รัฐบาลเตรียมใช้ไม้โหดหากแบงก์ลดดอกเบี้ยเงินฝากขาเดียว แต่เมินลดดอกเบี้ยเงินกู้
หวั่นรัฐต้องตอบคำถามต่อประชาชน ด้านผู้บริหารแบงก์กรุงเทพ-กรุงไทยยันไม่ปรับลดดอกเบี้ย
แต่พิจารณาปัจจัยตลาดการเงินเป็นสำคัญ ด้านแบงก์ชาติย้ำ ส่งสัญญาณไม่ลดดอกเบี้ย
เหตุภาวะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ยันนโยบายการเงินไม่ใช่ตัวนำกระตุ้นเศรษฐกิจ
ผลพวงจากการที่ธนาคารเอเชีย
จำกัด (มหาชน) BOA ได้ลดดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ลง 0.25% โดยเฉพาะดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์คงเหลือต่ำสุดในระบบ
1.25% ประเด็นดังกล่าวได้กลายเป็น กระแสวิวาทะเกิดขึ้นระหว่างผู้บริหาร
ประเทศในการดูแลนโยบายให้เป็น ไปตามทิศทางที่คาดหวังกับองค์กร ของรัฐอย่างธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) ที่กำกับดูแลสถาบันการเงินและปัญหาดังกล่าวได้ลุก
ลามไปสู่ความแตกของแนวคิดในการบริหารเรื่องดอกเบี้ย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร นายกรัฐ-
มนตรีได้กำชับให้ธปท.ดูแลธนาคาร พาณิชย์ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากให้ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ด้วย
เพื่อไม่ให้ส่วนต่างดอกเบี้ย สูงเกินไป
หากไม่มีธนาคารดำเนินการก็ให้มีมาตรการลงโทษอย่างจริงจัง โดยวานนี้ (23)
ธปท.ได้รายงานให้ทราบว่า ขณะนี้ยังไม่มีธนาคารรัฐปรับลดดอกเบี้ย นอก จากธนาคารเอกชน
2-3 แห่งที่ลดอัตราดอกเบี้ย
ออมทรัพย์ลง ซึ่งเมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมาธปท.ได้ส่งสัญญาณเรื่องดอกเบี้ยชัดเจนแล้วให้คงอาร์/พีไว้ที่
2% เท่าเดิม หากต่อไปปรับลดอีก
แม้ธปท.จะไม่เข้าไปแทรกแซงและให้ธนาคารพิจารณานำความเหมาะสม ธนาคารพาณิชย์ก็ต้อง
มีความรับผิดชอบในเรื่องของส่วนต่าง "ธนาคารพาณิชย์ลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก
โดยไม่ลดดอกเบี้ยกู้
คงทำให้รัฐบาลตอบคำถาม ประชาชนได้ยาก ว่าดอกเบี้ยควรอยู่ระดับใด นายกรัฐมนตรีกำชับให้คลังและแบงก์ชาติตามเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ซึ่งส่วนต่างดอกเบี้ยที่เหมาะสมเท่าใดนั้นแบงก์ชาติดูแลอยู่แล้ว
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธปท. กล่าวเพียงว่า ถ้าพิจารณาจากข้อมูลตั้งแต่
ธันวาคม 2544 เป็นต้นมา
จะเห็นได้ว่าธนาคารพาณิชย์ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้ทั้งสองขาทุกธนาคาร
อนึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ว่า การทยอยลดดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์
ได้สร้างผลในด้านความเสี่ยงของภาระค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยลดลงอย่างมาก และยังผลต่อเนื่องถึงผลประกอบการของธนาคารที่แม้แต่ไตรมาสแรกของปี45
ทั้งระบบกำไรเกือบ 10,000 ล้านบาท
บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ยังได้ระบุถึงส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Net
Interest Margin) พบว่าการลดลงของสัดส่วนดอกเบี้ยจ่ายที่สูงกว่าการลดลงของสัดส่วนดอกเบี้ยรับ
