ที่ประชุมเจ้าหนี้เทคะแนนเสียงสนับสนุนคำขอแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการทีพีไอทั้งสองฉบับท่วมท้น
96-97%ของมูลหนี้ เปิดทางอีพีแอลเลื่อนขายทรัพย์สินรองออกไปจนถึง 31 มี.ค.
46
ด้านจพท.เมินคำคัดค้านของผู้บริหารลูกหนี้ อ้างไม่อยู่ในวาระโหวตคะแนนเสียง
แต่ให้ใช้ประกอบการพิจารณาของเจ้าหนี้เท่านั้น "ประชัย" โวยจพท.สมรู้ร่วมคิดเจ้าหนี้
ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ
ลั่นยื่นคำคัดค้านมติที่ประชุม เจ้าหนี้ต่อศาลฯแน่นอน
วานนี้ (7 พ.ค.) เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ สำนักฟื้นฟูกิจการลูกหนี้ เป็นประธานในที่ประชุมเจ้าหนี้ของบริษัท
อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TPI และเจ้าหนี้ของบริษัท
ทีพีไอออยล์
จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทใน เครือทีพีไอ เพื่อโหวตลงคะแนนแก้ไขแผนฟื้นฟูฯ 2
ฉบับ ตามที่บริษัท เอ็ฟเฟ็คทีฟ แพลนเนอร์ส จำกัด ในฐานะผู้บริหารแผนฯเป็นผู้เสนอ
โดยคำร้องเพื่อขอแก้ไขแผนฉบับแรกเป็นคำขอแก้ไขวิธีการและเกณฑ์การลงมติยอมรับการแก้ไขแผน
ส่วนคำร้องเพื่อขอแก้ไข แผนฉบับที่สองคือ
การขอเลื่อนกำหนดระยะเวลาการจำหน่ายทรัพย์สินที่ไม่ใช่สินทรัพย์หลักมูลค่า
200 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นวันที่ 31 มีนาคม 2546
โดยเจ้าหนี้ทีพีไอลงมติคะแนนเสียงสนับสนุนการแก้ไขตามคำร้องฉบับแรก 96.98%
จากมูลหนี้ของเจ้าหนี้ที่เข้าร่วมประชุมและ มีสิทธิลงคะแนนทั้งสิ้น 87,900
ล้านบาท
โดยมีเจ้าหนี้ไม่รับให้แก้ไขแผนฯ 3.02% และงดออกเสียงคิดเป็นมูลหนี้รวม
2,551.61 ล้านบาท ซึ่งการงดออกเสียงนั้นจะไม่ถูกนับอยู่ในฐานการคำนวณ
นอกจากนี้ เจ้าหนี้ได้โหวตเสียงสนับสนุนเพื่อแก้ไขแผนฉบับที่สองด้วยคะแนน
97.22% ของมูลหนี้รวม 88,056 ล้านบาท และไม่สนับสนุนให้แก้ไขแผนฯ 2.78% งดออกเสียงคิดเป็นมูลหนี้
2,478.13
ล้านบาท ขณะเดียวกัน เจ้าหนี้ของบริษัท น้ำมันทีพีไอ จำกัด ร้อยละ 85.75
ของมูลหนี้ ได้ลงมติเห็นด้วยกับการแก้ไขแผนทั้งสองฉบับดังกล่าวด้วยคะแนนเสียง
85.75% ของมูลหนี้
สำหรับเจ้าหนี้ของบริษัทอื่นๆ ในเครือของทีพีไอ ได้แก่ บริษัท ทีพีไออะโรเมติกส์
จำกัด (มหาชน) บริษัท ผลิตไฟฟ้า ทีพีไอ จำกัด บริษัท ไทยเอบีเอส จำกัด บริษัท
ทีพีไอ โพลีออล จำกัด และบริษัท
อุตสาหกรรมโพลียูรีเทนไทย จำกัด (มหาชน) นั้นจะลงคะแนนเสียงในเรื่องทั้งสองในวันที่
8 พฤษภาคม 2545
นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย
จำกัด (มหาชน) กล่าวต่อไปว่า ตนจะยื่นคัดค้านการขอแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการของทีพีไออย่างแน่นอน
เนื่องจากการประชุมเจ้าหนี้ครั้งนี้ ทางเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ (จพท.)
