ทศท วางจุดยืนไม่แปรสัญญา เพื่อให้การเข้าตลาดฯในเดือนก.ย.เดินหน้า พร้อมวางตำแหน่งเป็นเทเลคอม ซูเปอร์มาร์เกต ให้บริการผ่านโครงข่าย 3 ระดับ
นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการ บริษัท ทศท คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวถึงแผนการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯในไตรมาส 3 หรือเดือนก.ย.ที่จะถึงว่าจุดยืนของทศทคือการไม่แปรสัญญาสัมปทานที่มีอยู่กับเอกชนมากกว่า 20 สัญญา เนื่อง จากจะทำให้สถานการณ์ของทศทอยู่ในภาวะที่นิ่งที่สุด เพียงแต่ต้องมีข้อมูลเปิดเผยทั้งหมดถึงโอกาสในอนาคตซึ่งอาจมีทั้งการเพิ่มหรือลดมูลค่าหากมีการเปลี่ยนแปลงซึ่งจะเป็นข้อมูลที่ชัดเจนเพียงพอสำหรับการประเมินการลงทุนของนักลงทุน (Investor)
ตามโครงสร้างธุรกิจปัจจุบันของทศท วางตำแหน่งเป็น Telecom Supermarket ที่มีสินค้าและบริการครบวงจรไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์พื้นฐาน บริการด้านสื่อสารข้อมูล บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศ บริการโทรศัพท์มือถือและบริการไร้สาย ธุรกิจคอนเทนต์มัลติมีเดียที่อยู่ระหว่างดำเนินการร่วมทุนกับไซเบอร์แพลนเน็ต และอิเมจิแม็กซ์
สำหรับยุทธศาสตร์ของการเป็นเทเลคอม ซูเปอร์มาร์เกตคือการให้บริการผ่านโครงข่าย 3 ระดับคือ 1. ในกรุงเทพฯ ปริมณฑลหรือหัวเมืองใหญ่ที่เป็นลักษณะชุมชนจะให้บริการผ่านโครงข่ายโทรศัพท์พื้นฐาน (Wire Line) ที่มีอยู่ 2. ถ้าหากอยู่นอกเหนือข่ายสายที่วางไว้หรืออยู่ในพื้นที่ห่างไกล ก็จะให้บริการผ่านระบบไร้สายในลักษณะ Wireless Local Loop และ 3. หากห่างไกลมากขึ้นกว่านั้น ในพื้นที่ทุรกันดารป่าเขา หรือพื้นที่ปิดก็จะให้บริการผ่านระบบดาวเทียม ซึ่งทศทมีแผนที่จะร่วมมือกับเอกชนที่มีศักยภาพในการให้บริการ เนื่องจากในอนาคตทศทยังต้องคงบทบาทการเป็นผู้ให้บริการสาธารณะในพื้นที่ห่างไกลหรือ Universal Service Obligation
"ผมเชื่อว่าทศทเดินมาถูกทาง ในขณะที่รายได้จากโทรศัพท์พื้นฐานลดลง เราต้องสร้างรายได้จากบริการเสริม และต้องหาธุรกิจใหม่ไม่ว่าจะทำเอง หรือร่วมทุนกับเอกชน"
นายสถิตย์กล่าวว่า ธุรกิจใหม่ที่ทศทให้ความสำคัญมากเพื่อสร้างผลกำไรให้มากขึ้นทดแทนรายได้ที่ลดลงจากโทรศัพท์พื้นฐานคือด้านบรอดแบนด์หรืออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่ทศทร่วมทุนกับบริษัท แอดวานซ์ ดาต้า เน็ตเวิร์ก คอมมูนิเคชั่น หรือ ADC ที่ทศทเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 46% ในชื่อบริการ Buddyเพื่อให้บริการได้ทั้งดูทีวี อินเทอร์เน็ตความ เร็วสูงและใช้งานโทรศัพท์ได้ ซึ่งหากทศทให้บริการบรอดแบนด์เอง จะเดินหน้าได้ช้ามาก ในขณะที่การร่วมทุนจะทำให้ทศทได้พันธมิตรที่แข็งแกร่ง
นอกจากนี้ ในปี 2548 ทศทยังปรับระบบบริหารเข้าสู่สากลมากขึ้น ด้วยการนำระบบ Balanced Scored Card เข้ามาใช้อย่างสมบูรณ์หลังจากเริ่มใช้ตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา แหล่งข่าวจากทศท กล่าวว่าในช่วงปี 2546 ที่ผ่านมา สมัยนายสิทธิชัย ส่งพิระยะกิจ เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ ได้เคยจ้างที่ปรึกษาการเงินศึกษาแผนเข้าตลาดและประเมินราคาหุ้นอยู่ที่ระหว่าง 13.14-25.71 บาทต่อหุ้น โดยระบุว่าช่วงราคาขึ้นอยู่กับความไม่แน่นอนเรื่องอนาคต สัญญาสัมปทานและการทำรายได้ในอนาคต
นอกจากนี้ ฝ่ายกลยุทธ์ของทศทและที่ปรึกษาการเงินยังได้ประเมินความเสี่ยง (risk factor) ของทศทไว้ถึง 20 ประเด็น โดยมีประเด็นที่น่าสนใจเช่น หลักเกณฑ์ของคณะกรรมการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.)ในเรื่องค่าเชื่อมโครงข่าย (Interconnection Regime) การให้บริการ USO, การแก้ไขสัญญาสัมปทานและส่วนแบ่งรายได้, การแข่งขันกับผู้ให้บริการรายใหม่ในตลาด, อนาคตของไทยโมบาย, ข้อพิพาทกับบริษัทเอกชนที่เป็นคู่สัญญาสัมปทาน ฯลฯ
สำหรับสัญญาสัมปทานที่ทศทดำเนินการกับเอกชน อาทิ บริการโทรศัพท์พื้นฐานกับทรู, ทีทีแอนด์ที โทรศัพท์มือถือกับเอไอเอส บริการโครงข่ายกับคอมลิ้งค์, จัสมิน ซับมารีน, Thai Long Distance Telecommunications, บริการสมุดหน้าเหลือง กับเทเลอินโฟมีเดีย บริการบรอดแบนด์ ADSL กับ ยูบีทีในกลุ่มยูคอม เลนโซ่ดาต้าคอม สามารถ บรอดแบนด์ ฯลฯ
|