ปูนใหญ่เสียงแข็ง ไม่ได้ปรับขึ้นราคาปูนซีเมนต์ แม้ว่าแนวโน้ม เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว
จากธุรกิจก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นกว่า 30% ทำให้ยอดขายปูนเพิ่มขึ้นในรอบ 4 ปี
คาดปีนี้จะขายปูนได้ 2.6
ล้านตันจากปีก่อนที่ขายได้เพียง 1.9 ล้านตัน ขณะที่ความต้องการใช้ปูนจะเพิ่มขึ้น
20% ปีนี้จะลดหนี้เกือบ 2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการไตรมาสแรกรายได้ลดส่วนกำไรเพิ่ม
20% นายชุมพล ณ
ลำเลียง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ
SCC กล่าวถึงการแข่งขันด้านราคาของปูนซีเมนต์ว่า SCC ไม่ได้มีการปรับราคาตามที่เป็นข่าว
เพราะการปรับราคาปูนซีเมนต์ครั้งสุดท้าย คือเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2543
แต่ยอมรับว่าการปรับราคาขายปูนซีเมนต์ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นการปรับราคากันเองของผู้ขายหรือผู้ผลิตรายอื่น
นายชุมพลยอมรับว่าไตรมาสแรกของปีนี้ รายได้จาการขายสินค้าที่เกี่ยวกับการก่อสร้างมีเพิ่มขึ้นจากแต่ก่อนมาก
โดยเพิ่มขึ้นในส่วนของปริมาณการขายประมาณ 10-20%
เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมา และยังเชื่อว่าแนวโน้ม ของความต้องการสินค้าดังกล่าวน่าจะมีเพิ่มขึ้นในไตรมาส
2 และไตรมาส 3 โดยมองจากการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้
ยังมีการซ่อมแซมอาคารหรือบ้านเรือนต่างๆ ซึ่งจะมีผลต่อการกระตุ้นการสินค้าที่ใช้ภายในบ้าน
เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ด้วย ซึ่งการเพิ่มขึ้นของการก่อสร้างมีกว่า
30% อย่างไรก็ตาม
ปริมาณการขายปูน ซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลต่อการดำเนินงานของบริษัทที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
โดยในส่วนของงบการเงินก่อนสอบทานของบริษัทของ SCC และบริษัทย่อย ในไตรมาสแรกของปี
2545
พบว่ามีรายได้รวมทั้งสิ้น 31,342 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเล็กน้อย
เนื่องจากตัดรายได้จากธุรกิจที่เครือฯ ลดบทบาทออกจากงบการเงินรวมของงวดนี้
ขณะที่มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนรายการพิเศษในงวดนี้ 2,165 ล้านบาท ใกล้เคียง
กับงวดเดียวกันของปีก่อน และหากไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งมี 86 ล้านบาทในงวดนี้
และ 484 ล้านบาท
ในไตรมาสแรกของปีก่อน เครือฯ จะมีกำไรจากดำเนินงานก่อนรายการ พิเศษและอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น
จากช่วงเดียว กันของปีก่อนถึง 20% ทำให้กำไรสุทธิของ SCC มีเพียง 2,320 ล้านบาท
ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนเช่นกัน แม้ว่าในไตรมาสแรกปีนี้ ธุรกิจเยื่อกระดาษและบรรจุภัณฑ์
จะมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 4% เนื่องจากการนำผลประกอบการของ บริษัท ฟินิคซ พัลพ