ไม่ได้ทำตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ จึงถือว่าทำผิด
ขั้นตอนของกฎหมาย
"เราจะยื่นคัดค้านการขอแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการต่อศาลฯอย่างแน่นอน เพราะการประชุมเจ้าหนี้ครั้งนี้ทำผิดขั้นตอนของกฎหมาย
โดยไม่ได้ทำตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในแผนฟื้นฟูกิจการฯ
ขณะเดียวกันเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สมรู้ร่วมคิดกับเจ้าหนี้"
นายชวลิต อัตถศาสตร์ ทนายความ บริษัท ที่ปรึกษากฎหมายสากล จำกัด ซึ่งเป็นทนายความให้กับทีพีไอ
กล่าวว่า
ทีพีไอในฐานะลูกหนี้มีสิทธิที่จะยื่นคัดค้านต่อศาลล้มละลายกลางก่อนวันที่ศาลจะนัดฟังคำชี้ขาดการแก้ไขแผนฯล่วงหน้า
10 วัน
ซึ่งรายละเอียดของการยื่นคัดค้านนั้นใกล้เคียงกับคำคัดค้านที่ลูกหนี้ได้ยื่นเสนอต่อจพท.เมื่อวันที่
3 พ.ค.ที่ผ่านมา แต่จพท.อ้างว่าเป็นคำคัดค้าน ไม่ได้ยื่นขอแก้ไขแผนฯ
เนื่องจากจะต้องให้อีพีแอลเซ็นยินยอมเสียก่อน
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมเจ้าหนี้ครั้งนี้ จพท.น่าจะใช้ดุลยพินิจปฏิบัติตามกฎหมายและตามแผนฟื้นฟูกิจการของทีพีไอที่ระบุไว้
แต่จพท.กล่าวว่าการยื่นคำร้องคัดค้านของลูกหนี้ ทีพีไอครั้งนี้
ไม่อยู่ในวาระที่จะโหวตลงคะแนน แต่ให้เป็นเรื่องของเจ้าหนี้ตัดสินใจเอง
โดยไม่ได้ศึกษารายละเอียดของแผนฟื้นฟูฯ
ซึ่งจพท.ในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐควรที่ จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับในแผนฟื้นฟูกิจการ
มิฉะนั้นเจ้าหนี้เสียงข้างน้อยจะเสียเปรียบ
"เราไม่ได้ตีรวน แต่อยากให้เป็นไปตามกฎหมาย เห็นว่าการประชุมเจ้าหนี้ครั้งนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ไม่ชอบด้วยแผนฯ เช่น เดิมบริษัทฯหนึ่งกำหนดการแก้ไขแผนฟื้นฟู จะต้องได้รับมติพิเศษ
โดยต้องได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนจากเจ้าหนี้ 90% โดยไม่มีเจ้าหนี้คัดค้าน
แต่มาวันนี้อยากแก้ไขแผนฯ ก็เปลี่ยนหลักเกณฑ์ เป็นเสียงสนับสนุน 75% และเจ้าหนี้คัดค้านได้
ซึ่งทำอย่างนี้
เจ้าหนี้เสียงข้างน้อยที่เคยโหวตรับแผนฯไปแล้วก็เสียเปรียบ"
ศาลนัดชี้ขาดแก้ไขแผนฯ 25 มิ.ย.นี้
นายปีเตอร์ กอทธาร์ด ผู้บริหารอาวุโส บริษัท เอ็ฟเฟ็คทีฟ แพลนเนอร์ส จำกัด
กล่าวว่า ตามมาตรา 90/63 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย ได้ให้อำนาจแก่ผู้บริหารแผนในการเสนอให้มีการ
แก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการ ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนให้การฟื้นฟูกิจการบรรลุผลสำเร็จลุล่วงตาม
เป้าหมาย โดยอีพีแอลเชื่อว่า
ด้วยคะแนนเสียงสนับสนุนจากเจ้าหนี้ที่ได้รับจะช่วยให้การดำเนินการตามแผนฟื้นฟูดำเนินต่อไปอย่าง
ราบรื่น
"การแก้ไขหลักเกณฑ์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่มีความจำเป็น เพื่อให้การแก้ไขแผนที่มีขึ้นในปัจจุบันและอนาคตเป็นไปโดยสะดวกและราบรื่น
