|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ พฤศจิกายน 2528
|
|
“พลตรีจำลอง ศรีเมือง ไม่ใช่คนโง่ แกเล่นการเมืองเป็น ที่แกบอกว่าเป็นหน้าที่ แกนั่นแหละเป็นการเมืองที่แกต้องเล่น” เผด็จ ภูรีปฏิภาณ คอลัมนิสต์คนดังที่ใช้นามปากกา “พญาไม้” ในหนังสือพิมพ์ข่าวสด พูดกับ “ผู้จัดการ”
ที่เราตัดสินใจเอาเรื่อง พลตรีจำลอง ศรีเมือง มาเขียนลงในหนังสือ ผู้จัดการ นั้น เพราะเราคิดว่า พลตรีจำลอง ศรีเมือง กำลังเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของวงการเมือง ที่ถ้ากระแสคลื่นใหม่นี้ไม่จางไปเสียก่อน ก็มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าทางการเมืองในปีสองปีข้างหน้านี้
และแน่นอนที่สุดจากปรัชญาความคิดทางการเมืองของจำลอง ศรีเมือง สะท้อนให้เห็นว่าแนวความคิดทางธุรกิจของเขาจะเป็นอย่างไร?
จากผู้ว่า กทม. สู่การเมืองระดับชาติในปีหน้านี้
ถ้าใครเชื่อว่าเป้าหมายของจำลอง ศรีเมือง นั้นจะสิ้นสุดเพียงศาลาว่าการกรุงเทพมหานครแล้ว คนคนนั้นอาจจะไร้เดียงสาในเรื่องการเมืองมากจนเกินไป
จำลอง ศรีเมือง ไม่ได้มองเพียงผู้ว่า กทม. เท่านั้น “เรื่องการเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้า หรือเรื่องที่ว่าผมจะเล่นการเมืองระดับชาติต่อไปหรือไม่นั้น เวลานี้ไม่มีคำตอบให้ ต้องรอให้เวลามาถึงก่อน” พลตรีจำลอง ศรีเมือง พูดกับ “ผู้จัดการ”
“เวลา” ที่พลตรีจำลองพูดถึงนั้นก็คงจะไม่ได้หมายความถึงอย่างอื่น นอกจากเสียงเรียกของประชาชนที่พร้อมจะหนุนเขาอีกเช่นในการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ครั้งนี้
เพราะจำลอง ศรีเมือง เองได้พิสูจน์แล้ว ว่าเขามีความสามารถพอที่จะจุดไฟในพลังเงียบให้ลุกโชนขึ้นมาได้
หมายกำหนดเดิมของการเลือกตั้งปี 2530 นั้น เมื่อวิเคราะห์กันแล้วก็น่าจะเกิดขึ้นในต้นปี 2529 นี้เอง เหตุผลก็คงจะอยู่ตรงที่ว่า พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ยังคงต้องการอยู่ต่อไปในฐานะนายกรัฐมนตรี และมีการเลือกตั้งในปี 2530 ซึ่งเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนมายุครบ 5 รอบ นั้นมิใช่เป็นสิ่งที่พึงจะกระทำ
“ผมเชื่อว่าจะต้องมีการยุบสภาต้น ๆ ปี 2529 นี้แน่นอน แล้วเลือกตั้งควรจะเสร็จไม่เกินมิถุนายนนี้” ปุโรหิตทางการเมืองท่านหนึ่งให้เหตุผลออกมา
