Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน11 มีนาคม 2548
ฟันธงอสังหาฯปี48โตไม่เกิน10%เหตุธปท.คุมเงินกู้-กม.แอสโครว์ส่งผลรายย่อยหาย             
 


   
search resources

Real Estate




เพอร์เฟคฯ เชื่อตลาดรวมอสังหาฯกรุงเทพฯ ปริมณฑลปี 48 โตไม่เกิน 10% แม้ดีมานด์สูงถึง 100,000 หน่วย แต่กำลังผลิตรับได้แค่ 70,000 หน่วย เหตุกำลังซื้อถูกดูดช่วงปลายปี 47 การผลิตมีข้อจำกัด ดอกเบี้ยขึ้นกระทบกำลังการซื้อ ธปท.เข้มปล่อยกู้ อีกทั้งการประกาศใช้กม.เอสโครว์ฯ ส่งผลรายย่อยหายเหตุขาดสภาพคล่อง

แม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในตลาดช่วง 1-2 ปี ที่ผ่านมาจะมีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่าอัตราการขยายตัวของตลาดกลับเป็นไปในทิศทางที่ตรงกันข้าม กล่าวคือ มีอัตราการเติบโตที่ลดลง ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญต่างมีความเห็นว่า ตลาดอสังหาฯมีการเติบโตอย่างเหมาะสม หรือที่เรียกว่าภาวะตลาดสมดุล คือจำนวนดีมานด์และจำนวนซัปพลายอยู่ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน

อย่างไรก็ดี แม้ว่าหลายฝ่ายจะเห็นตรงกันว่าตลาดปี 2548 จะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 15% แต่ในทางกลับกัน ดร.ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มาหาชน) กลับวิเคราะห์ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2548 ว่าอัตราการเติบโตของตลาดปีนี้หากมีการขยายตัวสูงสุดก็ไม่น่าจะเกินกว่า 10%

โดย ดร.ธีระชน กล่าววิเคราะห์ตลาดว่า มองย้อนกลับไป ในปี 2546 ยอดจดทะเบียนบ้านใหม่ ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลมีจำนวน 50,594 หน่วย หรือเติบโต จากปี 2545 ประมาณ 25% และใน ปี 2547 ที่ 62,796 หน่วยหรือมีอัตราการเติบโต 24% จากเดิมที่มีการประมาณการไว้ว่าจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 20% หรือประมาณ 60,000 หน่วย แต่ในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. ที่ผ่านมาเท่านั้น ยอดโอนบ้านกลับพุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 62,796 หน่วย เพราะผู้ประกอบการมีการเร่งทำยอดขาย โดยเฉพาะบริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้น ทำให้เพียง 1-2 เดือน มียอดโอนเพิ่มขึ้นถึง 7,000 หน่วย

ดังนั้น จึงมองว่าการที่หลายฝ่ายประมาณการไว้ว่าปี 2548 ตลาดจะโตถึง 15% นั้นอาจจะเป็นการประมาณการที่สูงเกินไป เพราะกำลังซื้อถูกดูดไปในช่วงปลายปี 2547 ค่อนข้างสูงมาก ประกอบกับกำลังการผลิตของผู้ประกอบการในตลาดยังมีขีดจำกัดและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยซึ่งส่งผลต่อกำลังการซื้อของผู้บริโภค รวมถึงการเข้มงวดในการปล่อยกู้โครงการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำให้ผู้ประกอบการขาดสภาพคล่อง โดยเฉพาะรายย่อย และยิ่งหากมีการประกาศใช้ กม.เอสโครว์ แอกเคานต์ จะยิ่งทำให้กำลังการผลิต ของตลาดลดลงเพราะผู้ผลิตรายย่อยจะหายไปจากตลาด เหตุไม่สามารถนำเงินดาวน์มาหมุนเป็นเงินก่อสร้างโครงการได้เหมือนเดิม

