บง.ธนชาติ ชี้ดอกเบี้ยเช่าซื้อปรับขึ้นตามดอกเบี้ยตลาด คาดทั้งปีขยับ 0.50 % ระบุยังคงดอกเบี้ยไว้จนถึงครึ่งปีแรก หลังจากนั้นพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยรถยนต์ใหม่ ส่วนดอกเบี้ยรถมือสองยังคงมีส่วนต่างสูงอยู่ พร้อมวางเป้าเน้นลุยสินเชื่อรถมือสองเพิ่มขึ้นกว่า 22 % หรือเพิ่ม 1.3 หมื่นล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 45% ขณะที่เป้าสินเชื่อรถยนต์รวม 1.5 แสนคัน วงเงินรวม 6 หมื่นล้านบาท
นายบัณฑิต ชีวะธนรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเงินทุนธนชาติ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเริ่มปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าเป็นต้นทุนของสถาบันการเงิน คาดว่าในครึ่งปีหลังอัตราดอกเบี้ยเงินฝากน่าจะปรับขึ้น โดยบง.ธนชาติ พยายามที่จะตรึงอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อไว้ในช่วงครึ่งปีแรก คาดว่าจะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยตามตลาด หลังจากนั้นอาจจะต้องมีการพิจารณาถึงเรื่องอัตราดอกเบี้ยกันใหม่
ทั้งนี้ บง.ธนชาติมองว่าทั้งปีดอกเบี้ยของสินเชื่อเช่าซื้อน่าจะปรับขึ้นไม่เกิน 0.5% โดยส่วนใหญ่จะเป็นสินเชื่อของรถใหม่ เนื่องจากมีส่วนต่างดอกเบี้ยที่เข้ามาเป็นรายได้น้อยมาก คาดว่าทั้งจะปรับขึ้นอยู่ที่ระดับ 3.5-3.7% จากปัจจุบันที่คิดอัตราดอกเบี้ย 2.9% ส่วนรถมือสองนั้นคาดว่าจะคงดอกเบี้ยไว้ ขณะนี้อยู่ที่ระดับ 4% ขึ้นอยู่กับอายุของรถยนต์ และยังมีส่วนต่างที่เข้ามาเป็นรายได้ประมาณ 5% จึงไม่ต้องการที่จะเป็นภาระแก่ลูกค้ามากนัก อีกทั้งยังคงรักษาฐานลูกค้าให้มีส่วนแบ่งการตลาดสูงที่สุด
สำหรับธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ในปี 2548 ของบริษัท ตั้งเป้าการให้เช่าซื้อรถยนต์ไว้ประมาณ 150,000 คัน วงเงิน 60,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ที่ให้เช่าซื้อ 135,000 คัน วงเงิน 53,754 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น6,300 ล้านบาท หรือเติบโต 12% แบ่งเป็นรถยนต์ใหม่ 100,500 คัน วงเงิน 47,000 ล้านบาท รถยนต์มือสอง จำนวน 49,500 คัน วงเงิน 13,000 ล้านบาท โดยปีนี้บริษัทปรับเป้าหมายเน้นให้เช่าซื้อรถยนต์มือสองมากขึ้น จากสัดส่วนประมาณ 17% มาเป็น 22% เนื่องจากผลตอบแทนการให้เช่าซื้อรถยนต์มือ 2 สูงกว่ารถยนต์ใหม่
สำหรับในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2548 บริษัทได้ให้บริการเช่าซื้อรถยนต์ไปแล้วประมาณ 22,000 คัน วงเงินประมาณ 6,800 ล้านบาท เป็นรถยนต์ใหม่ 6,900 ล้านบาท รถยนต์มือ 2 ประมาณ 1,700 ล้านบาท ซึ่งก็คาดว่าในปีนี้ตลาดเช่าซื้อรถยนต์ยังคงเติบโตในทิศทางเดียวกับการขายรถยนต์ และคาดว่าจะมีรถยนต์ออกใหม่ประมาณ 690,000 คัน อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าผลกระทบจากราคาน้ำมันดีเซลที่สูงขึ้น และเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิได้กระทบ ทำให้ยอดเช่าซื้อรถยนต์ลดลงบ้าง แต่บริษัทก็มั่นใจว่า ยอดเช่าซื้อจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ส่วนกรณีที่ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งจะเน้นทำธุรกิจลีสซิ่งในปีนี้นั้น นายบัณฑิตกล่าวว่า บริษัทไม่ห่วงว่าจะมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นโดยรถยนต์ใหม่บริษัทมีมาร์เกตแชร์เป็นอันดับหนึ่งในตลาด และการแข่งขันในธุรกิจลีสซิ่ง การปล่อยสินเชื่อธนาคารจะต้องเข้าไปหาลูกค้าตามโชว์รูม เต็นท์รถ ซึ่งบริษัทมีความชำนาญ ขณะนี้การมีสาขามากไม่ได้มีส่วนในการเพิ่มลูกค้าให้เพิ่มขึ้น แต่เป็นการอำนวยสะดวกในการชำระเงินเท่านั้น
นายบัณฑิต กล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2548 เป็นต้นไป บริษัทจะสามารถทำธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ผ่านสาขาของธนาคารธนชาตได้ โดยในระยะแรกบริษัทจะเน้นเฉพาะลูกค้าในกรุงเทพฯ และลูกค้าใหม่เท่านั้น และหลังจากรวมกิจการกับธนาคารธนชาตแล้ว จะสามารถให้บริการได้ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด
ปัจจุบัน บง.ธนชาติมีสาขาประมาณ 16 แห่ง ส่วนธนาคารธนชาตมีสาขา 17-18 แห่ง ซึ่งเมื่อรวมกิจการเข้าด้วยกันจะทำให้มีสาขารวมกันกว่า 30 แห่ง และในปี 2549 มีเป้าหมายที่จะขยายสาขาให้ได้ 180-200 สาขา เพื่อรองรับการขยายจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นและอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า
|