ทำให้ประเมินได้ว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไตรมาส แรกปี 45 จะสูงขึ้นประมาณ
1.99% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปี 44 โดยธนาคารเอกชนขนาดใหญ่ 5 แห่ง ส่วนต่างดอกเบี้ยจะขยับมาอยู่ที่
2.29%
จาก1.79% ธนาคารลูกครึ่ง 4 แห่งมาอยู่ที่ 2.41% จาก 1.96% และธนาคารรัฐ
4 แห่งมาอยู่ที่ 1.24% จาก 0.44% อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นที่ต้องพิจารณา
อีกว่าผลจากการที่รัฐบาลได้รับโอนหนี้ของสถาบัน การเงินไปยังบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย
(บสท.) ทำให้ภาระด้านหนี้เสียของธนาคารลดลงอย่างมาก ขณะเดียวกันในการรับโอน
บสท.ยังได้ออก
ตั๋วการรับโอนหนี้ โดยธนาคารพาณิชย์จะได้รับรายได้ แบงก์เบรกปรับลดดอกเบี้ย
เหตุรัฐขอร้อง-ถีบส่ง"จุลกร" นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) BBL
กล่าวว่า การที่ธนาคารจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยหรือไม่นั้น ต้องติดตามภาวะตลาดการเงินในประเทศว่าเป็นอย่างไร
รวมถึงต้องพิจารณา ถึงสภาพคล่องของธนาคารด้วย อย่างไรก็ตาม
ธนาคารกรุงเทพยังไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทุกประเภทในขณะนี้ สำหรับกรณีที่นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงการคลัง
พิจารณาเรื่องอัตราดอกเบี้ย นั้น นายชาติศิริ กล่าวว่า
ในส่วนของธนาคารพาณิชย์ยังไม่ได้รับการติดต่อจากกระทรวงการคลังในเรื่องดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) KTB ว่า ที่ประชุมคณะกรรม-
การบริหารของธนาคารกรุงไทยฝ่ายจัดการได้มีการรายงานเกี่ยวกับสถานะของอัตราดอกเบี้ย
พร้อมกับรายงานสภาพคล่องของธนาคาร
ซึ่งที่ประชุมเห็นว่าธนาคารยังไม่มีความจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในช่วงนี้
อย่างไรก็ตาม กรณีที่ธนาคารเอเชีย ปรับลดดอกเบี้ยเพียงธนาคารเดียว
เนื่องจากเป็นธนาคารขนาดเล็กมีสภาพคล่องที่ล้นอยู่ประมาณ 10,000 ล้านบาท
ดังนั้น หากเงินฝากจากธนาคาร เอเชียไหลออกไปยังธนาคารพาณิชย์อื่นๆ เฉลี่ยกันไป
ก็แบกรับภาระไม่มากนัก
และเมื่อธนาคาร เอเชียขาดสภาพคล่อง ก็ต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก เพื่อดูดสภาพคล่องเข้าธนาคาร
ธปท.ยันอาร์/พี 2% เหมาะสม สัญญาณศก.เริ่มฟื้น ผู้ว่าการธปท.กล่าวเป็นนัยสำคัญต่อนโยบาย
การเงินของธปท.ว่า การที่คณะกรรมการนโยบาย การเงินมีมติคงอัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตร
(อาร์/พี) ระยะ 14 วันไว้ที่ระดับ 2%เท่าเดิม เหตุผลที่ทำให้ธปท.คงอัตราดอกเบี้ย
เพราะ
เห็นว่าปัจจัยต่างๆเอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ แล้ว ดังนั้น ธปท.จึงไม่จำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินมาเป็นตัวนำในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
และเห็นว่านโยบายการเงินนับจากนี้จะต้องทำเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมากกว่าการเจริญ
เติบโตของเศรษฐกิจ "ขณะนี้ทุกอย่างเข้ารูปเข้ารอย ไม่มีอะไรน่า เป็นห่วง