ดร.ธีระชน กล่าวว่า แม้จำนวนดีมานด์ในตลาดกรุงเทพฯ ปริมณฑล จะโตต่อปีประมาณ 1% หรือประมาณ 100,000 หน่วยต่อปี ซึ่งเกิดจากการขยายตัวของจำนวนประชากร ทำให้เชื่อว่าในปี 2548 นี้ การขยายตัวของตลาดน่าจะอยู่ที่ประมาณ 10% หรือจะมียอดจดทะเบียนบ้านใหม่ในปี 2548 ประมาณ 70,000 หน่วยเท่านั้น โดยแบ่งเป็นบ้านเดี่ยวประมาณ 35,000 หน่วย ทาวน์เฮาส์ 25,000 หน่วย คอนโดมิเนียมและอื่นๆ 10,000 หน่วย

สำหรับแนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมคาดว่าจะมียอดขายเติบโตประมาณ 15% และมียอดจดทะเบียนโตประมาณ 10% หรือประมาณ 10,000 หน่วย ส่วนการแข่งขันจะทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะตลาดระดับกลางถึงระดับสูง หรือราคา 2 ล้านบาทขึ้นไป เนื่องจากในปีนี้ ยักษ์ใหญ่หลายบริษัทเข้ามาลงเล่นในตลาดด้วย อาทิ บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)

ส่วนในตลาดล่างระดับราคา 5 แสนบาท ถึง 2 ล้านบาท การแข่งขันยังไม่สูง เพราะดีมานด์มีอยู่จำนวนมาก โดยผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าในตลาดระดับนี้ คือ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) จะยังขายดี และเชื่อว่ากำลังผลิตของทั้ง 2 รายดังกล่าว จะยังไม่สามารถรองรับความต้องการในตลาดได้เพียงพอ ส่วนตลาดคอนโดฯระดับไฮเอนด์ จะมีแชร์ตลาดอยู่ประมาณ 10% จำนวน ซัปพลายยังมากกว่าความต้องการทำให้ต้องหันไปจับตลาดลูกค้าต่างประเทศซึ่งมีกำลังการซื้อที่สูง

ดร.ธีระชน กล่าวว่า แนวโน้มตลาดทาวน์เฮาส์ คาดว่าในปีนี้จะเข้ามาแชร์ตลาดรวมอสังหาฯเพิ่มมากขึ้น โดยเชื่อว่าอัตราการเติบโตจะเท่าๆ กับบ้านเดี่ยว โดยเฉพาะทาวน์เฮาส์ที่อยู่ช่วงรอยเชื่อมต่อเมืองระดับราคา 2-4 ล้านบาท อาทิ ลาดพร้าว ที่มีดีมานด์อยู่เป็นจำนวนมาก

โดยคาดว่าในปีนี้ตลาดทาวน์เฮาส์จะมียอดจดทะเบียนประมาณ 25,000 หน่วย ซึ่งเชื่อว่าผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าอยู่ในตลาดยังมีกำลังการผลิตไม่พอต่อความต้องการ โดยรายใหญ่ๆ ที่มีกำลังการผลิตที่สูงๆ คือ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด ซึ่งมีกำลังผลิตต่อปีประมาณ 4,000 หน่วย และบริษัท เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีกำลังการผลิตต่อปีประมาณ 1,000 หน่วยต่อปี ส่วนบริษัทกรุงเทพบ้านและที่ดิน จำกัด มีกำลังการผลิตเพียง 200 หน่วยต่อปี

สำหรับแนวโน้มตลาดบ้านเดี่ยวปีนี้ ยังคงแข่งขันรุนแรงอยู่ และน่าเป็นห่วงโดยเฉพาะตลาดระดับ 3-5 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดที่มีดีมานด์กลุ่มใหญ่ เนื่องจากทุกค่ายหันมาจับตลาดเดียวกันหมด ซึ่งอาจจะเกิดเหตุการณ์เหมือนกับในช่วงปี 2545 ที่ทุกรายหันมาทำบ้านแพงเพราะเห็นว่ากำไรสูง จนทำให้ซัปพลายล้นตลาด อย่างไรก็ตามยังเชื่อว่าโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับตลาดบ้านแพงนั้นมีอยู่น้อยเนื่องจากจำนวนดีมานด์มีอยู่มาก   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us