อีกทั้งยังมีจุดมุ่งหมาย เพื่อยกเลิกหลักเกณฑ์ที่ระบุให้เจ้าหนี้รายใดรายหนึ่ง
มีสิทธิคัดค้านการลงมติของเจ้าหนี้ส่วนใหญ่อีกด้วย" นายปีเตอร์ กล่าวสรุป
ซึ่งคำร้องเพื่อขอแก้ไขแผนฉบับแรก เป็น การขอความเห็นชอบให้มีการยกเลิกเงื่อนไขที่กำหนดว่า
ในการประชุมของเจ้าหนี้ตามแผนการ ปรับโครงสร้างทางการเงินเพื่อลงมติให้มีการปรับแผนนั้น
หากมีการคัดค้านจากเจ้าหนี้รายใด รายหนึ่ง เสียงที่ลงคะแนนจะต้องตกไป และให้ยึดหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ใน
พ.ร.บ. ล้มละลายแทน
โดยยังคงให้คณะกรรมการเจ้าหน้าที่ มีสิทธิเรียกประชุมเจ้าหนี้ประเมินเสียงสนับสนุนในการแก้ไขแผน
ที่มีสาระสำคัญก่อนที่จะมีการประชุมเจ้าหนี้ตามกฎหมายล้มละลายต่อไป
อย่างไรก็ตามผลของการประชุมเจ้าหนี้เพื่อประเมินเสียงนี้จะไม่ผูกพันเจ้าหนี้
เมื่อจะลงมติในการประชุมเจ้าหนี้ตามกฎหมายล้มละลาย
คำร้องเพื่อขอแก้ไขแผนฉบับที่สอง คือ การขอเลื่อนกำหนดระยะเวลาการจำหน่ายทรัพย์สินหลักมูลค่า
200 ล้านเหรียญสหรัฐ จากวันที่ 31 ธันวาคม 2544 เป็นวันที่ 31 มีนาคม 2546
หรือวันอื่นที่อาจมีการขยายออกไปตามที่เสียงส่วนใหญ่ในที่ประชุมเจ้าหนี้ที่เข้าร่วมแผนปรับโครงสร้างหนี้ทางการเงินเห็นชอบ
ซึ่งการเลื่อนกำหนดเวลาไปจนถึงวันดังกล่าวได้ดำเนินถึงเวลาที่ใช้ไปในการแก้ไขแผน
และเวลาที่ผู้บริหารแผนประเมินว่าจะต้องใช้ในการสรุปการขายทรัพย์สินที่ไม่ใช่สินทรัพย์หลักทั้งหมด
นอกจากนี้ มติดังกล่าวยังระบุไว้อีกว่า หากต้องการขยายกำหนดเวลาใหม่สำหรับการขายทรัพย์สินที่มิใช่สินทรัพย์หลักนี้ออกไปอีก
จะต้องได้รับความเห็นชอบจากเจ้าหนี้ของทีพีไอและบริษัทในเครืออีก 6 แห่งในสัดส่วนหนี้มากกว่า
50%
ทั้งนี้ ศาลล้มละลายกลางได้กำหนดให้มีการพิจารณาว่าจะมีคำสั่งเห็นชอบการแก้ไข
แผนตามที่ได้มีการลงมติไปหรือไม่ในวันที่ 25 มิถุนายน 2545 ศกนี้
นายเจษฎ์ เจษฎ์ปิยะวงศ์ ที่ปรึกษาผู้บริหาร บริษัท เอ็ฟเฟ็คทีฟ แพลนเนอร์ส
จำกัด กล่าวว่า เอ็ฟเฟ็คทีฟ แพลนเนอร์สจะสามารถขายสินทรัพย์รองที่มีอยู่ได้ตามกำหนด
โดยมูลค่าสินทรัพย์รองที่จะขายมีจำนวน 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ในจำนวนนี้ขายได้แล้ว
30ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการขายหนี้ของบริษัท ทีพีไอโพลีนในราคาส่วนลดและขายหุ้นบริษัท
ไทยคาโปเล็คตัม
ที่บริษัทถืออยู่ ส่วนสินทรัพย์ที่เหลืออีก 170 ล้านเหรียญสหรัฐจะมาจากการขายโรงไฟฟ้า
คลังน้ำมัน และอสังหาริมทรัพย์
ซึ่งการขายธุรกิจโรงไฟฟ้ามูลค่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะลงนามสัญญากับบมจ.
บ้านปูได้ภายใน 2-3 เดือนข้างหน้านี้ ในส่วนของท่าเรือคงจะเลื่อนการขายออกไปก่อน
เนื่องจากยังไม่มีความพร้อม หากเร่งดำเนินการขายจะทำให้ได้ราคาต่ำ แต่เชื่อว่าสินทรัพย์รอง
ที่มีอยู่ถ้าไม่นับรวมท่าเรือก็มีมูลค่าถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