แน่นอนที่สุด การเลือกตั้งครั้งหน้านั้น กิจสังคมจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบที่สุด ประชาธิปัตย์น่าจะได้ที่นั่งเพิ่ม แต่ชาติไทยก็คงจะได้เพิ่มเช่นกัน
“พูดง่าย ๆ ทั้งประชาธิปัตย์และชาติไทยจะแย่งที่นั่งของกิจสังคมไป” ปุโรหิตทางการเมืองคนเก่าพูดต่อ
ในเวลานั้นก็คงจะไม่มีใครมีเสียงข้างมากที่สุดเหมือนเช่นเคยเพียงแต่ผู้ที่จะอุ้มเปรม ติณสูลานนท์ นั้นก็คงจะเปลี่ยนมือจากกิจสังคมเป็นประชาธิปัตย์ และเปรม ติณสูลานนท์ เองก็คงจะถูกเสนอชื่อขึ้นมาให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป เช่นเดียวกับอุกฤษ มงคลนาวิน ที่ก็คงถูกเสนอชื่อเช่นกัน และก็คงจะมีอีกสักคนสองคน
ตรงนี้แหละที่จำลอง ศรีเมือง ก็จะถูกสอดไส้ใส่ชื่อเข้าไปเล่นกับเขาด้วย
และเมื่อถึงเวลานั้นแล้ว น้ำหนักของจำลอง ศรีเมือง ก็คงจะหนักแน่นพอดูทีเดียวล่ะ และถึงเขาจะไม่ได้เป็นผู้ว่า กทม. ก็ตาม แต่เสียงที่เคยเลือกเขาเข้าไปก็เป็นเสียงที่แม้แต่สวรรค์ก็ไม่อาจจะปฏิเสธหรือมองข้ามคนนี้ได้
จำลอง ศรีเมือง...นักการเมือง ในนักการเมือง
ใครก็ตามที่คิดว่า จำลอง ศรีเมือง เป็นคนครึ่งพระครึ่งคนนั้น คนที่คิดเช่นนั้นไม่ได้รู้จัก จำลอง ศรีเมือง เลยแม้แต่ขุมขนเดียว
จำลอง ศรีเมือง เป็นนักการเมืองในนักการเมือง
อย่าลืมว่าคนที่สอบได้ที่ 1 มาตลอดชีวิตและคนที่เป็นถึงเลขาธิการนายกรัฐมนตรีมาแล้ว ลาออกมาเพื่อสู้เรื่องกฎหมายทำแท้งนั้น ไม่ใช่คนบ้าหรือคนครึ่งคนครึ่งพระ
แต่เป็นคนที่มองอะไรมองไกล และเป็นคนที่ถ้าไม่มีความมั่นใจแล้วจะไม่ทำเป็นอันขาด
และจำลอง ศรีเมือง ก็เป็นคนแบบนั้นจริง ๆ !!
ถ้าเราดูการก้าวของจำลองแต่ละก้าว ตั้งแต่เป็นคณะยังเติร์กสมัยที่หนุนเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ โค่นธานินทร์ กรัยวิเชียร แล้วเราจะเห็นได้ชัดว่า มนูญ รูปขจร เป็นหัวหน้าคณะ แต่ถ้าเราดูกันให้ลึก ๆ และรู้กันถึงข้างในแล้ว คนที่วางแผนจริง ๆ ก็คือคนที่ถูกว่า ว่าเป็นครึ่งคนครึ่งพระนี่เองแหละ !
“พี่จำลองเป็นถึงคนตั้งรัฐบาลให้พลเอกเปรมเสียด้วยซ้ำ ในการเจรจาดึงคนโน้นเข้ามาร่วม คนนี้เข้ามาสนับสนุนเป็นพี่จำลองทั้งสิ้น” คนสนิทคนหนึ่งของจำลอง ศรีเมือง พูดกับ “ผู้จัดการ”
แล้วอย่างนี้จะว่า จำลอง ศรีเมือง ไม่รู้จักการเมืองได้อย่างไร?!!!
