฟัง

และแม้ว่าในสัญญาโครงการประกันชีวิตครั้งนี้จะเป็นปีต่อปี ในปีหน้าบริษัทไทยประกันฯ ก็ต้องทำสัญญาต่อกับกองทัพบกต่อไปในลักษณะเช่นเดิม "เข้าทำนอง ขี่หลังเสือแล้วลงไม่ได้" เพราะถ้าไทยประกันฯ ขอเลิกสัญญาต่อก็อาจจะผิดใจกับทางกองทัพ ซึ่งในสถานะเช่นนี้บริษัท ไทยประกันฯ จึง "อึดอัด" พอสมควรกับภาระที่จะต้องแลกเอาระหว่างความเสี่ยงต่อการขาดทุน กับความสัมพันธ์อันดีกับทหาร

"จุดภาระที่รู้สึก "อึดอัด" นี้เข้าใจว่าทางผู้บริหารของไทยประกันฯ เองก็เข้าใจดีว่า แนวโน้มของสงคราม (ที่อาจจะเกิดขึ้น) ในอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรจะมายืนยันได้ว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก เพราะมูลเหตุของสงครามไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่มันเกิดขึ้นจากการตัดสินใจของคนระดับสูงในกองทัพและรัฐบาล" แหล่งข่าวผู้เชี่ยวชาญกล่าวเน้น

แต่อย่างไรก็ตาม งานนี้ไม่ว่าบริษัทไทยประกันฯ จะรู้สึกอย่างไรที่ผลได้ทางธุรกิจแทบจะมองไม่เห็น และเป็นรายการที่คุณขอมาที่ออกจะปฏิเสธได้ยาก นักสร้างสรรค์ทางธุรกิจประกัน ชีวิตอย่างอภิรักษ์ก็จักต้องเดินหน้างานนี้ต่อไป ตามคำสั่งผู้ใหญ่ในบริษัท และแล้ว ...

วันที่ 27 มีนาคม ปีที่แล้ว สัญญากรมธรรม์ประกันภัยหมู่แบบภัยสงคราม ระหว่างบิ๊กจิ๋วกับบริษัทไทยประกันฯ - วานิช ไชยวรรณ และอภิรักษ์ ต่อหน้าสักขีพยาน พลเอกประยุทธ จารุมณี ประธานกรรมการแบงก์ และประยูร จินดาประดิษฐ์ กรรมการผู้จัดการแบงก์ที่หอประชุมกองทัพบกก็เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์กองทัพบกไทย และของบริษัทไทยประกันชีวิตเองในรอบ 45 ปีที่ก่อตั้งมา

สัญญามีอายุ 1 ปี (1 เมษายน 2530 - 31 มีนาคม 2531) กำหนดให้วันที่ 1 เมษายน 2530 กองทัพบกต้องจ่ายเบี้ยประกันงวดแรกจำนวน 5 ล้านบาท แก่บริษัทไทยประกันฯ งวด 2 วันที่ 1 ส.ค. 2530 และงวด 3 วันที่ 1 ธ.ค. 2530 งวดละ 6 ล้านบาท

แต่ก็อย่างที่บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่า งานนี้เป็นรายการคุณขอมาจะกระอักกระอ่วนอย่างไรก็ต้องทนเอา เพราะปรากฏว่าทางกองทัพบกไม่สามารถจ่ายเบี้ยประกันงวดที่ 3 สุดท้ายจำนวน 6 ล้านบาท ได้ตามระยะเวลาในสัญญา !

