นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีที่ผ่านมา นับว่ามีสินค้าเข้าสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก จนทำให้เกรงว่าจะเกิดภาวะโอเวอร์ ซัปพลาย โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยวราคาแพงในเมืองผู้ประกอบการต่างผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมาก จนในไตรมาสที่ 3 ภาวะการขายชะลออย่างเห็นได้ชัด ทำให้ผู้ประกอบการต่างจัดเคมเปญต่างๆ พร้อมลดราคาสินค้าลงเพื่อสร้างยอดขาย แต่กำลังซื้อไม่มากพอที่จะดูดสินค้าออกไปได้หมด
ปัจจุบันคาดว่า คอนโดมิเนียมและบ้านราคาแพงในเมืองยังคงมีสต๊อกอยู่ในตลาดกว่า 1,000 ยูนิต ประกอบการปรับขึ้นของราคาน้ำมัน ส่งผลให้ราคาสินค้า ราคาวัสดุก่อสร้างปรับขึ้นตาม รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่ทยอยปรับขึ้นอีกด้วย ทำให้เชื่อว่าในปีนี้การทำการตลาดจะยากกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากการแข่งขันสูง ผู้ประกอบการจะต้องสร้างแบรนด์ให้เป็นที่ยอมรับ การทำการศึกษาข้อมูลการตลาด สินค้า กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ก่อนที่จะลงมือพัฒนาสินค้า นอกจากนี้การพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการก็จะช่วยสร้างยอดขายให้กับโครงการได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามเชื่อว่าในปีนี้ผู้ประกอบการจะมีกำไรขั้นต้น (มาร์จิน) ไม่มากเหมือนช่วงก่อนหน้านี้ เพราะจากปัจจัยลบต่างๆขั้นต้น
ทั้งนี้จากการเก็บรวบรวมข้อมูลแผนการดำเนินงานของบริษัทต่างในตลาดที่เตรียมเปิดโครงการใหม่พบว่า เป็นโครงการบ้านเดี่ยวมีส่วนแบ่งตลาด 73% คอนโดมิเนียม 17% และทาวน์เฮาส์ 10% ซึ่งเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาบ้านเดี่ยวถือว่าคงที่ โดยมีส่วนแบ่งตลาด 73% คอนโดมิเนียม 23% และโครงการทาวน์เฮาส์ 4% และเมื่อเปรียบเทียบจากระดับราคาแล้วพบว่า ในปี 2547 บ้านระดับราคา 3-6 ล้านบาท มีสัดส่วน 32%, บ้านระดับราคา 6-10 ล้านบาทมีสัดส่วน 31%, ระดับราคา 10 ล้านบาท มีสัดส่วน 24% และบ้านต่ำกว่า 3 ล้านบาทมีสัดส่วน 13% ส่วนในปีนี้คาดว่าจะมีบ้านระดับราคา 6-10 ล้านบาท สัดส่วน 33%, ราคา 3-6 ล้านบาท 27%, ราคา 10 ล้านบาท 27% และบ้านต่ำกว่า 3 ล้านบาท 13%
สำหรับแผนการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ 10 โครงการ จำนวน 2,369 ยูนิต มูลค่า 11,367 ล้านบาท ใน 3 แบรนด์หลังคือ บ้านกลางเมือง, บ้านกลางกรุง และ The city ภายใต้แนวความคิด "Big City" ซึ่งในแต่ละโครงการจะมีรูปแบบโดดเด่นแตกต่างกัน โดยจะนำไปเชื่อมโยงกับลักษณะเด่นของเมืองใหญ่ที่มีชื่อเสียงระดับโลก เพื่อสะท้อนเอกลักษณ์ของแต่ละโครงการที่ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่จะปรับรูปแบบให้สามารถเข้ากับสภาพภูมิอากาศของเมืองไทย ทั้งนี้สินค้าที่บริษัทจะพัฒนาออกสู่ตลาดในปีนี้ ส่วนใหญ่ 74% เป็นบ้านระดับราคา 3-6 ล้านบาท
โดยที่ผ่านมาได้เริ่มทยอยเปิดโครงการบ้านกลางเมือง ศรีนครินทร์ ไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นโครงการทาวน์เฮาส์ ออกแบบในลักษณะของ "บริตริช ซิตี้" ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 120 ยูนิต จากทั้งหมด 413 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,630 ล้านบาท
ล่าสุดเตรียมเปิดโครงการบ้านกลางกรุง สยาม-ปทุมวัน ตั้งอยู่ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีราชเทวี เป็นคอนโดมิเนียม จำนวน 580 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,460 ยูนิต ซึ่งได้เปิดขายอย่างไม่เป็นทางการไปก่อนหน้านี้ ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 250 ยูนิต และจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปลายเดือนเมษายนนี้ โดยบริษัทได้ลงทุนทำภาพยนตร์โฆษณาโครงการดังกล่าวประมาณ 4 ล้านบาท (ไม่รวมค่าออกอากาศ) โดยจะเริ่มออกอากาศได้หลังสงกรานต์นี้ ส่วนงบการตลาดทั้งปีตั้งไว้ 3% ของยอดขาย
ส่วนอีก 8 โครงการที่เหลือจะเริ่มทยอยเปิดได้ประมาณไตรมาส 3 ของปีนี้เป็นต้นไป ได้แก่ 1.โครงการบ้านกลางเมือง รัชวิภา โซน A ทาวน์เฮาส์ จำนวน 137 ยูนิต มูลค่าโครงการ 684 ล้านบาท 2.โครงการบ้านกลางกรุง รัชวิภา โซน B เป็นบ้านเดี่ยวจำนวน 50 ยูนิต ราคาประมาณ 10-15 ล้านบาท มูลค่า 670 ล้านบาท 3.โครงการบ้านกลางกรุง บางนา โฮมออฟฟิต จำนวน 179 ยูนิต มูลค่า 1,040 ล้านบาท 4.โครงการบ้านกลางกรุง ลาดพร้าว 71 ทาวน์เฮาส์ จำนวน 76 ยูนิต มูลค่า 420 ล้านบาท
5.โครงการบ้านกลางกรุง พระราม 3 ทาวน์เฮาส์ จำนวน 169 ยูนิต มูลค่า 1,000 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวอีกจำนวน 24 ยูนิต มูลค่า 500 ล้านบาท 6.โครงการบ้านกลางเมือง พระราม 9-รัชดา ทาวนเฮาส์ จำนวน 186 ยูนิต มูลค่า 750 ล้านบาท 7.โครงการบ้านกลางเมือง เสมียนนารี โซน C ทาวน์เฮาส์ 261 ยูนิต มูลค่า 1,273 ยูนิต และ 8 โครงการบ้านกลางเมือง สุขุมวิท (อ่อนนุช) ทาวน์เฮาส์ จำนวน 294 ยูนิต มูลค่า 940 ล้านบาท
สำหรับงบในการลงทุนซื้อที่ดินปีนี้ ตั้งเป้าไว้ที่ 2,000 ล้านบาท โดยที่ผ่านมาใช้ไปแล้ว 1,000 ล้านบาท โดยที่ดินที่ซื้อในปีนี้จะนำไปพัฒนาได้ประมาณปี 2548 อย่างไรก็ดีแม้ว่าปัจจัยลบจะมีมาก แต่บริษัทได้ตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 20% หรือมีรายได้ประมาณ 6,000 ล้านบาท ส่วนมาร์จินจะยังคงรักษาไว้ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 35% สำหรับยอดขายนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันมีจำนวนกว่า 2,000 ล้านบาท
|