แอนด์ เปเปอร์
จำกัด (มหาชน) หรือ PPPC ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ช่วยดึงกำไรให้สูงขึ้นจากแต่ก่อนมากนัก
นายชุมพลกล่าวว่า ในส่วนของธุรกิจ ซิเมนต์นั้นมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมาก
โดย เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4 ของปี 2544
กว่า 30% อันเป็นผลมาจากราคาขายปูนซีเมนต์ได้ปรับลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกของปีก่อนกับปีนี้
ซึ่งปีนี้ราคาเฉลี่ยของปูนซีเมนต์ได้ปรับลดลงอย่างมาก
ทำให้ผลประกอบการต่ำกว่างวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา "แต่ผลประกอบการของเราก็ยังดีขึ้นพอสมควร
และคาดว่าผลประกอบการไตรมาส 2 และ ไตรมาส 3 น่าจะดีขึ้นตามแนวโน้มที่คาดไว้
เพราะตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็เริ่มมีการฟื้นตัวบ้างแล้ว และเชื่อว่าความต้องการใช้ปูนซีเมนต์จะเพิ่มขึ้น
20% นายชุมพลกล่าว สำหรับแนวโน้มราคาปูนซีเมนต์นั้น เนื่อง
จากช่วงที่ผ่ายมามีการแข่งขันกันลดราคามาก ไม่ว่าจะเป็นการลดราคา แลก แจกแถมกันอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา
ถือเป็นประวัติศาสตร์ของการจำหน่ายปูนซีเมนต์ที่ขายกันในราคาถูกมาก
บางแห่งลดราคาได้มากถึง 50% ของราคาที่เคยขายกันอยู่ตามปกติ ส่งผลให้ในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์
ของปีนี้เกือบทุกบริษัทที่ผลิตและจำหน่ายปูน
ซีเมนต์ขาดทุนในการขายสินค้าดังกล่าวทั้งสิน รวมทั้ง SCC ด้วย แม้ว่าความต้องการซื้อปูน
ซีเมนต์จะเพิ่มขึ้นอย่างมากเป็นประวัติการก็ตาม
แต่ก็เป็นความต้องการเพิ่มขึ้นที่เป็นเพียงการกักตุนสินค้าในยามที่ปูนขายในราคาถูกกว่าปกติ
เท่านั้น ไม่ใช่ความต้องการที่แท้จริงแต่อย่างใด จึงทำให้รายได้จากการขายปูนซีเมนต์ซึ่งตามปกติ
น่าจะสูงตามยอดขายที่เพิ่มขึ้น แต่ก็เป็นรายได้ ที่น้อยกว่าที่เคยเป็น อย่างไรก็ตาม
หลังจากแนวโน้มของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มฟื้นตัว เพราะมีการก่อสร้างเพิ่มขึ้นจากแต่ก่อน
จึงทำให้การแข่งขันราคาปูนซีเมนต์ลดลง และผู้ผลิตที่เคยให้ส่วนลดมาก ๆ ก็เริ่มปรับการลดราคาให้เหมาะสมกับสถานการณ์
มากขึ้น โดยในส่วนของ SCC ที่เคยให้ส่วนลด 600-700 บาทต่อถุง
ก็จะต้องลดเหลือเพียง 100-200 บาทต่อถุง ขณะที่ผู้ผลิตรายอื่นอาจลดให้ 150-250
บาทต่อถุง นายชุมพลยืนยันว่า SCC จะไม่ปรับราคา ปูนซีเมนต์อีก เพราะยังขายในราคาที่ประกาศไว้
ส่วนรายได้จากการขายปูนซเมนต์ในปีนี้ ยังไม่อาจ บอกตัวเลขที่ชัดเจนได้ เพราะขึ้นอย่กับตลาดอสังหาริมทรัพย์
แต่จะประมาณการได้ว่าน่าจะสูงขึ้น 20%
โดยดูจากแนวโน้มของปริมาณการขายที่ปีนี้เป็นปีแรกในรอบ 4 ปีที่ยอดขายที่เพิ่มขึ้น
หลังจากที่เกิดวิกฤตการทางเศรษฐกิจในประเทศ และคาดว่าทั้งอุตสาหกรรมนี้จะขายปูน
