Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มกราคม 2541








 
นิตยสารผู้จัดการ มกราคม 2541
"ส่งออก" ความหวังอันเรืองรอง ช่วยกอบกู้เศรษฐกิจไทย             
 


   
search resources

Import-Export




ภาคการส่งออกในยามนี้จะมีบทบาทเป็น "ฮีโร่ขี่ม้าขาว" มาช่วยกู้วิกฤติเศรษฐกิจไทยในทศวรรษนี้ เหมือนเช่นที่เคยมีบทบาทในทศวรรษที่ผ่านมาได้หรือไม่ ยังเป็นปัญหาที่หาคำตอบได้ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก แม้ว่าภาคการส่งออกจะได้รับผลกระทบในเชิงบวกจากการลดค่าเงินบาทในรอบนี้อย่างมาก แต่โครงสร้างการส่งออกสินค้าไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจากเดิม บวกกับปัญหาเรื่องสภาพคล่องที่แผ่ขยายไปยังทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ทำให้ภาครัฐและเอกชน ต้องเร่งผนึกกำลังทุกวิถีทางช่วยผู้ส่งออก โดยมุ่งหวังโกยรายได้สกุลเงินต่างประเทศ

ดูเหมือนว่าทุกยุคทุกสมัยของเศรษฐกิจไทยไม่ว่าจะอยู่ในภาวะผงกหัวขึ้น หรือกำลังดิ่งลงเหวเฉกเช่นปัจจุบัน ภาคอุตสาหกรรมส่งออกของไทยก็จะเป็นฮีโร่ขี่ม้าขาวมาช่วยประเทศชาติทุกครั้งไป แต่วิกฤติการณ์ในวันนี้ "การส่งออก" จะทำหน้าที่พระเอกได้มากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่ต้องรวมพลังกันพัฒนาอุตสาหกรรมการส่งออกของไทย ให้สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เนื่องจากเงื่อนไขทางเศรษฐกิจในยุคใหม่ได้ทำให้การแข่งขันทวีความรุนแรงมากขึ้น

ทั้งนี้ ดร. นิตย์ จันทรมังคละศรี รองประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนา (TDRI) ได้เสนอ 3 มาตรการหลักที่จะช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมการส่งออกของไทยได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

มาตรการแรกคือ มาตรการฉุกเฉิน สำหรับปัญหาเร่งด่วนที่ภาครัฐจะต้องเป็นผู้ดำเนินการแก้ไขปัญหาสภาพคล่องของการผลิต ของทั้งภาคอุตสาหกรรมการส่งออก เพื่อให้ผู้ดำเนินธุรกิจสามารถดำเนินกิจการได้ นอกจากนั้น รัฐกับเอกชนต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังในการแก้ไขปัญหา ที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งออกของไทยในปัจจุบันเช่น เรื่องการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่รวดเร็วทัดเทียมประเทศคู่แข่ง การพัฒนาองค์กรต่างๆ เพื่อช่วยให้ภาคธุรกิจของไทยได้มาตรฐาน ISO มากขึ้น รวมทั้งต้องร่วมมือกันวางกลยุทธ์ในการส่งออกเชิงรุกในตอนนี้ให้ได้ เพื่อให้ภาคธุรกิจของไทยสามารถเข้าไปช่วงชิงตลาดอื่นให้ได้มากขึ้น

มาตรการระยะต่อไปเป็นมาตรการที่ต้องดำเนินการควบคู่ไปกับมาตรการฉุกเฉิน เพียงแต่ไม่เร่งด่วนเท่า ซึ่งในระยะต่อไปนี้ ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกจะต้องได้รับการพัฒนา ให้มีความเป็นนักธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล และเข้าใจในเงื่อนไขกติกาใหม่ของการค้าและการผลิต ขณะเดียวกันผู้ส่งออกของไทยต้องมองภาพของตลาดรวมทั้งโลก เพื่อจะเข้าไปช่วงชิงและแข่งขันให้ได้มากกว่าเดิมที่มองหาเพียงตลาดเล็กเท่านั้น