การปฏิวัติยุคเมษาฮาวายนั้น จำลอง ศรีเมือง ไม่ได้ร่วมด้วย เพราะ “ผมไม่เข้าไปด้วย เพราะมีอยู่ 2 คนในนั้นที่ประวัติไม่ดีในเรื่องเงินทอง คนคนหนึ่งอยู่ภาคเอกชน ผมบอกให้เอา 2 คนนั้นออกไป ผมถึงจะเล่นด้วย แต่เขาไม่เชื่อ ผมก็ไม่เอา ถ้าผมร่วมหรือไม่มีทางที่จะไม่สำเร็จหรอก เพราะถ้าผมร่วมก็คงจะไม่ปฏิวัติ เพราะเวลานั้นเงื่อนไขมันยังไม่ได้” จำลอง ศรีเมือง พูดให้ “ผู้จัดการ” ฟัง
บทบาทของจำลอง ศรีเมือง ในฐานะเลขาธิการนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นบทบาทที่ต่างกว่าเลขาธิการนายกฯ ที่ผ่านมาโดยตลอด
อาจจะเป็นเพราะ เปรม ติณสูลานนท์ เกิดเป็นนายกฯ ที่ไม่กล้าตัดสินใจ ก็เลยกลายเป็น จำลอง ศรีเมือง ต้องเป็นคนชงเรื่องให้ใส่พานถวาย แล้วบางครั้งต้องกำกับนายกรัฐมนตรีเสียเอง!
บทบาทที่ว่านี้เป็นบทบาทที่จำลองเล่นมาตลอดเมื่อนั่งอยู่ในตำแหน่งเลขาธิการนายกฯ
“คุณจำลองแกเป็นคนทำงานให้พลเอกเปรมมาตลอด ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม และแกเป็นคนที่เล่นกับมวลชนเป็น ในขณะที่พลเอกเปรมฯ จะไม่เข้าใจถึงจิตวิทยาของมวลชนก็ตามแต่ คุณจำลองก็จะผลักดันให้พลเอกเปรมปฏิบัติตามเสมอ แม้ว่าอาจจะต้องถึงกับโต้เถียงกันจนหน้าดำหน้าแดง” คนที่สนิทกับพลตรีจำลอง ศรีเมือง พูดให้ “ผู้จัดการ” ฟัง
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่น้ำท่วมกรุงเทพฯ อย่างมาก ๆ และแถว ๆ สะพานลอยลาดพร้าวกลายเป็นคลองไปโดยปริยาย ประชาชนเดือดร้อนกันอย่างแสนสาหัส จำลอง ศรีเมือง รายงานให้นายกฯ เปรมฯ ทราบ และขอให้นายกฯ แวะไปดูเพื่อเป็นจิตวิทยาของมวลชน
“แต่นายกฯ เปรมฯ เขาปฏิเสธที่จะไป เพราะท่านบอกว่าไม่ใช่หน้าที่ของท่าน คุณจำลองก็ไม่ยอมบอกว่าท่านต้องไป นายกฯ ก็ไม่ยอมไป” แหล่งข่าวคนเก่าพูดต่อ
พลตรีจำลองไม่ยอมแพ้ เข้างัดกับพลเอกเปรมฯ จนในที่สุดด้วยอารมณ์ที่บูดอย่างมาก ๆ นายกฯ เปรมก็ต้องตัดสินใจไปตามคำแนะนำ “ท่านไปด้วยใบหน้าที่ยับยู่ยี่ไปยืนดูน้ำท่วม สื่อมวลชนก็ไปทำข่าวกันอย่างเต็มที่คืนนั้น กทม. ก็เร่งสูบน้ำเป็นการใหญ่ พอวันรุ่งขึ้นน้ำแห้ง หนังสือพิมพ์พาดหัวว่า พลเอกเปรมฯ เหยียบน้ำแห้ง ทุกคนชื่นชมกับบทบาทของพลเอกเปรมฯ ที่แสดงความห่วงใยปัญหาของกรุงเทพฯ แต่ไม่มีใครรู้ว่าบทบาทที่แท้จริงนั้นถูกกำกับโดยคุณจำลอง” แหล่งข่าวคนเดิมที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยเล่าให้ฟัง
แล้วเมื่อมันเป็นอย่างนี้จะมาบอกกันว่าพลตรีจำลอง ศรีเมือง นั้นเล่นการเมืองไม่เป็น ก็เห็นจะผิดไปแล้ว เพราะพลตรีจำลอง ศรีเมือง นอกจากเล่นการเมืองเป็นแล้วยังเล่นเก่งอีกด้วย!!!