ซีเมนต์ได้ประมาณ 24
ล้านตัน โดยในส่วนของ SCC จะขายปูนซีเมนต์ได้ถึง 2.6 ล้านตัน จากปีก่อนที่ขายได้เพียง
1.9 ล้านตันเท่านั้น ส่วนการ ส่งออกจะไม่ต่างจากปีก่อนคือ 1.8 ล้านตัน
"ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจในประเทศไตรมาสแรกอยู่ในระดับที่ดี และไตรมาส 2 ก็น่าจะดี
ต่อเนื่อง เพราะเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านอย่าง เขมร เวียดนาม อินโดนีเซีย
มาเลเซีย ในปีนี้ก็ดีขึ้นกว่าแต่ปีก่อนๆ
เช่นกัน นายชุมพลกล่าว ส่วนธุรกิจเยื่อกระดาษนั้น ถือว่าทรงตัว แต่ในส่วนของราคากระดาษของเครือฯ
น่าจะปรับขึ้น เพราะความต้องการในประเทศเพิ่มขึ้น ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีนัน
ในส่วนของเคมีภัณฑ์บางชนิดและพีวีซี ราคาได้เพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อนมาก ทำให้รายได้และกำไรจากกลุ่มนี้เพิ่มขึ้น
และคาดว่าในระยะกลางรายได้จากธุรกิจปิโตรเคมีจะเพิ่มขึ้น 20-30%
จากเดิมในส่วนของปริมาณการขาย แต่ยอดขายนั้นยังไม่อาจบอกได้ ถึงกระนั้นผู้บริหารก็ยังเชื่อว่ายอดขายน่าจะดีขึ้นกว่าแต่ก่อน
นายอวิรุทธ์ วงษ์พุทธพิทักษ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการเงิน SCC
กล่าวถึงภาระหนี้สินของ SCC ที่ลดลงจากเมื่อครั้งที่เกิดวิกฤตการทางการเงินเหลือ
ทำให้ปัจจุบันเหลือหนี้สินเพียง 1.45 แสนล้านบาท โดยบริษัทมีภาระดอกเบี้ยปีละ
1 หมื่นล้านบาท
และบริษัทตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะพยายามจะลดหนี้ให้เหลือเพียง 1 แสนล้านบาทในปี
2547 ซึ่งในปีนี้ตั้งเป้าจ่ายชำระหนี้ให้ได้ 1.6-1.7 หมื่นล้านบาท โดย
จะนำเงินที่ได้จากการดำเนินงานมาชำระหนี้ดังกล่าว สำหรับภาระหนี้สินของ
SCC ในปีนี้ มีภาระที่ต้องจ่ายหนี้ในส่วนของหุ้นกู้จำนวน 15,000 ล้านบาท
ซึ่งจะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนกันยายนปีนี้
แต่ภาระหนี้สินที่เป็นหุ้นกู้ของบริษัทนั้น ไม่ได้เป็นปัญหาเพราะหุ้นกู้ส่วนใหญ่ที่
SCC ออกขายให้กับนักลงทุนนั้นกำหนดอัตราดอกเบี้ยแบบตายตัว จึงไม่กังวลกับมูลหนี้ที่ไม่ต้องเพิ่มขึ้นตามภาวะดอกเบี้ย
สำหรับการรีไฟแนนซ์เงินกู้นั้น SCC ไม่จำเป็นต้องรีไฟแนนซ์หนี้เงินกู้ เพราะส่วนใหญ่หนี้ของบริษัทจะเป็นหุ้นกู้
ซึ่งกำหนดอัตราดอกเบี้ยแบบตายตัวอยู่แล้ว และหากจะถึงเวลาครบกำหนดชำระหุ้นกู้
บริษัทอาจทำการกู้เงินจากธนาคาร หรือออกหุ้นกู้ล็อตใหม่ขึ้นอยู่กับภาวะตลาดการเงินและอัตราดอกเบี้ยด้วย
โดยคาดว่าอีกประมาณ 3 เดือนจึงจะมีการเจรจาและหารือ
กันระหว่างผู้บริหารว่าจะดำเนินการในแผนการเงินอย่างไรในอนาคต "แต่หากจะถามผมว่าใน
วันนี้ เราน่าจะทำอะไรจึงจะดีที่สุด ยอมรับว่าตลาดหุ้นกู้นั้นได้รับการยอมรับจากรับจากนักลงทุน
และเหมาะสมกับภาวะตลาดมาก แต่ในอนาคตอีกเดือนหรือ 2 เดือนข้างหน้า สถานะตลาดการเงินก็อาจเปลี่ยนไปได้
นายอวิรุทธ์กล่าว