Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน24 เมษายน 2545
ผ่าระบบ "แบงก์ไทย" แนะยุบเหลือ4แห่ง             
 

   
related stories

เปิดความจริงดบ.ต่ำ รัฐ-ธปท.เดินผิดทาง
พิษดอกเบี้ยบิดเบือน คนออมเจอ "สองเด้ง"

   
search resources

Banking
Interest Rate




ความพยายามของธนาคารเอเชีย ที่จะเป็นผู้นำตลาดลดดอกเบี้ยรอบล่าสุดสะท้อนความบิดเบี้ยวของระบบสถาบันการเงิน และตลาดเงินในประเทศไทยที่ปล่อยให้ธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็กอย่างธนาคารเอเชียชี้นำแนวโน้มความเคลื่อน

ไหวทางการเงินและอัตราดอกเบี้ยของประเทศ ธนาคารพาณิชย์ในไทยควรมีไม่เกิน 4 แห่ง! ความเคลื่อนไหวล่าสุดของธนาคารขนาดเล็กแห่งนี้คือประกาศลดดอกเบี้ยเงินฝากเมื่อวันจันทร์ที่ 22 เมษายน

0.25% ส่งผลอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์แบงก์นี้ลดเหลือต่ำเพียง1.25% ขณะที่โดยข้อเท็จจริงเศรษฐ-

กิจประเทศไทยด้วยผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติกว่า5ล้านล้านบาทธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ในประเทศไทยควรมีไม่เกิน 4

แห่งเพราะหากมีธนาคารพาณิชย์มากเกินไปจะเกิดการแข่งขันทางธุรกิจอย่างรุนแรง ซึ่งปัจจุบันด้วยโครงสร้างเศรษฐกิจที่ยังอ่อน

แอหากธนาคารพาณิชย์แข่งขันกันมากเกินไปจะเป็นผลเสียต่อเศรษฐกิจโดยรวมเพราะธนาคารต่าง ๆจะพยายามทุกวิถีทางที่จะแข่งขันเพื่อความอยู่รอดโดยไม่คำนึงถึงต้นทุนทางเศรษฐกิจเช่น

ระดมเงินฝากแข่งกันโดยอาจทำให้เศรษฐกิจย่อยภาคต่าง ๆของระบบเศรษฐกิจใหญ่กระทบกระเทือนไม่สามารถ

มีเงินทุนเพียงพอขยายงานกระทบภาคเศรษฐกิจรวมไม่ให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่องระยะยาว นอกจากนี้ การจำกัดให้ธนาคารพาณิชย์ขนาด ใหญ่มีเพียงประมาณ4แห่งเพื่อให้การดำเนินงานภาค

ธนาคารมีประสิทธิภาพมากขึ้นใช้ทรัพยากรในระบบเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ โดยควรให้มีการควบรวมระหว่างธนาคารพาณิชย์ขนาดกลาง และขนาดเล็กที่ปัจจุบันมี 13 แห่ง

ทำไมธนาคารขนาดเล็กแสดงบทบาทนำในการลดดอกเบี้ย ? ธนาคารเอเชียและธนาคารดีบีเอสไทยทนุเป็นธนาคารขนาดเล็ก 2 แห่งที่มีบทบาทนำในการประกาศ ลดดอกเบี้ย คงจำได้ดีในช่วงปี 2541

ที่ธนาคารดีบีเอส ไทยทนุประกาศลดดอกเบี้ยเพราะทนแบกรับต้นทุนไม่ไหว ตอนนั้นเป็นช่วงที่ธนาคาร ดีบีเอส จากสิงคโปร์เพิ่งเข้ามาซื้อกิจการไทยทนุได้ไม่นาน

ส่วนธนาคารเอเชียนั้นก็พยายามเป็นผู้นำการปรับลดอัตราดอกเบี้ยไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน โดยในการลดดอกเบี้ยหลายรอบที่ผ่านมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ก็เป็นผู้นำจนกดให้ดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารเอเชีย

เป็นอัตราต่ำสุดในระบบธนาคารพาณิชย์ไทย อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ของธนาคารเอเชียที่ปรับลดลงมีผลตั้งแต่วานนี้ (23เม.ย.) อยู่ที่ระดับ 1.25% ซึ่งเป็นอัตราต่ำสุดในประวัติศาสตร์ไทย ด้วย!