จำลอง ศรีเมือง มีบทบาทอีกบทบาทหนึ่งที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม นั่นคือ การติดตามและต่อสู้ปัญหาอย่างชนิดที่นักเลงเขาว่า “กัดไม่ปล่อย”
“ผมเป็นคนวิ่งเข้าหาปัญหา ผมไม่เคยคิดหนีมันเลยไม่ว่าจะหนักหนาแค่ไหนก็ตาม” พลตรีจำลองฯ พูดกับผู้จัดการ
การลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการนายกฯ ของจำลองครั้งนั้น “ไม่ใช่เพราะรุ่น 7 เขาทำการปฏิวัติแล้วแพ้ ผมถึงต้องลาออก จริง ๆ แล้วผมไม่มีความจำเป็นต้องออก เพราะผมไม่ได้ร่วมทำกับเขา ผมลาออกเพราะผมต้องการออกไปต่อสู้คัดค้านกฎหมายทำแท้งเสรีที่กำลังสู้กันในสภา ผมต้องออกไปสู้ เพื่อสปิริตก็ต้องลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการ และผมก็สู้จนได้รับชัยชนะในเรื่องนี้อย่างขาวสะอาด” จำลองอธิบายเหตุการณ์ครั้งนั้นกับผู้จัดการ
การต่อสู้เรื่องกฎหมายทำแท้ง เป็นการแสดงออกของจำลอง ศรีเมือง อย่างเห็นได้เด่นชัดว่า เขาไม่รีรอที่จะเดินชนกับสิ่งที่เขาคิดว่าไม่ถูกต้อง และก็พร้อมที่จะสู้อย่างสุดฤทธิ์ และเขาก็สามารถดึงเอามวลชนเข้ามาร่วมสู้ด้วยอย่างเต็มที่ ซึ่งก็ได้เห็นกันมาแล้วในครั้งนั้น
ก็คงจะพอสรุปได้ว่า ถ้าจำลอง ศรีเมือง เป็นครึ่งพระครึ่งคนก็คงจะผิดไปมาก แต่ถ้าบอกว่า จำลองเป็นคนมีเป้าหมาย หรือที่ฝรั่งว่าเป็นคนมี MISSION ก็คงจะถูกต้อง
จำลอง ศรีเมือง...ศีลแปดกับการบริหาร
ชีวิตของพลตรีจำลอง ศรีเมือง เป็นชีวิตที่ผกผวนและต้องต่อสู้พอสมควร
“ผมเป็นเด็กวัดมาตลอด แล้วก็มาเรียน จปร. จบจาก จปร. ก็รับราชการมาตลอด ออกไปรบบ้าง ทำงานทางเสธ. บ้าง แล้วก็ได้มีโอกาสไปเรียนปริญญาโทด้านการบริหารที่มอนเตอเรย์ ซึ่งเป็นโรงเรียนด้านการบริหารของกองทัพเรือสหรัฐฯ แล้วก็กลับมารับราชการต่อ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น” จำลองเล่าถึงชีวิตของตนเองให้ฟังอย่างเรียบดูเหมือนกับว่าชีวิตเขาเป็นชีวิตที่ธรรมดาสามัญเหลือเกิน
แต่คนเรากว่าจะกลับมาเป็นคนสามัญได้ ก็คงจะต้องมีช่วงชีวิตที่โลดโผนโจนทะยานอย่างมาก
จำลอง ศรีเมือง ก็เช่นกัน ในชีวิตจำลองแล้วไม่เคยสอบได้ต่ำกว่าที่ 1 !