มาตรการในระยะนี้นอกจากภาคอุตสาหกรรมจะต้องปรับตัวแล้ว ภาครัฐเองก็ต้องปรับด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการสนุบสนุนการส่งออก เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว มิฉะนั้นภาครัฐก็จะกลายเป็นตัวถ่วงแก่ภาคเอกชน

มาตรการสุดท้ายคือ มาตรการระยะยาวภาคอุตสาหกรรมของไทยต้องมีการปรับโครงสร้าง เพื่อรองรับการแข่งขันในอนาคต

"ประเทศไทยต้องพัฒนาอุตสาหกรรมไปในทิศทางที่อาศัยข้อได้เปรียบทางทรัพยากร เพื่อการพัฒนาไปสู่ข้อได้เปรียบทางปัญญา คือต้องมีการพัฒนาอุตสาหกรรมที่มีการใช้เทคโนโลยีชั้นสูงขึ้น พร้อมกันนั้นก็ต้องพัฒนาคนควบคู่กันไปด้วย ซึ่งหากเราหยุดชะงักในการพัฒนาคน การปรับเปลี่ยนโครงสร้างอุตสาหกรรมและการสร้างความเข้มแข็งในการผลิตก็จะไม่เกิดขึ้น ขณะที่ประเทศอื่นเขาแซงเราไปหมดแล้ว นอกจากนั้นรัฐบาลต้องมีมาตรการสนับสนุน ให้บรรษัทข้ามชาติเข้ามาช่วยพัฒนาขีดความสามารถทางเทคโนโลยี และการพัฒนาบุคลากรของเราให้มากขึ้น" ดร. นิตย์ ขยายความ

สำหรับระยะเวลาของการดำเนินมาตรการต่างๆ ที่รัฐและเอกชนควรจะทำนั้น ดร. นิตย์กล่าวว่า

"เราต้องฉกฉวยโอกาสที่เราเข้าขั้นโคม่านี้ เร่งแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้ลุล่วงโดยเร็วและถ้าเราสามารถฟื้นได้ เราก็ต้องเร่งสร้างความเข้มแข็งในภาคอุตสาหกรรม เพื่อสามารถแข่งขันกับประเทศอื่นท่ามกลางกระแสการค้าที่รุนแรงยิ่งขึ้นได้ เราจะต้องมีแผนงานที่เป็นระบบไม่ใช่แผนฉาบฉวย และต้องทำอย่างจริงจัง ต้องสร้างคนให้เปลี่ยนจากพ่อค้ามาเป็นนักธุรกิจ นักอุตสาหกรรมยุคใหม่ และรัฐเองก็ต้องมีการปรับตัวอย่างมโหฬารด้วย ซึ่งมาตรการฉุกเฉินนั้นผมให้เวลาไม่เกิน 6 เดือนนับจากนี้ที่เราจะต้องทำให้ได้

ส่วนแผนระยะต่อไป เราก็ต้องเริ่มคิดตั้งแต่วันนี้ ซึ่งอาจจะไปบรรลุผลในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากการปรับการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐ รวมทั้งการพัฒนาผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมให้เป็นนักธุรกิจต้องใช้เวลานานหลายปี และแผนระยะยาว ซึ่งคือการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมทั้งระบบเพื่อสร้างรากฐานการแข่งขันในระยะยาว ก็ต้องเริ่มคิดเริ่มทำตั้งแต่ปัจจุบัน ซึ่งกว่าจะเห็นผลจริงจังก็อีกประมาณ 3-5 ปี หรือภายใน 3-5 ปีนี้อาจจะไม่เห็นผลอะไรเลยก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความจริงจังของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แต่ถ้าภายใน 5 ปีข้างหน้านี้เรายังไม่ได้ทำในสิ่งสุดท้ายที่ผมพูด ประเทศไทยก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว เพราะประเทศอื่นเขามีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง และเขาก็พร้อมที่จะเหยียบข้ามเราไป"