"กองทัพจ่ายมาเพียง 11 ล้านบาท ที่เหลือเห็นทางท่านพลเอกชวลิตบอกว่าจะนำไปใช้ในโครงการพัฒนาอีสานเขียน... เราก็ไม่ว่าอะไรเพราะถือว่าช่วยกันได้ก็ช่วยกันไป เวลาปิดบัญชีเราก็จะมาดูว่างานนี้มีเงินค้างจ่ายอยู่เท่าไร ทางกองทัพบกจะต้องจ่ายเบี้ยประกันอีกเท่าไหร่ เพื่อทบยอดบัญชีปีต่อปี" อภิรักษ์เล่าเพื่อย้ำว่า ทางบริษัทไทยประกันฯ ให้การอะลุ้มอล่วยอย่างเต็มที่กับกองทัพบก

ผู้เชี่ยวชาญธุรกิจประกันให้ความเห็นกับ "ผู้จัดการ" ถึงประเด็นนี้ว่า เป็นไปได้ว่างานนี้ทางบริษัทไทยประกันฯ ต้องใช้วิธีจ่ายค่าสินไหมล่วงหน้าในส่วนที่เกิน 11 ล้านบาทไปก่อน เพราะจากการประเมินสถานการณ์สงครามที่ช่องบกและร่มเกล้า น่าเชื่อได้ว่าทางบริษัทไทยประกันฯ คงต้องจ่ายสินไหมตามสัญญาแก่กองทัพบกเกินกว่าจำนวนเบี้ยประกัน 17 ล้านบาท แน่นอน และอาจถึงระดับ STOP LOSS 8.5 ล้านบาทด้วย

แต่การขาดทุน 8.5 ล้านบาทนี้เมื่อเทียบกับฐานะเงินทุนสำรองจริงและสำรองฉุกเฉินเกือบ 600 ล้านบาท ของบริษัทเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก และที่สำคัญที่สุดเพื่อพิจารณาจากโครงข่ายทางธุรกิจของเสี่ยวานิชเอง ก็เป็นไปได้ว่าการแลกกับการขาดทุนเล็กน้อยในบริษัทไทยประกันฯ กับผลประโยชน์เกี่ยวเนื่องที่จะได้รับจากโครงการต่าง ๆ ของกองทัพในบริษัทเครือข่ายของเสี่ยวานิช ก็นับว่าคุ้มค่าอยู่ เหตุผลก็คือ

หนึ่ง - วานิชกับผู้นำในกองทัพรู้จักสนิทสนมกันมาก ธุรกิจในเครือข่ายของวานิชหลายบริษัทมีนายทหารระดับสูงร่วมเป็นกรรมการด้วย จึงจำเป็นอยู่เองที่วานิชต้องใช้หลักการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน

"ในอนาคตเป็นไปได้ว่าการประกันอุบัติเหตุให้ทหารก็อาจจะเกิดขึ้น ทหารในกองทัพมีมาก-มายขนาดไหน คุณก็รู้ และธุรกิจประเภทนี้ก็ทำกำไรให้บริษัทมาก ๆ คุณวานิชเองก็มีบริษัทไพบูลย์ ประกันภัยอยู่ในมือ แล้วตลาดส่วนนี้มันจะไปไหนเสีย" แหล่งข่าวใกล้ชิดกับวานิช ให้ข้อสังเกตกับ "ผู้จัดการ" เป็นการยืนยันว่า เป็นไปได้อย่างมากที่งานประกันชีวิตทหารโดยเนื้อแท้แล้ว เป็นตัวนำร่อง ให้แก่เครือข่ายธุรกิจต่าง ๆ ของวานิช ที่จะเข้าไปทำธุรกิจกับกองทัพ

เมื่อย้อนหลังไปในอดีตของวานิช เขาเติบโตจนเป็นเศรษฐีจากธุรกิจผลิตและค้าเหล้าขาวในนครปฐม และอุตรดิตถ์ก่อนที่จะมาผงาดในบริษัทสุราแม่โขงและหงส์ทองในปัจจุบัน และธุรกิจสุราก็ รู้ ๆ กันอยู่ว่ามันเป็นธุรกิจที่จะต้องสร้าง CONNECTION กับผู้มีอำนาจต่าง ๆ แม้กระทั่งคนในเครื่อง-แบบไม่ว่าจะเป็นสีไหน

