Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน23 มีนาคม 2548
"AP" ผุด10โครงการชูคอนเซปต์Big City             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด

   
search resources

เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์, บมจ.
Real Estate




นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีที่ผ่านมา นับว่ามีสินค้าเข้าสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก จนทำให้เกรงว่าจะเกิดภาวะโอเวอร์ ซัปพลาย โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยวราคาแพงในเมืองผู้ประกอบการต่างผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมาก จนในไตรมาสที่ 3 ภาวะการขายชะลออย่างเห็นได้ชัด ทำให้ผู้ประกอบการต่างจัดเคมเปญต่างๆ พร้อมลดราคาสินค้าลงเพื่อสร้างยอดขาย แต่กำลังซื้อไม่มากพอที่จะดูดสินค้าออกไปได้หมด

ปัจจุบันคาดว่า คอนโดมิเนียมและบ้านราคาแพงในเมืองยังคงมีสต๊อกอยู่ในตลาดกว่า 1,000 ยูนิต ประกอบการปรับขึ้นของราคาน้ำมัน ส่งผลให้ราคาสินค้า ราคาวัสดุก่อสร้างปรับขึ้นตาม รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่ทยอยปรับขึ้นอีกด้วย ทำให้เชื่อว่าในปีนี้การทำการตลาดจะยากกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากการแข่งขันสูง ผู้ประกอบการจะต้องสร้างแบรนด์ให้เป็นที่ยอมรับ การทำการศึกษาข้อมูลการตลาด สินค้า กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ก่อนที่จะลงมือพัฒนาสินค้า นอกจากนี้การพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการก็จะช่วยสร้างยอดขายให้กับโครงการได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามเชื่อว่าในปีนี้ผู้ประกอบการจะมีกำไรขั้นต้น (มาร์จิน) ไม่มากเหมือนช่วงก่อนหน้านี้ เพราะจากปัจจัยลบต่างๆขั้นต้น

ทั้งนี้จากการเก็บรวบรวมข้อมูลแผนการดำเนินงานของบริษัทต่างในตลาดที่เตรียมเปิดโครงการใหม่พบว่า เป็นโครงการบ้านเดี่ยวมีส่วนแบ่งตลาด 73% คอนโดมิเนียม 17% และทาวน์เฮาส์ 10% ซึ่งเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาบ้านเดี่ยวถือว่าคงที่ โดยมีส่วนแบ่งตลาด 73% คอนโดมิเนียม 23% และโครงการทาวน์เฮาส์ 4% และเมื่อเปรียบเทียบจากระดับราคาแล้วพบว่า ในปี 2547 บ้านระดับราคา 3-6 ล้านบาท มีสัดส่วน 32%, บ้านระดับราคา 6-10 ล้านบาทมีสัดส่วน 31%, ระดับราคา 10 ล้านบาท มีสัดส่วน 24% และบ้านต่ำกว่า 3 ล้านบาทมีสัดส่วน 13% ส่วนในปีนี้คาดว่าจะมีบ้านระดับราคา 6-10 ล้านบาท สัดส่วน 33%, ราคา 3-6 ล้านบาท 27%, ราคา 10 ล้านบาท 27% และบ้านต่ำกว่า 3 ล้านบาท 13%

สำหรับแผนการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ 10 โครงการ จำนวน 2,369 ยูนิต มูลค่า 11,367 ล้านบาท ใน 3 แบรนด์หลังคือ บ้านกลางเมือง, บ้านกลางกรุง และ The city ภายใต้แนวความคิด "Big City" ซึ่งในแต่ละโครงการจะมีรูปแบบโดดเด่นแตกต่างกัน โดยจะนำไปเชื่อมโยงกับลักษณะเด่นของเมืองใหญ่ที่มีชื่อเสียงระดับโลก เพื่อสะท้อนเอกลักษณ์ของแต่ละโครงการที่ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่จะปรับรูปแบบให้สามารถเข้ากับสภาพภูมิอากาศของเมืองไทย ทั้งนี้สินค้าที่บริษัทจะพัฒนาออกสู่ตลาดในปีนี้ ส่วนใหญ่ 74% เป็นบ้านระดับราคา 3-6 ล้านบาท