"การส่งออก" ความหวังเดียวของเศรษฐกิจไทย

บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (IFCT) ได้เสนอสัญญาณภาวะถดถอยของภาคการผลิตและการลงทุนของไทย ซึ่งส่อเค้ามาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2540 โดยพิจารณาจากตัวเลขดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่มีการหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี อีกทั้งดัชนีการลงทุนของภาคเอกชนก็อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเกณฑ์การขยายตัว ซึ่งคาดว่าจะยังคงตกต่ำต่อไปอีกจนอยู่ในระดับต่ำสุดในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2541 ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้เคยเกิดมาแล้วในช่วงปี 2528-2529 ทำให้การลงทุนโดยรวมลดลง

นอกจากนั้นในส่วนของภาครัฐบาลก็มีการปรับลดงบประมาณรายจ่ายในปี' 41 ลงเป็นจำนวนมาก รวมเป็นวงเงินที่ถูกตัดทั้งสิ้น 203,080 ล้านบาท หรือภาครัฐจะเหลืองบประมาณรายจ่ายในปี' 41 เพียง 805,000 ล้านบาทเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อเป็นไปตามเงื่อนไขของ IMF ที่กำหนดให้งบประมาณในปี' 41 เกินดุลร้อยละ 1 ของ GDP ซึ่งกรณีนี้จะทำให้การใช้จ่ายของภาครัฐทั้งด้านการบริโภคและการลงทุนหดตัวไปด้วยเช่นกัน ดังนั้น การส่งออกจึงเป็นความหวังเดียวที่จะเป็นตัวช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยให้อยู่รอดได้ในเวลานี้ โดยอาศัยความได้เปรียบจากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง

"ก่อนการปล่อยค่าเงินบาทลอยตัว หลายคนบอกว่า ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก เพราะเรายังนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศเข้ามาเยอะ แต่หากพิจารณากันจริงๆ แล้วมีหลายอุตสาหกรรมที่ได้รับผลบวกจากการที่ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงได้แก่ อุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบในประเทศและผลิตสินค้าส่งออกไปขายยังต่างประเทศ ซึ่งอุตสาหกรรมเหล่านี้ส่งผลให้ตัวเลขอัตราการเติบโตของการส่งออกสูงขึ้น และจะเห็นผลได้ชัดเจนประมาณ 1-2 ไตรมาสข้างหน้า ตอนที่เราลดค่าเงินบาทเมื่อปี 1984 ต้องใช้เวลาทั้ง 3 ไตรมาสกว่าที่จะเห็นผลประโยชน์อย่างชัดเจน" ดร. ธีระ อัชกุล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ IFCT ชี้แจง

นอกจากนี้เขายังเสนอผลของการวิเคราะห์ผลกระทบ ที่เกิดจากการที่ค่าเงินอ่อนตัวต่ออุตสาหกรรมของไทยด้วย PROFIT MARGIN INDEX ซึ่งเป็นดัชนีที่ชี้ถึงผลต่างของผลประโยชน์ที่ได้จากการส่งออกกับต้นทุนจากการขายในประเทศ พบว่า PROFIT MARGIN ในหลายอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น แม้ว่าโครงสร้างการผลิตของไทยในช่วงที่ผ่านมา ยังต้องพึ่งพิงการนำเข้าวัตถุดิบและเครื่องจักรจากต่างประเทศในสัดส่วนที่สูงอยู่

อุตสาหกรรมที่มี PROFIT MARGIN สูงขึ้นอย่างชัดเจนได้แก่ สินค้าส่งออกหมวด ยางพารา สับปะรดกระป๋อง และของเล่นพลาสติก โดยเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 30% ส่วนสินค้าในหมวดเครื่องปรับอากาศ เครื่องรับโทรทัศน์ พัดลม เครื่องนุ่งห่มและเสื้อผ้าสำเร็จรูป รองเท้าและชิ้นส่วนอัญมณีและเครื่องประดับ เพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 15-30% ขณะที่หมวดอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ตลับลูกปืนอิเล็กทรอนิกส์ แผ่นวงจรพิมพ์ คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน และแผงวงจรไฟฟ้า เพิ่มขึ้นประมาณ 10-14%

ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี' 40 นี้ ผลของการอ่อนตัวลงของค่าเงินบาทได้ส่งผลต่อตัวเลขของการส่งออกที่ชัดเจนขึ้น โดยคาดว่าการส่งออกโดยเฉลี่ยทั้งปี' 0 นี้จะขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 4.1% (ในรูปของดอลลาร์สหรัฐ) หรือประมาณ 25.4% (ในรูปเงินบาท) ซึ่งตัวเลขส่งออกในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาของปีนี้อยู่ที่ประมาณ 2% (ในรูปของดอลลาร์สหรัฐ) หรือประมาณ 14% (ในรูปบาท) และคาดว่าประมาณการการขยายตัวของการส่งออกในช่วงปี' 41 น่าจะอยู่ในระดับประมาณ 15% (ในรูปดอลลาร์สหรัฐ) หรือประมาณ 39% ในรูปบาท ขณะที่การนำเข้าโดยรวมลดลงประมาณ 8% และเพิ่มขึ้นประมาณ 5.3% (ในรูปดอลลาร์สหรัฐ) ในปี' 40 และปี' 41 ตามลำดับ หรือในรูปของเงินบาทก็เพิ่มขึ้นประมาณ 9.5% และ 28.9% ในปี' 40 และปี' 41 ตามลำดับ ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลลดลงจากร้อยละ 8.1 ของ GDP เป็นร้อยละ 3.6 และ 1.2 ในปี' 40 และปี' 41 ตามลำดับ ซึ่งเป็นไปตามที่ IMF ได้กำหนดว่า ตัวเลขการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยในปี' 41 จะต้องไม่เกิน 3% ของ GDP

"ถึงแม้ตัวเลขการส่งออกในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะบูมสุดขีดโดยเฉพาะในรูปของเงินบาท แต่ก็จะทำให้ตัวเลขการขยายตัวของการส่งออกทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 10% เท่านั้นเอง เนื่องจากในช่วงก่อนเดือนกรกฎาคมคือ ก่อนที่จะมีการปล่อยค่าเงินบาทลอยตัว ตัวเลขการส่งออกของเราอยู่ในข่ายโคม่าทีเดียว ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นตลอดทั้งปี ตัวเลขการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของเราคงอยู่ที่ประมาณ 9-10% แน่นอน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าที่ทาง IMF กำหนดไว้อีก" ดร. ธีระกล่าว

กระนั้นก็ตาม ดร. ธีระได้ให้ความเห็นว่า การผลักดันการส่งออก โดยอาศัยเพียงข้อได้เปรียบจากการอ่อนตัวของค่าเงินบาทเพียงอย่างเดียวนั้น อาจจะได้ประโยชน์ไม่เต็มที่นัก เมื่อพิจารณาจากโครงสร้างการผลิตและภาวะการแข่งขันในต่างประเทศ เนื่องจากอุตสาหกรรมไทยส่วนใหญ่ยังอยู่ในช่วงของการปรับตัว ไปสู่การผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น เพื่อหลีกหนีคู่แข่งที่กำลังไล่ตามมาติดๆ ซึ่งประเทศเหล่านั้นมีค่าแรงที่ถูกกว่าแรงงานไทย ยิ่งกว่านั้นการที่ตลาดหลักของสินค้าส่งออกของไทยอยู่ในแถบอาเซียน ซึ่งภาวะเศรษฐกิจและค่าเงินของประเทศเหล่านี้ก็อยู่ในขาลงเช่นเดียวกัน จึงทำให้กำลังซื้อในประเทศเหล่านี้ลดน้อยลงไปด้วย

