ไทยธนาคารบริหารสภาพคล่องต้นทุนต่ำ ขอกู้เงินต่างประเทศ 300-400 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่จะเซ็นสัญญาปลายเดือนมีนาคมนี้ รอเงินชดเชยจากกองทุนฟื้นฟูในสิ้นปีนี้ประมาณ 6-7 หมื่นล้านบาท พร้อมประกาศเป็น Good Bank ทันที เพราะจะหมดสัญญาของการบริหาร CAP ภายในสิ้นปีนี้ เดินหน้าลุยธุรกิจตั้งปีนี้เป็น Year of E2 เพิ่มความแข็งแกร่งรองรับการแข่งขัน ยันไม่ควบรวมกิจการกับแบงก์อื่นแน่นอน
นายพีรศิลป์ ศุภผลศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในวันที่ 31 มีนาคม 2548 นี้ ธนาคารจะมีการลงนามในสัญญากู้เงินจากสถาบันการเงินต่างประเทศ จำนวน 300-400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม อายุการกู้ 1 ปี โดยวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินมาใช้บริหารสภาพคล่อง และรองรับการขยายสินเชื่อของธนาคาร
สำหรับสาเหตุที่ธนาคารตัดสินใจเลือกกู้เงินจากสถาบันการเงินต่างประเทศนั้น เนื่องจากมีต้นทุนต่ำกว่าการระดมเงินฝากในประเทศ และเป็นเงินกู้ระยะสั้นเพียง 1 ปี เพราะภายในสิ้นปีนี้ธนาคารจะได้รับเงินชดเชยจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินจำนวน 60,000-70,000 ล้านบาท ซึ่งธนาคารจะนำไปชำระคืนเงินกู้ทันที
"วิธีการดังกล่าวจะช่วยให้ธนาคารสามารถบริหารเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำและมีความเสี่ยงน้อยที่สุด"
นายพีรศิลป์กล่าวว่า ปลายปี 2548 นี้ ธนาคารจะสิ้นสุดสัญญาการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (CAP) ที่ทำไว้กับกองทุนฟื้นฟูฯ ที่มีอายุ 5 ปี หลังจากบริหารมาแล้วกว่า 4 ปี ยังคงเหลืออยู่เพียง 30,000 ล้านบาท ดังนั้นจะส่งผลให้ธนาคารเปลี่ยนสภาพเป็น Good Bank ได้อย่างสมบูรณ์ พร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการในเชิงรุกอย่างเต็มที่ จึงได้กำหนดให้ปีนี้เป็นปี Year E2 (Efficiency x Effectiveness) หรือปีแห่งการเสริมสร้างประสิทธิภาพและประสิทธิผลของธนาคารมุ่งสู่การเป็นธนาคารที่ครบวงจร
"หลังจาก CAP หมดอายุ ทำให้สิ้นปีนี้ธนาคารจะมีสินทรัพย์ประมาณ 200,000 ล้านบาท จากเดิม 230,000 ล้านบาท หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ประมาณ 4-5% ซึ่งถือว่าเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ ภายใต้สาขาที่มีอยู่ 99 สาขา พนักงานจำนวนกว่า 2,311 คน สามารถแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์อื่นๆ ได้ รวมทั้งธนาคารมีแผนที่จะเพิ่มขนาดของสินทรัพย์และธุรกิจในระยะต่อไป โดยไม่ต้องมีการควบรวมกิจการกับธนาคารพาณิชย์อื่นๆ"
ส่วนเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อนั้น ธนาคารตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อไว้ประมาณ 20,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 20-30% จากพอร์ตสินเชื่อ NONCAP ประมาณ 70,000-80,000 ล้านบาท โดยจะกระจายไปในทุกๆ กลุ่มอุตสาหกรรม รวมทั้งยังมีความสนใจที่จะเข้าร่วมปล่อยกู้กับโครงการเมกะโปรเจกต์ของรัฐบาลด้วย
ยันไม่ควบรวมกิจการกับแบงก์อื่น
สำหรับกระแสข่าวที่จะมีการควบรวมกิจการกับธนาคารพาณิชย์อื่นนั้น กรรมการผู้จัดการใหญ่กล่าวว่า ธนาคารไม่มีนโยบายที่จะควบรวมกิจการเป็นธนาคารพาณิชย์อื่นแน่นอน แต่หากผู้ถือหุ้นใหญ่อย่างกองทุนฟื้นฟูฯ จะขอให้ธนาคารมีการพิจารณาเรื่องดังกล่าว ธนาคารก็จะมีการพิจารณาอย่างมืออาชีพ และมีความเห็นว่าไม่ควรที่จะควบรวมกิจการกับใครทั้งสิ้น
"ขณะนี้ธนาคารสามารถบริหารต้นทุนการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ผลประกอบการอยู่ในเกณฑ์ที่ดี รวมทั้งภาระของ CAP จะจบภายในสิ้นปีนี้ ทำให้ธนาคารกลายเป็น Good Bank ที่ได้เตรียมทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว ด้านบุคลากร ลูกค้า ผลิตภัณฑ์ รวมทั้งการจัดทัพของบริษัทที่จะสนับสนุนการดำเนินธุรกิจการเงินให้กับลูกค้าครบวงจร"
โดยขณะนี้ธนาคารมี บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมเปิดดำเนินการแล้ว บริษัทลีสซิ่ง ที่จะเปิดดำเนินการพฤษภาคมนี้ บริษัทประกันภัยและประกันชีวิตที่สร้างกำไรให้กับธนาคาร รวมทั้งยังจะมีการนำเสนอบริการและผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่องในระยะต่อไป
|