เมื่อพิจารณาอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก 76.7% (Loan/Deposit Ratio) สะท้อนว่าสภาพคล่องส่วนเกินยังล้นระบบอยู่มาก

ธนาคารลูกครึ่งเหล่านี้ปกติไม่เคยสนใจฐานลูกค้าผู้ฝากเงินชาวไทยสักเท่าใด เพราะสามารถนำเงินจากธนาคารแม่ในต่างประเทศเข้ามาปล่อยกู้ได้ผิดกับธนาคารพาณิชย์ไทยหลายแห่งที่ต้องสนใจลูกค้าไทย เพราะต้องระดมเงินฝากจากคนไทยและใช้เงินฝากเหล่านี้ปล่อยกู้อีกต่อหนึ่ง

ว่าไปแล้วการเป็นผู้นำลดดอกเบี้ยนั้น ควรได้รับสัญญาณจากธนาคารแห่งประเทศไทย

ซึ่งมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ธปท.ส่งสัญญาณ และมีการตอบสนองจากตลาดอย่างสอดคล้องในทางเดียวกัน โดยธนาคารไทยพาณิชย์ประกาศลดดอกเบี้ยช่วงธันวาคม 2544

นโยบายลดดอกเบี้ยตามแบบญี่ปุ่น พลาด! นโยบายกดดอกเบี้ยต่ำเพื่อใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ ที่รัฐบาลดำเนินมาในระยะปีกว่า ปรากฏชัดเจนเวลานี้แล้วว่าไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะไม่สามารถกระตุ้น

เศรษฐกิจได้ตามเป้าหมาย โดยการปล่อยสินเชื่อใหม่ของธนาคารพาณิชย์ทำได้ลำบากเพราะมีการแข่ง ขันที่รุนแรงมาก นอกจากนี้ การลดอัตราดอกเบี้ยทำให้ผลตอบ แทนจากการปล่อยสินเชื่อ (Yield

on Lending)ลดลงและกดดันต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย(NIM = Net Interest

Margin)ให้ต่ำลงในที่สุดซึ่งทำให้ธนาคารไม่มีแรงจูงใจอยากปล่อยสินเชื่อใหม่หากพิจารณาจากการทำกำไรของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในตลาด หลักทรัพย์กำไรส่วนมากมาจากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย

ซึ่งสะท้อน ชัดเจนว่าขัดกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการลดดอกเบี้ยโดยเฉพาะดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อกระตุ้นให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อภาคธุรกิจและอุตสาห-กรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

ไตรมาส 1 ปี 2545 ธนาคารพาณิชย์มีรายได้ค่าธรรมเนียมและมีกำไรจากการขายเงินลงทุนเป็นหลัก ขณะที่ธนาคารที่เน้นฐานลูกค้ารายย่อย(Retail

Banking)เติบโตอย่างมีนัยสำคัญของรายได้ค่าธรรมเนียม ได้แก่ ธนาคารเอเชีย และธนาคารทหาร ไทย ส่วนธนาคารที่กำไรเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากการขายหลักทรัพย์คือธนาคารดีบีเอสไทยทนุ

และธนาคารกสิกรไทยมีกำไรเพราะสำรองการด้อยค่าของ สินทรัพย์รอการขายลดลงและรับรู้ขาดทุนจากบริษัทย่อยน้อยลง เห็นได้ว่าปัจจัยการทำกำไรของนาคารไตรมาส

แรกปีนี้แทบไม่เกี่ยวกับนโยบายการลดดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่อย่างใดรวมทั้งไม่มีการปล่อยสินเชื่อใหม่ ที่แทบไม่มีตัวเลขเคลื่อนไหวอีกด้วย!