ดังนั้น การขยายตัวของการส่งออกไทยโดยรวม ในระยะสั้นนี้น่าจะอยู่ในระดับปานกลางไม่สูงเหมือนดังเช่น 10 ปีที่ผ่านมาที่อยู่ในช่วงร้อยละ 20-30 (ในรูปของดอลลาร์สหรัฐ) และในระยะยาวสินค้าส่งออกหลักของไทยก็ยังคงเผชิญอยู่กับข้อจำกัดที่ควรเร่งแก้ไข เช่น ประสิทธิภาพในการผลิต คุณภาพแรงงาน ความสามารถในการเสริมสร้างตลาด ระบบโครงสร้างพื้นฐาน หรือแม้แต่ระบบการเมือง ซึ่งประเด็นปัญหาเหล่านี้เป็นเงื่อนไขสำคัญและจำเป็นที่จะต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมของไทยสามารถยืนหยัดสู้กับคู่แข่งในตลาดโลกได้

"แน่นอน การส่งออกเป็นตัวที่ทำให้เศรษฐกิจเราไม่ตาย แต่ต่างประเทศเขาไม่สนใจหรอกว่าตัวเลขส่งออกเราจะดีแค่ไหน หรือดุลการค้าเราจะเป็นอย่างไร ตอนนี้เขาสนใจแต่ว่า เขาเอาเงินมาให้เรากู้แล้วจะไม่ได้คืน ซึ่งรัฐบาลไทยต้องเร่งแก้ปัญหานี้โดยเร็ว เมื่อความเชื่อมั่นในการใช้หนี้ของไทยกลับคืนมาแล้ว เขาถึงจะหันมาดู REAL SECTOR ของเรา ฉะนั้นรัฐต้องแสดงให้เวทีโลกเห็นว่า รัฐบาลไทยจริงจังและจริงใจกับการแก้ไขปัญหา เมื่อเราแสดงว่าเราช่วยตัวเองอย่างเต็มที่ก่อน การขอความช่วยเหลือจากเวทีโลกก็จะง่ายขึ้น" นี่คือความเห็นของนักวิชาการค่าย IFCT

กรมส่งเสริมการส่งออกไม่อยู่เฉย เร่งสนับสนุนการส่งออกไทยทุกวิถีทาง

กรมส่งเสริมการส่งออก สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหน่วยงานที่ใกล้ชิดกับผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมการส่งออกของไทย ได้ตระหนักถึงปัญหาที่บรรดาผู้ส่งออกของไทยเผชิญอยู่เป็นอย่างดี และได้พยายามหาทางที่จะบรรเทาปัญหาเหล่านั้น โดยปัญหาเร่งด่วนที่ต้องเร่งแก้ไขก็คือ ปัญหาเรื่องสภาพคล่องของผู้ส่งออก ซึ่ง จันทรา บูรณฤกษ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออกได้เปิดเผยถึงแนวทางที่ทางกรมส่งเสริมฯ ได้ร่วมมือกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารพาณิชย์ ในการหารือกันเพื่อช่วยเหลือเรื่องสภาพคล่องของผู้ส่งออก โดยทางกรมส่งเสริมฯ ได้ส่งแบบสอบถามไปยังผู้ผลิตเพื่อการส่งออกจำนวนกว่า 1,000 ราย ผ่านทางสภาหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อสำรวจและรวบรวมรายชื่อผู้ส่งออกที่ประสบปัญหาทางการเงิน โดยกรมส่งเสริมฯ ได้ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการจัดให้ผู้ส่งออกที่ประสบปัญหาได้พบกับหน่วยงานธนาคารต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหา

จากผลการสำรวจ สามารถแบ่งผู้ส่งออกที่ประสบปัญหาเรื่องสภาพคล่องออกเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มทุนขาว ซึ่งเป็นกลุ่มที่ทางธนาคารน่าจะอนุมัติวงเงินกู้ได้ทันที แต่ก็ยังไม่ได้รับการอนุมัติเนื่องจากผู้ส่งออกไม่มีหลักประกันเพียงพอ กลุ่มนี้มีอยู่ประมาณ 53% ของจำนวนที่สำรวจได้ประมาณ 300 ราย คิดเป็นวงเงินที่ต้องการทั้งสิ้นประมาณ 5,000 ล้านบาท กรมส่งเสริมฯ ก็ได้ประสานงานกับทางเอ็กซิมแบงก์ เพื่ออนุมัติเงินกู้ส่วนนี้ให้กับกลุ่มทุนขาวในทันที

กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มทุนเทา กลุ่มนี้มีปัญหาติดขัดบางประการที่ต้องได้รับมาตรการสนับสนุนจากทางภาครัฐ กลุ่มนี้มีประมาณ 37% ของจำนวนที่สำรวจได้ คิดเป็นวงเงินที่ต้องการทั้งสิ้น 4,900 ล้านบาท ทางกรมส่งเสริมฯ ก็ได้หารือกับทางแบงก์ชาติ ถึงวงเงินที่เหลืออยู่ประมาณ 20,000 ล้านบาทที่จะให้ธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยสินเชื่อได้

กลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มที่มีปัญหาภายในองค์กรเอง กลุ่มนี้ทางกรมส่งเสริมฯ จะไม่เสนอให้ได้รับการอนุมัติเงินกู้ เนื่องจากมีปัญหาหนี้เสียสูงมากจนมองไม่เห็นหนทางที่จะนำรายได้มาชำระได้ กลุ่มนี้มีเพียง 7 รายเท่านั้น หรือคิดเป็นประมาณ 10% ของที่สำรวจได้

ทั้งนี้ ตัวเลขนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผู้ที่ประสบปัญหาเรื่องสภาพคล่องที่ทางกรมส่งเสริมฯ สามารถสำรวจได้เมื่อเดือนพฤศจิกายนเท่านั้น

นอกจากนี้ ทางกระทรวงพาณิชย์ได้มีนโยบายสนับสนุนให้ผู้ส่งออกมีการใช้ EXPORT CREDIT INSURANCE กับทางเอ็กซิมแบงก์ให้มากขึ้น โดยเฉพาะกรณีที่ผู้ส่งออกไม่มี LC ค้ำประกัน รวมทั้งสนับสนุนให้มีการค้ำประกันในรูปแบบของ PRESHIPMENT INSURANCE เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์มั่นใจว่าจะได้รับการชำระหนี้ตามเวลา และทางเอ็กซิมแบงก์ได้มีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการให้กู้สำหรับผู้ส่งออกที่มีหนี้เดิมอย ู่โดยการให้กู้จะต้องมีมาตรการพิเศษเพื่อควบคุมไม่ให้ผู้ส่งออกนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ และเมื่อใดที่ผู้ส่งออกได้รับเงินค่าสินค้าแล้วให้นำมาชำระคืนเงินกู้ใหม่ พร้อมทั้งแบ่งส่วนกำไรที่ได้นำมาชำระคืนหนี้เดิมประมาณ 20%

สำหรับปัญหาเรื่องโครงสร้างภาษีที่ไม่สอดคล้องกันทั้งระบบ รองอธิบดีกรมส่งเสริมฯ ได้เปิดเผยถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหานี้ว่า

"กรมส่งเสริมฯ ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงการคลังและกรมศุลกากร ซึ่งล่าสุดได้มีการผลักดันให้กลุ่มผู้ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยประกาศเป็นพระราชกำหนดของกระทรวงการคลังเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา"

ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นเป็นปัญหาและแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการเงิน แต่กรมส่งเสริมฯ มิได้มีหน้าที่เพียงเท่านั้น บทบาทที่สำคัญของกรมส่งเสริมฯ อีกด้านหนึ่งคือการทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการหาตลาดให้กับผู้ส่งออกไทย ซึ่งปัจจุบันกรมส่งเสริมฯ มีโครงการมากมายที่จะรองรับการรักษาตลาดเก่าและขณะเดียวกันก็มองหาตลาดใหม่ด้วย

"ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาเรามีส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศกลุ่มอาเซียนด้วยกันประมาณ 21% ซึ่งมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 13 จากปีที่ผ่านมา ส่วนตลาดรองลงมาคือตลาดอเมริกาที่เรามีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 19% และมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 19 แต่สิ่งที่อยากจะเน้นให้ผู้ส่งออกทราบคือ ในที่สุดแล้วเกมการค้าระหว่างประเทศ เราจำเป็นต้องพึ่งพาการค้าขายซึ่งกันและกันในกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิกด้วยกันเอง" รองอธิบดีกรมส่งเสริมฯ กล่าว

นอกจากนี้ กรมส่งเสริมฯ ได้ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการและเป็นตัวประสานระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการวางกลยุทธ์การส่งออกทั้งระยะสั้นและระยะยาว

"มาตรการในระยะสั้นที่เราต้องทำอย่างรวดเร็วคือ การเชิญผู้ซื้อจากต่างประเทศเข้ามาติดต่อกับผู้ส่งออกของเราโดยตรง นอกจากนั้น เราก็มีการย้ายสำนักงานของเราในประเทศคู่ค้าเดิมที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหว ไปยังประเทศที่มีศักยภาพที่สูงกว่า ยิ่งกว่านั้น ขณะนี้ทางกระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรมในการจัดตั้งสถาบันอาหาร สถาบันสิ่งทอ สถาบันเครื่องหนัง และสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมอะไหล่รถยนต์ โดยมีการให้ข้อมูลข่าวสารการฝึกอบรมและการสัมมนา เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมต่างๆ ให้สามารถแข่งขันได้ต่อไปในอนาคต รวมทั้งเรายังมีโครงการส่งเสริมธุรกิจบริการซึ่งน่าจะทำรายได้เข้าประเทศเราได้มาก ได้แก่ ธุรกิจบันเทิง ธุรกิจร้านอาหารไทย ธุรกิจสุขภาพความงาม ธุรกิจการแพทย์ และธุรกิจการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ อีกด้วย

ส่วนมาตรการระยะกลาง เราก็พยายามที่จะลดต้นทุนการผลิตสินค้า โดยพยายามจะผลักดันในเรื่องของการลดหย่อนภาษีนำเข้าวัตถุดิบที่จำเป็น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสิ่งทอและอุตสาหกรรมเครื่องหนัง และพยายามผลักดันและแก้ไขการคืนภาษีนำเข้าวัตถุดิบและระบบภาษีมูลค่าเพิ่มที่ล่าช้า" รองอธิบดีกรมส่งเสริมฯ กล่าวชี้แจง

นอกจากนี้ทางกรมส่งเสริมฯ ยังมีการพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ส่งออกในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ โดยมีการประสานงานระหว่างสำนักงานในต่างประเทศและในประเทศไทยให้ได้ข้อมูลที่ทันสมัย และอีกประการที่สำคัญคือ กรมส่งเสริมฯ มีนโยบายที่จะสนับสนุนผู้ผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ใช้วัตถุดิบในประเทศไทย และยังไม่เคยส่งออกให้ฉกฉวยโอกาสในช่วงนี้กระจายสินค้าของตนไปยังต่างประเทศ โดยให้ทางสถาบันฝึกอบรมการค้าระหว่างประเทศ กรมส่งเสริมฯ จัดฝึกอบรมให้ผู้ประกอบการรู้ถึงกระบวนการส่งออกตั้งแต่ขั้นต้น และกรมส่งเสริมฯ ยังมีนโยบายที่จะสนับสนุนสินค้าไทยที่ใช้แบรนด์เนมเป็นของตัวเองด้วย

ทั้งนี้ ปัญหาต่างๆ ที่ผู้ส่งออกประสบอยู่ในปัจจุบันจะสามารถคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับนโยบายและการดำเนินงานที่จริงจังและถูกทิศทางของทั้งภาครัฐ และเอกชนเองก็ต้องพร้อมที่จะปรับตัวให้สู้กับการแข่งขันในโลกยุคใหม่ได้ มิฉะนั้น ประเทศไทยก็จะไม่เหลือฮีโร่ขี่ม้าขาวมาช่วยอีกต่อไป

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us