โฮลซิมค่ายปูนกลางเข้าถือหุ้นใหญ่บรรลุข้อตกลงร่วมกับแบงก์ กรุงเทพ ในฐานะเจ้าหนี้รายใหญ่ในทีพีไอ
โพลีนแล้ว โดยเปิดทางให้ถือหุ้นใหญ่ 77%แลกกับเงินเพิ่มทุน 375 ล้านเหรียญสหรัฐ
คาดว่าการซื้อหุ้นดังกล่าวจะแล้วเสร็จในเดือนหน้านี้ ส่งผลให้ราคาหุ้น TPIPLวานนี้โดดขึ้นปิดตลาดที่
14.50 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น 3.57%
วานนี้(7 พ.ค.) ราคาหุ้นของบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPL
ปรับตัวเพิ่มขึ้นร่วม 3.57 %มาปิดที่ 14.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท
เนื่องจากมีนักเก็งกำไรเข้ามาซื้อโดยเล่นข่าวเก่ากรณีจะมีกลุ่มผู้ลงทุนต่างประเทศคือ
โฮลซิม ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ SCCC
จะเข้ามาซื้อหุ้นใหญ่
โดยคาดว่าการเข้าซื้อหุ้นใหญ่ครั้งนี้จะบรรลุข้อตกลงได้ภายในเดือนมิถุนายน
นางอรพิน เลี่ยวไพรัตน์ กรรม การรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท ทีพีไอ โพลีน
จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มโฮลซิมจะเข้าซื้อหุ้น 77% ในทีพีไอโพลีนผ่านทางบริษัทปูนซีเมนต์นครหลวง
จำกัด (มหาชน)
ซึ่งขณะนี้โฮลซิมสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกับเจ้าหนี้ได้แล้ว โดยเฉพาะแบงก์กรุงเทพ
โดยขอแฮร์คัตดอกเบี้ยค้างจ่ายทั้งหมด จากเดิมที่ดอกเบี้ยค้างจ่ายจะแปลงเป็น
ทุน
เพื่อแลกกับการนำเงินเข้ามาซื้อหนี้คืน และชำระหนี้จำนวน 375 ล้านเหรียญสหรัฐ
นายสุกรี นิติธรรมมาส นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์แอ็ดคินซัน
จำกัด กล่าวว่า หากข้อตกลงการเข้ามาซื้อหุ้นในทีพีไอโพลีน ของโฮลซิมสำเร็จ
จะทำให้อนาคตผลประกอบการของทีพีไอโพลีนดีขึ้น เพราะทางโฮลซิมมีความแข็งแกร่งในเรื่องเงินทุนและการตลาด
ซึ่งจะทำให้ทีพีไอโพลีนมีรายได้จากการขายที่ดีขึ้น
โดยเฉพาะทีพีไอโพลีนมีต้นทุนในการผลิตที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับผู้ผลิตรายอื่น
นอกจากนี้แล้ว ทีพีไอ โพลีนจะมี รายได้จากการขายทรัพย์สิน แม้จะมีการ เลื่อนแผนการขายออกไปเป็นปีหน้า
ซึ่ง
หากภาวะเศรษฐกิจดีขึ้นกว่าปัจจุบันจะทำให้ทีพีไอโพลีนสามารถขายทรัพย์สินได้ง่ายขึ้นและขายได้ในราคาที่ดีขึ้น
นักลงทุนจะเข้ามาซื้อเก็งกำไรทุก
ครั้งที่มีข่าวเกี่ยวกับการเข้ามาซื้อหุ้นทีพีไอโพลีนของกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ
ราคาที่ขึ้นไปวันนี้ที่ 14.70 บาท ต่อหุ้นยังต่ำกว่าคราวก่อนที่ขึ้นไปที่
15.20 บาทเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่ง
หากทีพีไอโพลีนสามารถตกลงขายหุ้นให้โฮลซิมได้จริงและเจ้าหน้ารายใหญ่อย่างแบงก์กรุงเทพให้การสนับสนุน
จะทำให้บริษัทดีขึ้น โดยราคาน่าจะอยู่ระดับ 17-18 บาทต่อหุ้นได้ แต่ ณ
ขณะนี้เรายังแนะนำให้เล่นสั้นจนกว่าจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการออกมา และศึกษารายละเอียดของแผน
การปรับโครงสร้างหนี้อย่างละเอียด
ส่วนฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาติ ให้ความเห็นเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการของบริษัท
ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) โดยระบุว่า ตามหนังสือที่ทีพีไอ โพลีนได้แจ้งไปยังตลาดหลักทรัพย์ฯ
คาดว่าการเพิ่มทุนของบริษัทฯ ตามแผนการปรับโครงสร้างหนี้จะสามารถสรุปได้ภายในวันที่
31 มีนาคม 2545 ดังนั้น โอกาสสำเร็จมีสูงมาก เนื่อง จากตามแผนใหม่ของโฮลซิม
เจ้าหนี้จะถูก แฮร์คัตเพียง
19.59% ในขณะที่แผนเดิมของกลุ่มซีเม็กซ์ ทางเจ้าหนี้ถูก แฮร์คัตถึง 44-53%
ทำให้ไม่ผ่านการเห็น ชอบของเจ้าหนี้
ขณะเดียวกันทางโฮลซิมจะใส่เงิน เพิ่มทุนชำระหนี้วงเงิน 375 ล้านเหรียญ สหรัฐ
มากกว่ากลุ่มซีเม็กซ์ที่ใส่เงินเพียง 180 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้สัดส่วนหนี้
สินต่อทุนลดลงจาก 3.01 เท่า ลดลงเหลือ 0.85
เท่า และมูลค่าตามบัญชีใหม่ของทีพีไอ โพลีนลดลงจาก 34.06 บาทต่อหุ้น เหลือ
9.30 บาทต่อหุ้น โดย ลดลงจากการเพิ่มขึ้นของเงินเพิ่มทุน การเพิ่มขึ้นของกำไรจากการปรับโครง
สร้างหนี้
และการลดลงจากการต้องปรับระบบบัญชีใหม่ในเรื่องค่าเสื่อมราคาของทีพีไอโพลีนให้ใกล้เคียงปูนซีเมนต์นครหลวง
ดังนั้น การเพิ่มทุนใหม่โดยผู้ถือหุ้นที่แข็งแกร่งอย่างโฮลซิม จะทำให้ทีพีไอ
โพลีนมีฐานะที่ดีขึ้นและดำเนินธุรกิจต่อได้เป็นอย่างดี จะเห็นได้จากการเข้าบริหารปูนซีเมนต์นครหลวงของ
โฮลซิมตั้งแต่ปี 2542
ทำให้ปูนกลางสร้างผลกำไรที่ดีต่อผู้ถือหุ้นและสามารถ จ่ายเงินปันผลได้
สำหรับผลการดำเนินงานของทีพีไอ โพลีน งวดปี 2544 บริษัทกำไรสุทธิ 4,590
ล้านบาท ขยายตัวขึ้น 180.29% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่ง ขาดทุนสุทธิ
5,717 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 9.00
บาท เพิ่มขึ้นจาก ปีก่อนขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 11.27 บาท