หันมาดูการคาดหมายเรื่องการแก้ไขปัญหาสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือ NPL ปรากฏว่า ณ สิ้น มีนาคม 2545 คุณภาพสินทรัพย์ NPLs ของธนาคารพาณิชย์ต่างๆ มีทั้งเพิ่มขึ้นและลดลงเล็กน้อย

กล่าวโดยรวมว่าทรงตัว แต่ของธนาคารเอกชนจะ เพิ่ม ขึ้นเล็กน้อย ทั้งนี้เป็นการสะท้อนว่านโยบายลดดอกเบี้ยไม่ทรงประสิทธิภาพพอในการแก้ปัญหา NPLs

หรือจะกล่าวว่าการเดินตามนโยบายดอกเบี้ยต่ำที่รัฐบาลญี่ปุ่นใช้มาเป็นเวลานาน และสะท้อนออกมาว่าไม่สามารถช่วยฟื้นเศรษฐกิจญี่ปุ่นได้กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยเวลาน ี้ที่สำคัญหากสภาพคล่องส่วนเกินยังคงล้นระบบต่อเนื่องไม่มีใครรับประกันได้ว่าธนาคารพาณิชย์จะไม่ประกาศลดดอกเบี้ย

อีกในอนาคตเพราะกลไกระบบธนาคารพาณิชย์บิดเบือน นอกจากนี้ ความพยายามของคนบางกลุ่มที่เปรียบเทียบเศรษฐกิจไทยกับญี่ปุ่นช่างไร้เดียงสา จริงๆ

เพราะโดยข้อเท็จจริงขนาดเศรษฐกิจไทยเล็กกว่าญี่ปุ่นมาก ขณะที่ฝ่ายหลังเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากพี่เบิ้มสหรัฐอเมริกา การวิพากษ์วิจารณ์ว่า หากประเทศไทยเดินตาม

รอยทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจของญี่ปุ่นแล้ว กรุงเทพจะซ้ำรอยโตเกียวที่เศรษฐกิจไร้วี่แววฟื้นมากว่าทศวรรษ เป็นคำวิจารณ์ที่ไร้วิจารณญาณโดยสิ้นเชิง

เพราะสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจของไทยและญี่ปุ่น ต่างกันอย่างลิบลับ เศรษฐกิจไทยควรเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนอย่างฟิลิปปินส์ หรืออินโดนีเซีย ที่มีขนาดเศรษฐกิจใกล้เคียงกัน

รัฐบาลยกเลิกการค้ำประกันเงินฝากถูกต้อง! รัฐบาลต้องแบกรับภาระประกันเงินฝากระบบธนาคารพาณิชย์มายาวนานทำให้ธนาคารพาณิชย์ต่างๆเคยชินกับการถูกอุ้มจากทางการดำเนินงาน

อย่างไร้ประสิทธิภาพสูญเสียทรัพยากรทางเศรษฐกิจ ที่ควรใช้กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อ เนื่อง นอกจากนี้การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงการคลังและสำนัก

งานเศรษฐกิจการคลังร่วมกันศึกษาความเป็นไปได้ของการจัดตั้งสถาบันประกันเงินฝาก เพื่อลดภาระรัฐบาล ในการต้องค้ำประกันเงินฝากระบบธนาคารพาณิชย์

ถือว่าเป็นแนวทางที่น่ายกย่องเพราะรัฐบาลไม่ต้องสูญเสียทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดอุ้มธนาคารพาณิชย์ ไม่ให้ต้องล้มหายตายจากโดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์

ขนาดเล็กที่ไม่รู้จักโตต้องคอยให้รัฐบาลอุ้มต่อเนื่อง ถึงคราวรัฐบาลเน้นแก้ปัญหากองทุนฟื้นฟูฯ ต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินนโยบายผิดพลาดของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและ พัฒนา

ระบบสถาบันการเงินกว่า 1.4 ล้านล้านบาทสะท้อนประสิทธิภาพการบริหารงานของกองทุนฟื้นฟูฯที่ไร้ประสิทธิภาพส่วนหนึ่งที่สำคัญ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบการเงินของไทย

และอีกเช่นกันที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจไทยใช้ทรัพยากรอย่างไร้ประสิทธิภาพ

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us