“เมื่อตอนไอ้ลองอยู่ จปร. ก็เป็นหัวหน้ามาตลอด จนปีสุดท้ายก็เป็นหัวหน้านักเรียน มันเป็นนักเรียนตัวอย่างของโรงเรียน พอถึงตอนจบปีสุดท้าย ไอ้ลองก็มีเรื่อง แต่เรื่องที่มีก็เป็นเครื่องชี้ให้เห็นอุปนิสัยของมันว่า ถ้ามันตัดสินใจอะไรไปแล้วมันจะไม่กลัวเลย และมันพร้อมที่จะเป็นคนรับผิดชอบได้อย่างเต็มที่” เพื่อนรุ่น 7 ของจำลอง ศรีเมือง พูดให้ฟัง
และวันที่จำลอง ศรีเมือง ได้มีโอกาสแสดงคุณสมบัติของผู้นำตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนนายร้อย จปร. ก็มาถึง วันหนึ่งเมื่อมีการจัดภาพยนตร์ฉายรอบพิเศษ เพื่อหาเงินเข้าโรงเรียนนายร้อย จปร. ซึ่งการกระทำครั้งนี้ผิดกฎระเบียบคำสั่งของผู้บัญชาการทหารสูงสุด แต่มันก็เป็นประเพณีที่นักเรียนปีสุดท้ายต้องทำกัน
จะเป็นเพราะเคราะห์หรืออะไรก็ไม่ทราบ ปีที่จำลอง ศรีเมือง เป็นหัวหน้านักเรียนนั้น ก็ถูกผู้ใหญ่เอาเรื่อง
และเมื่อจะต้องมีผู้หนึ่งที่ต้องก้าวออกมารับโทษ ซึ่งโทษการขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชานั้น มีถึงโทษจำ 20 ปี
ก็มีคนชื่อ จำลอง ศรีเมือง คนนี้เดินออกมารับผิดชอบทั้งหมด ผลคือถูกถอดยศ ให้ปลดออกจากเป็นหัวหน้านักเรียนและต้องรับกระบี่ช้ากว่าเพื่อนร่วมรุ่นถึง 3 เดือน
ความรับผิดชอบของจำลองนั้นมีมาตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเรียนอยู่แล้ว
จำลอง ศรีเมือง- a man with mission หรือโคไมนี่เมืองไทย!
ถ้าถามจำลอง ศรีเมือง ว่าทำไมเขาถึงต้องกระโดดลงมาเล่นการเมือง ทั้ง ๆ ที่อายุราชการยังเหลืออีกตั้ง 10 ปี จำลองก็จะตอบว่า “เพราะผมได้กินเงินเดือนซึ่งมาจากภาษีอากรราษฎรมาตลอดชีวิตแล้ว ผมก็คิดว่าผมเป็นหนี้บุญคุณประชาชนและนี่คือวิธีหนึ่งที่ผมจะใช้หนี้คืนให้ได้”
แต่ถ้าถามคนบางคนเขาก็จะบอกว่า “จำลองเหมือนโคไมนี่ที่มีศีล 8 เป็นสิทธิของตัวเอง และเมื่อจำลองมีอำนาจแล้วจำลองจะทำให้สังคมต้องหันเหไปในทิศทางที่เขาวางเอาไว้”
สำหรับคนทั่ว ๆ ไป ที่กำลังเซ็งกับสภาพสังคมที่ฟอนเฟะอย่างมาก ๆ นั้น ก็คงจะไม่รังเกียจเดียดฉันท์ที่จะมีคนรักษาศีล 8 ขึ้นมาบริหารงานบ้านงานเมือง
จำลอง ศรีเมือง เป็นคนที่สำนึกในหน้าที่และมีสติ
เหมือนอย่างที่หลักธรรมได้ว่าเอาไว้ว่า “คนที่จะมีสติเท่านั้นถึงจะมีปัญญา”
หนังสือพิมพ์เรียกจำลอง ศรีเมืองว่า กระบี่มื้อเดียว จากการที่เป็นคนทานอาหารเช้าเพียงมื้อเดียว และก็เป็นอาหารมังสวิรัติด้วย
“ผมเริ่มกินอาหารมังสวิรัติ โดยเริ่มแบบที่เขาเรียกว่า เจเขี่ย” จำลอง ศรีเมืองบอกกับเรา
เจเขี่ยคือ การกินอาหารทั่วไปเพียงแต่จะเลือกกินเฉพาะผักและเขี่ยพวกเนื้อสัตว์ไว้ข้าง ๆ จนกว่าจะพร้อมจึงกินแต่ผัก และอาหารเจที่ไม่ได้ปรุงด้วยไขมันสัตว์
