Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ เมษายน 2548








 
นิตยสารผู้จัดการ เมษายน 2548
CP7-11 หุ้นสะดวกซื้อ             
โดย ปัณฑพ ตั้งศรีวงศ์
 


   
www resources

โฮมเพจ ซี.พี.เซเว่นอีเลฟเว่น

   
search resources

ซี.พี.เซเว่นอีเลฟเว่น, บมจ.
Stock Exchange




CP7-11 มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2531 ที่เริ่มดำเนินงาน ไม่เพียงรายได้หลักจากร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven เท่านั้น แต่ธุรกิจอื่นก็มีความสำคัญไม่น้อยเช่นกัน และปีที่ผ่านมาผลกำไรจากธุรกิจเหล่านี้ ก็ได้แซงหน้าธุรกิจหลักไปแล้ว

แทบไม่น่าเชื่อว่า 7-Eleven ที่เป็นเจ้าตลาดร้านค้าสะดวกซื้ออันดับหนึ่งของไทย ด้วยจำนวนร้านถึง 2,861 สาขา ณ สิ้นปีที่ผ่านมาจะมีกำไรจากธุรกิจอื่นๆ สูงกว่าผลกำไรจากธุรกิจร้านสะดวกซื้อที่เป็นธุรกิจหลักของบริษัทเสียอีก ธุรกิจอื่นๆ ที่ว่า นี้ประกอบด้วยบริการรับชำระค่าสินค้า และบริการ (ดำเนินงานโดยบริษัทเคาน์เตอร์ เซอร์วิส จำกัด ที่ CP7-11 ถือหุ้นอยู่ 99.99%) โรงงานอาหารแช่แข็งและเบเกอรี่ รวมทั้งธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับธุรกิจค้าปลีก

จากผลการดำเนินงานงวดปี 2547 บริษัทซี.พี.เซเว่นอีเลฟเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ CP7-11 มีรายได้จากธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อ 39,763 ล้านบาท คิดเป็นกำไรจากการดำเนินงาน 922 ล้านบาท รายได้จากธุรกิจโลตัส ซูเปอร์เซ็นเตอร์ในประเทศ จีน 23,483 ล้านบาท มีกำไรจากการดำเนิน งาน 514 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจอื่นๆ 15,074 ล้านบาทแต่มีกำไรสูงถึง 1,138 ล้านบาท

ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผลกำไรจากธุรกิจอื่นๆ ของ CP7-11 แซงหน้าธุรกิจหลักขึ้นมาได้น่าจะเป็นผลมาจากความสำเร็จของเคาน์เตอร์ เซอร์วิส ซึ่งในปีที่ผ่านมามียอด จำนวนบิลที่รับชำระเพิ่มขึ้นเป็น 5.2 ล้านใบต่อเดือนหรือ 62.4 ล้านใบต่อปี โดยที่มี สาขาบริการ 3,756 สาขาทั่วประเทศและยังเชื่อว่าในปีนี้จะมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย จึงไม่น่าแปลกใจที่ CP7-11 ยังไม่มีความสนใจจะนำธุรกิจที่เป็น cash cow อย่างเคาน์เตอร์เซอร์วิส เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในระยะอันใกล้นี้

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อก็ยังคงมีอัตราการขยายตัวที่น่าสนใจ ในปีที่ผ่านมาจำนวนร้าน 7-Eleven เพิ่มขึ้น 464 สาขา รวมเป็น 2,861 สาขา ซึ่งปิยะวัฒน์ ฐิตะวรสัทธากุล กรรมการผู้จัดการ เล่าว่า เป็นตัวเลขที่เกินกว่าที่ตั้งเป้าไว้แต่เดิมที่คาดว่าจะเปิดเพิ่มเพียง 400 แห่ง แต่ภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจึงเป็นโอกาสให้ CP7-11 เปิดสาขาได้เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ยอดขายเฉลี่ยต่อวันของร้าน 7-Eleven แต่ละแห่ง (same store growth) ก็เพิ่มขึ้นในอัตรา 6.6% จาก 51,584 บาทในปีก่อนหน้ามาเป็น 55,023 บาทในปีที่ผ่านมา โดยสินค้าในกลุ่มอุปโภค บริโภค (non-food) มีอัตราการขยายตัวสูงขึ้นมากจากยอดขายบัตรโทรศัพท์ในระบบต่างๆ ทำให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 25% มาเป็น 49% ขณะที่สินค้าในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม (food) มีสัดส่วนอยู่ที่ 51%

ส่วนในปีนี้ CP7-11 ยังคงจะขยายธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้ออย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่จะเปิดสาขาให้ได้ถึง 5,000 สาขาภายในเวลา 5 ปี ในปีนี้จะเปิดสาขาเพิ่มขึ้นระหว่าง 400-450 สาขา ที่จะเป็นร้านของบริษัทและร้านในระบบแฟรนไชส์ในสัดส่วนเท่าๆ กัน จำนวนร้าน ที่เพิ่มขึ้นในสัดส่วนอย่างน้อย 14% รวมเข้ากับ same store growth ในปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ระหว่าง 3-5% น่าจะส่งผลให้ CP7-11 มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 17-19%