ปัจจัยต่างๆก็เอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและเป็นไปตามเป้าหมายแล้ว เพราะฉะนั้นเราจึงคิดว่านโยบายการเงินควรทำหน้าที่เสริมการเติบโตให้เพิ่มขึ้น
ดังนั้น จึงคงอัตราดอกเบี้ยอาร์/พีไว้ที่ระดับ 2%
ซึ่งเป็นระดับ ที่ทำให้ ดุลระหว่างการรักษาเสถียรภาพและการเติบโตของเศรษฐกิจ
การรักษาเสถียรภาพในที่นี้หมายถึงระดับทุนสำรองทางการที่อยู่ ในระดับที่น่าพอใจ
และไม่ควรจะทำอะไรให้ทุนสำรองลดลง หมายความว่าตอนนี้อะไรที่อยู่นิ่งๆ ก็ไม่ควรไปกวนให้ขุ่น
ผู้ว่าฯธปท.กล่าว ปัจจุบันทุนสำรองทางการระหว่างประเทศอยู่ที่ 33.9 พันล้านดอลลาร์ฯ
ณ 12
เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระดับทุนสำรองที่ลดลงหากเทียบกับสิ้นเดือนก.พ.อยู่ที่
34.0 พันล้านดอลลาร์ฯโดยมีการคาดการณ์ไว้ ณ ปลายปี 2545 ทุนสำรองคงจะไม่ต่ำกว่าระดับ
33.0 พันล้านดอลลาร์ฯ
สำหรับการขยายตัวของสินเชื่อนั้น ผู้ว่าธปท.กล่าวว่า ในภาพรวมเริ่มดีขึ้น
แต่ต้องการให้เห็นภาพที่ชัดเจนกว่านี้ว่าสินเชื่อที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นนั้นเป็นประเภทไหน
ก่อนที่จะแถลงให้ทราบ บริษัท
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงาน ผลการสำรวจตัวเลขสินเชื่อ เงินฝากของธนาคาร
พาณิชย์ ระบุว่า สินเชื่อคงค้างในระบบธนาคารเดือนมี.ค.45จำนวน 3,512,498
ล้านบาท ลดลงจากเดือนก.พ. 7,791
ล้านบาท คิดเป็นการลด 0.65% ขณะที่ยอดเงินฝากเดือนมี.ค.ยอดคงค้างทั้งสิ้น
4,940,121 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.65% หรือ 31,808 ล้านบาทจากเดือนที่ผ่านมา
เศรษฐกิจโตแน่ 2-3% นายสมคิด
กล่าวถึงทิศทางเศรษฐกิจว่าธปท.ได้รายงานให้ทราบถึงสถานการณ์ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา
ว่าดัชนีเศรษฐกิจทุกตัวเริ่มปรับตัวดีขึ้น ทั้งการบริโภค การลงทุนและการส่งออก
ซึ่งยังมีปริมาณการส่งออกสูง แม้ราคายังไม่ดีมากนัก "ดัชนีต่างๆ ชี้เห็นเห็นว่าฟื้นตัวแต่อยู่ระหว่างการชักเย่อระหว่างความเสียหายในอดีตกับการฟื้นตัว
ซึ่งเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยในช่วง 2 เดือนแรก
สถาบันการเงินเริ่มปล่อยสินเชื่อมากขึ้น โดยเฉพาะภาคก่อสร้าง นายสมคิดกล่าว
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวแสดงความมั่นใจว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ระดับ
2-3% อย่างแน่นอน
โดยให้เหตุผลว่าเศรษฐกิจ เริ่มขยับในทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งในด้านของการขยายตัวของสินเชื่อ
การบริโภคและการลงทุนการผลิตสินค้าที่เพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็นวัสดุก่อสร้าง
อุปกรณ์ไฟฟ้า
และอาหารที่สามารถขาย ได้ทั้งในประเทศและส่งออกไปยังต่างประเทศ "ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าเศรษฐกิจไทยเริ่มขยับตัวแล้ว
ทำให้เชื่อได้ว่าเศรษฐกิจจะสามารถขยายตัวได้ตามเป้าหมายในปีนี้
อีกทั้งยังเชื่อว่าธนาคารต่างๆ รวมถึงต่างชาติก็จะประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้
ซึ่งขณะนี้เราก็รอดูผลการประเมินอยู่