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า จำลองจะเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานกับผู้อื่น “ผมมีความสุขกับการที่ผมได้บำเพ็ญตนเช่นนี้ เพราะผมเองก็ผ่านมาหมดแล้ว แม้แต่การจับจ่ายใช้สอยกับตัวเอง ผมก็รู้สึกว่าชีวิตคนเรา ถ้าจะใช้จ่ายกันเพื่อความจำเป็นแล้วมันก็ไม่เท่าไหร่เอง” จำลอง ศรีเมือง พูดต่อ
และเมื่อพูดถึงการใช้จ่ายของ จำลอง ศรีเมือง แล้วมันแทบจะเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อในภาวการณ์ทุกวันนี้ “ผมได้เงินเดือน 15,000บาท ภรรยาผมได้ 7,000บาท แต่ทุก ๆ เดือนเรามีเงินเหลือเป็นฟ่อนเลย" จำลองสาธยายถึงรายได้ให้เราฟัง
คำว่าเป็น “ฟ่อน” ของจำลองนั้นก็อยู่ในราว 17,000 บาท ที่เหลือทุก ๆ เดือน !
หรือใช้กันเพียง 5,000 บาท ทั้งสองคนผัวเมีย!!
และเชื่อหรือไม่ว่า ใน 5,000 บาท ที่ใช้นั้นเป็นค่าน้ำมันรถเสีย 3,000 บาท เข้าไปแล้ว!!!
ตกลงทั้งจำลองและภรรยาใช้เงินจริง ๆ เดือนละ 2,000 บาทเท่านั้น !!!
นี่ถ้าคนในกรุงเทพฯ ใช้เงินกันแบบนี้ โฉมหน้าของเศรษฐกิจคงจะต้องเปลี่ยนไปอีกรูปแบบหนึ่งอย่างแน่นอน หลายคนก็อาจจะสงสัยว่า จำลอง ศรีเมือง คือทางออกของคนไทยที่กำลังจะสิ้นหวังหรือเปล่า?
“มันค่อนข้างจะสับสนอยู่บ้าง แต่มันเป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่พอจะใช้เปรียบเทียบได้ ถ้าคุณจำสมัยที่ประชากรไทยถล่มประชาธิปัตย์เสียยับเยินในปีหนึ่งได้นั้น เป็นเพราะคนเบื่อ เอือมระอากับพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคการเมืองอื่น ๆ สมัคร สุนทรเวชก็เลยเป็นทางออก มาครั้งนี้เหตุการณ์มันดูใกล้เคียงกัน แต่มันก็ไม่ใกล้เคียงกันมากนัก ที่แน่ ๆ และเห็นได้ชัดคือ การที่พรรคร่วมรัฐบาลมาแข่งขันกันเองแล้วมาด่าทอสาดโคลนใส่กันอย่างเมามันในการเลือกตั้งซ่อม 2 ครั้งที่ผ่านมานี้ ทำให้ประชาชนเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า พรรคการเมืองของไทยนั้นหาได้วิวัฒนาการไปในทางที่ดีไม่ ทั้ง ๆ ที่ก็ได้พยายามส่งเสริมระบบพรรคการเมือง ฉะนั้นพอคนอิสระอย่าง จำลอง ศรีเมือง กระโดดเข้ามา ก็กลายเป็นทางออกที่ดีที่สุด” อาจารย์รัฐศาสตร์รามคำแหงท่านหนึ่งวิสัชนาให้ฟัง
“แต่ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นการที่ประชาชนหนุนจำลองให้ประท้วงรัฐบาลชุดนี้ ที่ทำความเดือดร้อนให้กับประชาชนมากกว่า” นักการเมืองของพรรคชาติไทยให้ความเห็น