"เป้า same store growth ปีนี้เราตั้งไว้ที่ 3-5% แต่ตัวเลขจริงๆ ที่ออกมา ในไตรมาส 1 ดีกว่านั้น ตัวเลขออกมาดีกว่า ปีที่แล้วอีก" ปิยะวัฒน์กล่าว

เป้าหมาย 5,000 สาขาภายใน 5 ปี ที่ตั้งไว้เป็นตัวเลขที่นักลงทุนบางส่วนกังขา ถึงความเป็นไปได้ เนื่องจากเกรงว่าตลาดอาจจะถึงจุดอิ่มตัวไปก่อน อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารของ CP7-11 มั่นใจว่าเป้าหมายดังกล่าวสามารถทำได้อย่างแน่นอนและยกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่นและไต้หวัน ซึ่งตลาดร้านค้าสะดวกซื้อได้ถึงจุดอิ่มตัวแล้ว (วัดจากปริมาณร้านค้าเปิดใหม่และร้านค้าที่ปิดตัวลงในแต่ละปีมียอดใกล้เคียงกัน) พบว่า สัดส่วนประชากรต่อร้านค้าสะดวกซื้อประมาณ 3,000 คนต่อร้าน ในขณะที่สัดส่วนนี้ของไทยในปัจจุบันยังเกิน 10,000 คนต่อร้าน เท่ากับว่าร้านค้าสะดวกซื้อในประเทศยังเพิ่มได้อีก 3-4 เท่า

นอกจากการขยายสาขาร้าน 7-Eleven แล้ว ในปีนี้ CP7-11 ยังเตรียมลงทุนสร้างศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ ขนาดพื้นที่ 20,000 ตารางเมตร บริเวณใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อรองรับการให้บริการแก่ร้านสาขาเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 2,100 สาขา จากเดิมที่มีศูนย์กระจายสินค้า บางบัวทอง ขนาดพื้นที่ 23,000 ตารางเมตร ที่สามารถรองรับได้ 3,000 สาขา โดยใช้งบลงทุน 835 ล้านบาทและคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในไตรมาส 4 ที่จะถึงนี้ โดยจะครอบคลุมสาขาในพื้นที่ภาคตะวันออก ภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือเป็นหลัก

การลงทุนของ CP7-11 ยังมีการขยายธุรกิจโลตัส ซูเปอร์เซ็นเตอร์ในประเทศ จีน ที่บริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 29.7% ซึ่งเดิม มี 23 สาขาและจะเพิ่มเปิดอีก 5 สาขาในปีนี้ คิดเป็นเงินลงทุน 1,300 ล้านบาทและเมื่อรวมงบลงทุนทั้งหมด ทั้งในส่วนของการขยายสาขา การก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าและการปรับรูปโฉมใหม่ของร้านค้าที่มีอายุ 5 ปีแล้ว ในปีนี้ CP7-11 จะใช้เงินลงทุนรวม 3,800 ล้านบาท

การดำเนินงานอีกด้านหนึ่งของ CP7-11 ในปีนี้ที่จะแตกแนวจากธุรกิจหลักออกไปอย่างสิ้นเชิงก็คือ โรงเรียนปัญญาภิวัฒน์เทคโนธุรกิจ ที่ CP7-11 ซื้อกิจการโรงเรียนกรุงเทพเทคนิคนนท์มาดำเนินงานต่อ และเปิดสอนนักศึกษาในระดับปวช. และ ปวส. โดยนักศึกษาจะได้เรียนจากประสบการณ์จริงในธุรกิจของ CP7-11 และยังรับประกันการมีงานทำของนักศึกษาที่เรียนจบทุกคน มองอีกด้าน หนึ่งเท่ากับว่าโรงเรียนแห่งนี้มีบทบาทในการเป็นศูนย์ฝึกและพัฒนาบุคลากรให้กับร้าน 7-Eleven และกิจการอื่นๆ ในเครือที่มีความต้องการบุคลากรถึงปีละ 4,000 คน นั่นเอง

ในมุมมองของนักวิเคราะห์และนักลงทุนทั่วไป CP7-11 ถือเป็นบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดีแห่งหนึ่ง แต่หุ้นของบริษัทกลับมีปริมาณการซื้อขายในแต่ละวันไม่มากนัก สาเหตุสำคัญมาจากนักลงทุนที่ซื้อหุ้น CP7-11 ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนสถาบันและมักจะซื้อเพื่อการลงทุนระยะยาว ทำให้ปริมาณหุ้นที่มีหมุนเวียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีน้อย

อย่างไรก็ตาม CP7-11 ได้เตรียมการแก้ปัญหานี้ โดยบริษัทจะจ่ายหุ้นปันผล ให้กับผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 1 หุ้นสามัญต่อ 1 หุ้นปันผลในวันที่ 13 พฤษภาคม ทำให้จำนวนหุ้นของ CP7-11 เพิ่มขึ้นจาก 450 ล้านหุ้นเป็น 900 ล้านหุ้น หลังจากนั้นจะแตกพาร์จาก 5 บาทเป็น 1 บาท ทำให้จำนวนหุ้นเพิ่มเป็น 4,500 ล้านหุ้น ซึ่งน่าจะแก้ปัญหาสภาพคล่องของหุ้น CP7-11 ได้

เมื่อถึงวันนั้นหุ้น CP7-11 ก็น่าจะเป็นหุ้นสะดวกซื้ออีกตัวหนึ่งของตลาดหุ้นไทย   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us