|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ มีนาคม 2531
|
|
คงไม่เพียงแต่คนที่ไม่เคยสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับอุตสาหกรรมหนักมาก่อนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงหลาย ๆ คนที่ศึกษาและติดตามข่าวคราวของ "ปิโตรเคมี" ที่คิดเช่นเดียวกันว่าเป็นเรื่องที่ยากยิ่งแก่การเข้าใจเสียเหลือหลาย
การลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่นี้ เกิดขึ้นหลังจากการสำรวจพบก๊าซธรรมชาติแหล่งใหญ่ในอ่าว-ไทยในปี 2516 ซึ่งได้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการที่เกี่ยวเนื่องจากก๊าซธรรมชาติ
การเริ่มต้นโครงการปิโตรเคมีเบื้องต้น ได้ใช้เงินลงทุนในโครงการมากกว่า 20,000 ล้านบาท จนกระทั่งปัจจุบันที่ได้มีการศึกษาแนวทางการพัฒนา "ปิโตรเคมี"ขั้นที่ 2 คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ดร.ศิริ จิระพงษ์พันธ์ ผู้จัดการฝ่ายวางแผนและประสานงานของบริษัท ปิโตรเคมีแห่งชาติ จำกัด เป็นกลไกสำคัญยิ่งที่อยู่เบื้องหลังความก้าวหน้าของโครงการมาโดยตลอด
ศิริจบการศึกษาระดับไฮสคูล จาก SEVENTH DAY ADVENTIST หลังจากนั้นได้ทุนไปศึกษาต่อที่ UEVENTH OF AKRON มลรัฐโอไฮโอ เรียนได้เพียงปีเดียวก็ย้ายไปเรียนที่ CALIFORNIA IN-STITUTE OF TECHNOLOGY (CAL TECH) ในสาขาวิศวกรรมเคมี (CHEMICAL ENGINEERING) โดยได้รับทุนจากสถาบันอีกเช่นกัน
ศิริจบปริญญาตรีจาก CAL TECH โดยได้รับเลือกให้อยู่ในกลุ่มนักศึกษาที่มีอันดับคะแนนสูงสุดที่จบในปีนั้น และเข้าเรียนต่อปริญญาเอกในสาขาเดียวกันที่ MIT (MASSACHUSETTS INSTITUTE OF TECHNOLOGY ) สถาบันการศึกษาสาขาวิศวกรรมศาสตร์ที่เยี่ยมที่สุดของสหรัฐอเมริกา
ระหว่างที่ศิริทำปริญญาเอกในงานวิจัยของเขาก็ได้มีการจัดตั้งบริษัทภายในโครงการขึ้นมาเอง ซึ่งความเป็นยอดฝีมือทางด้านนี้ของศิริพิสูจน์ได้จากการที่บริษัทของเขาได้รับเชิญจากบริษัทที่ปรึกษาใหญ่ของสหรัฐฯอย่าง ARTHUR D.LITTLE ให้เป็นที่ปรึกษาในงานวิจัยของบริษัท
ARTHUR D. LITTLE เป็นหนึ่งในสองบริษัทที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมเคมี ที่ได้เสนอตัวเข้ามาศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างโรงงานปิโตรเคมีขั้นที่ 2 กับปตท.ในขณะนี้
ศิริใช้เวลาว่างสร้างประสบการณ์ให้ตัวเองทางคอมพิวเตอร์ และการบริหารองค์กรอยู่เสมอ เขาใช้เวลาเรียนที่ MIT อยู่ 3 ปีครึ่ง และพกเอา EQUIVALENT TO MBA จาก BUSINESS SCHOOL ของ MIT กลับมาเมืองไทยอีกใบ โดยปฏิเสธงานที่น่าสนใจและค่าตอบแทนสูงมากมายที่บริษัทชั้นนำในสหรัฐฯเสนอให้ ด้วยเหตุผลเดียวที่ว่า "ไม่มีที่ไหน... สุขใจเท่าบ้านเรา"
ศิริกลับมาเมืองไทยในปี 2523 เริ่มงานด้ายการวางแผนโครงการอุตสาหกรรมปิโตรเคมิคัลไทย- - จนเป็นรูปเป็นร่าง ขณะเดียวกันก็เข้าไปสอนในแผนกวิศวเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ปลายปีเดียวกันนั่นเอง ศิริก็ถูกชักชวนจากปตท. ให้เข้าร่วมวางแผนศึกษาความเป็นไปได้ในโครงการอุตสาหกรรมปิโตรเคมีจนสามารถเสนอโครงสร้างทั้งหมดตั้งเป็น บริษัทปิโตรเคมีแห่งชาติ จำกัด สำเร็จในปี 2527