“ในความเห็นของผมแล้ว สังคมไทยในเวลานี้เป็นสังคมตัวใครตัวมันที่เข้าสู่ยุคของความฟอนเฟะ ศีลธรรมเสื่อม ข้าราชการฉ้อฉลทุจริต รัฐบาลที่ไม่เอาไหน มีแต่ความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ประชาชนไม่รู้จะไปพึ่งใคร มีแต่ความว้าเหว่ มองไปข้างหน้าเศรษฐกิจก็มืดมน มองดูรอบ ๆ ตัวก็มีแต่สังคมที่เน่า ๆ เด็กนักเรียนอายุสิบกว่าขวบขายตัวแถว ๆ ดิสโก้เธค เพื่อเอาเงินไปเที่ยว ข่าวผิดศีลผิดธรรมขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ตลอดเวลา รถก็ติด มีแต่วัตถุที่เจริญ พอกลับไปถึงบ้านก็เหน็ดเหนื่อยนั่งนอนก่ายหน้าผากคิดถึงปัญหาที่ต้องไปเผชิญวันรุ่งขึ้น ทั้งหมดนี้ก็เลยทำให้คนชนชั้นกลาง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวกกลุ่มเงียบ และไม่สนใจในเรื่องการบ้านการเมืองอยู่แล้ว ต้องการจะแสดงออกกับตัวแทนความคิดของเขา ก็พอดีที่คุณจำลอง ศรีเมือง เป็นคำตอบกับปัญหาของเขา มันเลยกลายเป็นปรากฏการณ์ขึ้นมาทันที แต่ผมก็เชื่อว่ามันเป็นเพียงแฟชั่นที่จะอุปมาอุปไมยก็เหมือนลูกโป่งที่มีแก๊สอยู่เต็ม แต่ในที่สุดมันก็จะแฟบอย่างเร็วเมื่อถึงเวลานั้น” อาจารย์ด้านสังคมวิทยาพูดอีกแง่มุมหนึ่งให้ “ผู้จัดการ” ฟัง
สำหรับจำลอง ศรีเมือง แล้ว เขาคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องออกมาสู้รบกับปัญหาเหล่านี้
การที่ได้บำเพ็ญธรรมสำหรับมหาจำลองนั้นเป็นการหาความสงบให้กับจิต หาสติให้กับใจ แต่การที่ได้บำเพ็ญธรรมแล้วจะทำให้ตัวเองนั้นจะต้องสละทางโลกทิ้งไปเลย ก็ไม่ใช่สิ่งที่จำลอง ศรีเมือง คิด เพราะ “เปรียบตัวเราเองเสมือนผ้าขาว ถ้าเก็บไว้กับบ้านก็จะไม่มีประโยชน์ จะให้มีประโยชน์ก็ต้องนำเอาออกมาใช้ ถึงจะต้องเปื้อนบ้างแต่ก็ได้เกิดประโยชน์” จำลอง ศรีเมือง อุปมาอุปไมยให้ฟัง
“ผมไม่เชื่อว่าจำลองจะเป็นคนเช่นนั้นจริง ๆ เพราะผมรู้จักจำลอง ศรีเมือง ดีตั้งแต่สมัยยังร่วมกันเป็นยังเตอร์ก เขาเป็นนักฉวยโอกาสที่ฉลาดในการหาจังหวะกระโดดเข้ามา เมื่อเขาเห็นว่าสถานการณ์นั้นจะทำให้เขาได้เปรียบ การเข้ามาเล่นการเมืองในลักษณะผู้ทรงศีลนั้นมันไม่ใช่อุบัติเหตุหรอก แต่มันเป็นการวางแผนเอาไว้แล้วในจังหวะที่เหมาะสมเช่นนี้” ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ให้ความเห็น
จะอย่างไรก็ตาม หมากตานี้ที่จำลอง ศรีเมือง เดินหรือมีคนให้เดินนั้น เป็นหมากที่ลึกซึ้งมากหมากหนึ่ง
เพราะ จำลอง ศรีเมืองได้คะแนนเสียงอย่างท่วมท้นจากประชาชน และทิ้งชนะ รุ่งแสง และผู้สมัครพรรคอื่นอย่างขาดลอยแล้ว มันเท่ากับเป็นการชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยนี้แท้ที่จริงอาจจะไม่ต้องการประชาธิปไตยที่ต้องมาในรูปพรรคการเมืองก็ย่อมได้ และย่อมเป็นการแสดงให้เห็นว่า “นี่คือประชามติของประชาชนที่จะให้คนที่ไม่สังกัดพรรคการเมืองชนะ เพราะฉะนั้นแล้วประชาธิปไตยของไทยอาจจะต้องใช้วิธีการใหม่ เพื่อนำไปสู่จุดเป้าหมายโดยไม่ต้องมีพรรคการเมือง”!!!!!