"ธุรกิจนี้มันมีทั้ง GIVE และ TAKE ถ้าใจไม่ถึงก็ไปไม่รอด" พ่อค้าสุรากล่าวย้ำกับ "ผู้จัดการ"

แต่วานิชก็อยู่รอดมาได้และเติบโตเอามาก ๆ ในธุรกิจนี้ ซึ่งแสดงว่าโดยตรรกแล้วเขาก็คงไม่ได้หลีกเลี่ยงไปจากวิธีการเช่นนี้

สอง - แม้การรับประกันชีวิตให้ทหารจากภัยสงครามจะขาดทุน แต่ผลต่อเนื่องจากธุรกิจนี้ในกองทัพอากาศ กองทัพเรือ และตำรวจ ก็มีแนวโน้มสร้างผลประโยชน์ทางธุรกิจแก่บริษัทไทยประกันฯ ได้ ประจักษ์พยานในข้อนี้จะดูได้จากคำยืนยันของอภิรักษ์เองที่เปิดเผยกับ "ผู้จัดการ" ว่า ตอนนี้ตำรวจตามโรงพักต่าง ๆ จำนวน 18 โรงพัก ได้ทำสัญญาประกันชีวิตหมู่ทุกกรณีกับบริษัท "โรงพักแต่ละแห่งเสียค่าเบี้ยประกันในการนี้เฉลี่ยประมาณ 20,000 - 30,000 บาท แล้วแต่จำนวนตำรวจและโครงสร้างอายุรวม 18 แห่งก็นับว่ามากและคุ้มต่อธุรกิจ"

ใช่แล้ว .... 18 โรงพัก โรงพักละ 30,000 บาท คิดเป็นค่าเบี้ยประกัน 540,000 บาท ต่อปี ที่บริษัทไทยประกันฯ ได้รับมันน้อยเสียเมื่อไหร่ และการประกันเช่นนี้ก็ไม่เหมือนที่ทำกับทหารกองทัพบก เพราะกรณีที่ผู้เอาประกันไม่เสียชีวิต บริษัทไม่ต้องคืนเงินให้เป็นการทำประกันชีวิตหมู่ปกติทั่วไป

ปราณีต วีรกุล หัวหน้าส่วนประกันชีวิตหมู่บริษัทประกันฯ ได้กล่าวยืนยันกับ "ผู้จัดการ" ว่า การประกันชีวิตหมู่ให้ตำรวจตามโรงพักต่าง ๆ นี้เกิดขึ้นหลังจากที่บริษัทได้ทำสัญญาประกันชีวิตหมู่ภัยสงครามแก่กองทัพบก โดยบริษัทได้เสนอโครงการและการขายไปที่โรงพักต่าง ๆ ทั่วเขต กทม. ซึ่งมีอยู่ประมาณ 70 แห่ง

"เงินค่าเบี้ยประกันเป็นการลงขันกันเองของตำรวจตาม สน. ต่าง ๆ ไม่ใช่มาจากงบสวัสดิการของกรมตำรวจแต่อย่างใด"

"ผู้จัดการ" ลองคำนวณดูแล้ว ถ้าตำรวจทำประกันทั้ง 70 แห่ง บริษัทไทยประกันฯ ก็จะมีรายรับจากค่าเบี้ยประกันปีละ 2,100,000 บาท อย่างหน้าตาเฉย

จากเหตุการณ์สู้รบที่ช่องบกและติดตามด้วยสมรภูมิบ้านร่มเกล้า ดูเผิน ๆ หลาย คนอาจจะคิดว่าไทยประกันชีวิตคงจะต้องตกที่นั่งลำบาก

แต่ในระยะยาวเหตุผลอย่างน้อย 2 ประการดังกล่าวคงพอจะช่วยยืนยันได้ว่า ก็คงจะลำบากไม่มากและไม่นานหรอก ผลตอบแทนจากการลงทุนนั้นจะต้องตอบแทนกลับมาในที่สุด   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us