ช่วงแรกที่ปตท.ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการนี้โดยมีบริษัทจากต่างประเทศเป็นที่ปรึกษา ซึ่งให้ความเห็นว่าประเทศไทยควรสร้างโรงงานผลิตเอททิลีนเล็ก ๆ กำลังการผลิตประมาณ 160,000 ตันต่อปี เพื่อทดแทนการนำเข้า ศิริเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการคัดค้านความคิดดังกล่าว
"ตอนนั้นผมพูดได้อย่างมั่นใจจากประสบการณ์ที่ผ่านมาว่า ในลักษณะเศรษฐกิจอย่างนี้ทำไปวันต่อวันก็ไม่ได้ประโยชน์มูลค่าแก๊ซอาจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ได้เป็นฐานของอุตสาหกรรมจริง ๆ" ศิริอธิบายความคิดของเขาในครั้งนั้น
และนี่คือความแตกต่างที่สำคัญ ของการเรียนในด้าน CHEMICAL ENGINEERING มาโดยตรงของศิริ ที่เขาสามารถมองตั้งแต่ต้นจนจบได้โดยเขารู้ว่า ขบวนการทั้งหมดเกี่ยวข้อง กับอะไรบ้าง มีจุดอ่อน จุดเด่นที่ไหนบ้าง ทำอย่างไรที่จะให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดที่เรียกว่ามีเหตุผล REASONABLE RANGE และ REASONABLE CAPACITY
ขณะเดียวกัน ตอนนั้นมีคนที่รู้เรื่องปิโตรเคมีอย่างลึกซึ้งน้อยมาก ศิริจึงถูกเชิญเข้าไปเป็นที่ปรึกษาให้แบงก์กรุงเทพ ในเรื่องการวางแนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เพื่อประกอบในการวางแผนโครงสร้างการดำเนินธุรกิจของแบงก์ที่จะเกี่ยวข้องกับปิโตรเคมีซึ่งแบงก์กรุงเทพเองก็เห็นชัดว่า แบงก์ไหนที่มีบทบาทในอุตสาหกรรมนี้ได้ จะเป็นจุดยืนเป็นฐานสำคัญของธุรกิจของแบงก์ในอนาคต
นอกจากงานที่รับผิดชอบที่ปคช. (ปิโตรเคมีแห่งชาติ) ศิริยังเป็นกรรมการและเลขานุการมูลนิธิเพื่อสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ที่มีเป้าหมายในการส่งเสริมพัฒนาให้หน่วยงานต่าง ๆ สามารถ มีกำลังที่จะพัฒนาบุคลากรในด้านต่าง ๆ ในสาขาปิโตรเคมีให้มากที่สุด และเป็นที่ปรึกษาและอาจารย์พิเศษในโครงการจัดตั้งวิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ร่วมกับสหสาขา วิชาปิโตรเคมีของจุฬาฯ อีกด้วย
ศิริบอกว่า วิทยาลัย ฯ ที่ตั้งขึ้นเพื่อรองรับโครงการของมูลนิธิเพื่อสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เป็นหนึ่งในหลายโครงการที่มูลนิธิสนับสนุนอยู่บ้าง แต่ไม่ได้เป็นการแข่งขันกัน
"เราพยายามกระตุ้นให้ประชาชนทั่วไป นิสิต นักศึกษามีความรู้เกี่ยวกับปิโตรเคมี พอมีสถาบันนี้ มีมูลนิธิ ฯ จะทำให้นักศึกษาที่จบออกมามีความพร้อม ที่จะก้าวเข้าไปในปิโตรเคมีมากขึ้น" ศิริย้ำถึงความสำคัญในการให้ความรู้เกี่ยวกับปิโตรเคมีในอีกด้านหนึ่ง
ทุกวันนี้ ศิริใช้เวลาว่างหลังจากเลิกงานของเขาพักผ่อนด้วยการว่ายน้ำ กับลูกชายสองคนอายุเพียง 8 และ 6 ขวบครึ่งและลูกสาววัย 3 ขวบของเขา
"ตอนแรกผมอยากเป็นหมอ เพราะชอบเรียนเคมีแต่ก็อยากเป็นวิศวกรด้วย ก็มีวิศวเคมีนี่แหละ ที่ผมคิดว่าเหมาะสมกับผมที่สุด" ศิริเล่าถึงเหตุผลที่ทำให้เขาเลือกเรียนวิศวเคมีและคงไม่เคยคิดว่าตัวเขาจะเป็นผู้นำความรู้ที่ได้เล่าเรียนมาทำประโยชน์ได้มากขนาดนี้
ศิริเคยบอกว่าเขาไม่ใช่ทั้ง ENGINEER และไม่ใช่ BUSINESS MAN แต่เขาต้องพยายามมองกว้างขึ้นถึงขั้นว่า จะใช้วิศวกรรมในการพัฒนาธุรกิจอย่างไร เพื่อให้ก่อตั้งเป็นธุรกิจที่สำเร็จได้
และทุกวันนี้ศิริยังคงหมกมุ่นและอุทิศแรงกายแรงใจทุกหยาดของเขา ในการพัฒนาศึกษาเรื่องราวของ "ปิโตรเคมี" ที่เขามั่นใจว่าอุตสาหกรรมนี้จะเป็นฐานหลักของประเทศในอนาคต
|
|
|
|
|