ขบวนการ จำลอง ศรีเมือง กับความหมายทางธุรกิจการเมือง
จำลอง ศรีเมือง แท้ที่จริงแล้วคือความคิดที่ซ่อนเร้นอยู่ในขบวนการที่ดำเนินการอย่างเงียบ ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาของสังคมและประเทศชาติ
การเน้นความสมถะและการลดความฟุ่มเฟือย ตลอดจนการโจมตีสายสัมพันธ์ของนายทุนกับพรรคการเมืองของฝ่ายจำลอง ศรีเมือง เมื่อวิเคราะห์กันดูให้ดี ๆ แล้วมันน่าจะเป็นการต่อสู้ของสงครามตัวแทน มากกว่าที่จะเป็นการฟาดฟันกันระหว่าง จำลอง ศรีเมือง และชนะ รุ่งแสง
ถ้าจะพูดกันให้ตรงไปตรงมา จำลอง ศรีเมือง กำลังเป็นตัวแทนของสถาบันทหารที่จะต่อสู้กับกลุ่มธุรกิจในด้านการเมือง
หรือถ้าจะพูดกันอย่างภาษาฝ่ายซ้ายแล้วละก็ เวลานี้นาทีนี้ นายทุนกับขุนศึกกำลังรบกันอยู่ โดยมีศักดินาหนุนหลังขุนศึกอยู่อย่างเงียบ ๆ เพราะศักดินารู้ดีว่า จะอย่างไรก็ตามขุนศึกก็ต้องพึ่งกลุ่มของตนในการสร้างบุญบารมี
สงครามตัวแทนนี้ได้มีมานานพอสมควร แต่ยกนี้เป็นยกที่สำคัญ เพราะถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพลี่ยงพล้ำก็จะต้องถอยหลังไปตั้งตัวหลายก้าวทีเดียว
เวลานี้สังคมไทยมันใกล้เคียงกับยุคสุดท้ายของโชกุนโตกุกาวาของญี่ปุ่น ที่ชนชั้นนายทุนได้ล้มล้างขุนศึกซามูไรได้สำเร็จด้วยอิทธิพลทางการเงินและการค้า และนับจากวันนั้นมาของญี่ปุ่นเมื่อพูดถึงชนชั้นปกครองประเทศแล้ว เขาจะพูดถึง พรรคลิเบอรัลเดโมแครต
ที่ปกครองญี่ปุ่นมาตลอด และพรรคลิเบอรัลเดโมแครตก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ถ้าไม่ใช่กลุ่มการเมืองที่ประกอบด้วยอิทธิพลของกลุ่มการค้าใหญ่ ๆ ของญี่ปุ่น
สรุปแล้ว จำลอง ศรีเมือง จะเป็นผู้ว่า ฯ หรือไม่นั้น ไม่สำคัญเสียแล้ว เพราะจำลอง ศรีเมือง กำลังเป็นตัวการสำคัญที่จะเป็นเงื่อนไขในการเปลี่ยนแปลงสถานภาพทางเศรษฐกิจการเมืองของบ้านเราในเวลาไม่เกินปี 2529 นี้ด้วย
ไม่เชื่อก็ลองจับตาดูต่อไปซิ!
|
|
|
|
|