โดยที่ผ่านมาได้เริ่มทยอยเปิดโครงการบ้านกลางเมือง ศรีนครินทร์ ไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นโครงการทาวน์เฮาส์ ออกแบบในลักษณะของ "บริตริช ซิตี้" ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 120 ยูนิต จากทั้งหมด 413 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,630 ล้านบาท

ล่าสุดเตรียมเปิดโครงการบ้านกลางกรุง สยาม-ปทุมวัน ตั้งอยู่ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีราชเทวี เป็นคอนโดมิเนียม จำนวน 580 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,460 ยูนิต ซึ่งได้เปิดขายอย่างไม่เป็นทางการไปก่อนหน้านี้ ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 250 ยูนิต และจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปลายเดือนเมษายนนี้ โดยบริษัทได้ลงทุนทำภาพยนตร์โฆษณาโครงการดังกล่าวประมาณ 4 ล้านบาท (ไม่รวมค่าออกอากาศ) โดยจะเริ่มออกอากาศได้หลังสงกรานต์นี้ ส่วนงบการตลาดทั้งปีตั้งไว้ 3% ของยอดขาย

ส่วนอีก 8 โครงการที่เหลือจะเริ่มทยอยเปิดได้ประมาณไตรมาส 3 ของปีนี้เป็นต้นไป ได้แก่ 1.โครงการบ้านกลางเมือง รัชวิภา โซน A ทาวน์เฮาส์ จำนวน 137 ยูนิต มูลค่าโครงการ 684 ล้านบาท 2.โครงการบ้านกลางกรุง รัชวิภา โซน B เป็นบ้านเดี่ยวจำนวน 50 ยูนิต ราคาประมาณ 10-15 ล้านบาท มูลค่า 670 ล้านบาท 3.โครงการบ้านกลางกรุง บางนา โฮมออฟฟิต จำนวน 179 ยูนิต มูลค่า 1,040 ล้านบาท 4.โครงการบ้านกลางกรุง ลาดพร้าว 71 ทาวน์เฮาส์ จำนวน 76 ยูนิต มูลค่า 420 ล้านบาท

5.โครงการบ้านกลางกรุง พระราม 3 ทาวน์เฮาส์ จำนวน 169 ยูนิต มูลค่า 1,000 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวอีกจำนวน 24 ยูนิต มูลค่า 500 ล้านบาท 6.โครงการบ้านกลางเมือง พระราม 9-รัชดา ทาวนเฮาส์ จำนวน 186 ยูนิต มูลค่า 750 ล้านบาท 7.โครงการบ้านกลางเมือง เสมียนนารี โซน C ทาวน์เฮาส์ 261 ยูนิต มูลค่า 1,273 ยูนิต และ 8 โครงการบ้านกลางเมือง สุขุมวิท (อ่อนนุช) ทาวน์เฮาส์ จำนวน 294 ยูนิต มูลค่า 940 ล้านบาท

สำหรับงบในการลงทุนซื้อที่ดินปีนี้ ตั้งเป้าไว้ที่ 2,000 ล้านบาท โดยที่ผ่านมาใช้ไปแล้ว 1,000 ล้านบาท โดยที่ดินที่ซื้อในปีนี้จะนำไปพัฒนาได้ประมาณปี 2548 อย่างไรก็ดีแม้ว่าปัจจัยลบจะมีมาก แต่บริษัทได้ตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 20% หรือมีรายได้ประมาณ 6,000 ล้านบาท ส่วนมาร์จินจะยังคงรักษาไว้ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 35% สำหรับยอดขายนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันมีจำนวนกว่า 2,000 ล้านบาท   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us