ในภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำอย่างหนัก ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมขนาดใหญ่
ไม่ว่าสถาบันการเงิน สื่อสาร พลังงาน ปิโตรเคมี รถยนต์ ที่ล้วนแต่เคยเป็น
"ฟันเฟือง" สำคัญของเศรษฐกิจต้องได้รับบาดเจ็บจากพิษค่าเงินบาทกันไปถ้วนหน้า
และบางรายอาจถึงขั้นล่มสลาย
แต่ทุกวิกฤติการณ์ย่อมมีโอกาส ภายใต้ทฤษฎีของการกลับสู่ยุคเศรษฐกิจขั้นพื้นฐาน
"ธุรกิจขนาดย่อม" หน่ออ่อนเล็กๆ ของเศรษฐกิจ หลายแห่งไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเหล่านี้
ด้วยขนาดและเงินทุนที่ย่อมเยา ใช้วัตถุดิบในประเทศ หนำซ้ำยังสามารถทำเงินดอลลาร์เข้าประเทศได้ด้วย
กองทัพมดเหล่านี้กำลังกลายเป็นคำตอบสำหรับการเอาตัวรอดในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ
และอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญในอนาคตก็ว่าได้
"แม่ศรี" ส่งออกน้ำพริกไทย ถึงไม่โตฮวบฮาบ แต่ยอดไม่มีตก
น้ำพริกแม่ศรี มีต้นกำเนิดที่ตลาดบน ใจกลางจังหวัดนครปฐม เมื่อราวปี พ.ศ.
2513-2514 นับถึงวันนี้เกือบครบ 30 ปี ที่มีชื่อน้ำพริกแม่ศรีอยู่ในตลาดธุรกิจน้ำพริกไทยรวมทั้งผู้บริโภคน้ำพริกในต่างประเทศ
จากจำนวนผู้ผลิตน้ำพริกเป็นอุตสาหกรรมขนาดย่อมอยู่ประมาณ 7-8 รายในประเทศไทย
ระยะเวลาเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจน้ำพริกไม่ใช่ธุรกิจที่ทำรายได้สะดุดตามากนักในสายตาของนักลงทุนทั่วไป
แต่คงมีไม่กี่คนที่จะรู้ว่าธุรกิจน้ำพริกเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
แม้แต่ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยตกต่ำมากอย่างในช่วงนี้
เช่นเดียวกับธุรกิจส่งออกน้ำพริกของแม่ศรี ที่ยังสามารถมีการเติบโตอยู่ได้โดยไม่ตกไปตามกระแสเศรษฐกิจแต่อย่างไร
ทั้งนี้ก็ต้องยอมรับว่าบางขั้นตอนของการดำเนินธุรกิจ ก็ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมอยู่บ้าง
เช่น เรื่องของต้นทุนวัตถุดิบ เป็นต้น
ประสิทธิ์ นิยมทรัพย์ ผู้จัดการห้างหุ้นส่วนน้ำพริกแม่ศรี จำกัด เปิดเผยกับ
"ผู้จัดการรายเดือน" ถึงที่มาคร่าวๆ ของน้ำพริกแม่ศรี ซึ่งมีที่มาจากชื่อเล่นของสมศรี
มารดาของประสิทธิ์ ผู้คิดทำน้ำพริกออกขายนี้เอง พร้อมทั้งเล่าวิธีการทำตลาดของน้ำพริกแม่ศรีในยุคแรกๆ ว่า
"เราเริ่มจากการมีร้านในตลาด คุณพ่อคุณแม่ทำขายในตลาดนครปฐมแล้วขยายไปกรุงเทพฯ
ผมมีพี่สาวทั้งหมด 7 คน พี่สาวที่เรียนธรรมศาสตร์ ก็หิ้วไปฝากขายแถวท่าพระจันทร์
คุณแม่เองก็เป็นคนพาหุรัด ก็เลยรู้จักแล้วไปฝากร้านค้าแถวนั้นขาย ต่อมาก็ขยายส่งไปที่ต่างๆ ในประเทศ โดยลูกค้าจะเป็นคนมารับไปเอง"
เมื่อขายดีขึ้นเรื่อยๆ คือมีรายได้ในช่วงปี 2513-2514 ประมาณ 5-6 พันบาท
ซึ่งถือว่ามากในยุคนั้น น้ำพริกแม่ศรีก็ขยายกิจการด้วยการเช่าห้องแถวเพื่อผลิตน้ำพริกเพิ่ม
ก่อนจะขยายกิจการมาสร้างโรงงานผลิตน้ำพริกบนเนื้อที่ 6 ไร่ครึ่ง ในปี 2523
ที่ริมถนนเพชรเกษม อ. เมือง จ. นครปฐม หลังจากที่เริ่มมีการส่งออกน้ำพริกไปขายต่างประเทศครั้งแรกเมื่อปี
2517
สรุปถึงตอนนี้ น้ำพริกแม่ศรีมีช่องทางการจำหน่ายอยู่ 3 แห่ง คือ ร้านแรกที่ตลาดบน
ร้านหน้าองค์พระปฐมเจดีย์ และโรงงานผลิตเพื่อขายและส่งออกต่างประเทศอีกช่องทางหนึ่ง
ประสิทธิ์ กล่าวว่า การส่งออกครั้งแรกของน้ำพริกแม่ศรี เริ่มจากความคิดที่เห็นนักเรียนไทยไปศึกษาต่อต่างประเทศเป็นจำนวนมาก
จึงตัดสินใจทำน้ำพริกส่งออก ซึ่งขณะนั้นทางบ้านของประสิทธิ์ นอกจากจะมีน้ำพริกแม่ศรีแล้ว
ยังมีธุรกิจน้ำอัดลมอยู่ด้วย ก็ได้ตัดสินใจเลิกธุรกิจน้ำอัดลมหันมาทำธุรกิจน้ำพริกเพียงอย่างเดียว
"คุณพ่อผมเป็นคนชอบศึกษา แรกเริ่มทำน้ำอัดลมขายก่อน ก่อนที่จะมีพวกน้ำดำเข้ามาในเมืองไทย
พอเริ่มทำน้ำพริกส่งออกเมื่อปี 2527 ก็ทำอย่างเดียว มีเบเกอรี่ขายอีกนิดหน่อยที่ร้านในตลาด"
ประสิทธิ์ กล่าว
ปริมาณการส่งออกน้ำพริกครั้งแรกเมื่อปี 2527 มีมูลค่าประมาณ 7 ล้านบาทต่อปี
จากการส่งออกผลผลิตน้ำพริก 90% ของผลผลิตทั้งหมด ในรูปของบรรจุภัณฑ์กระป๋องพลาสติก
ก่อนจะพัฒนามาเป็นกระป๋องอะลูมิเนียมและขวดแก้วในปัจจุบัน
จากวันนั้นถึงวันนี้ ยี่ห้อน้ำพริกแม่ศรี ถือว่าติดตลาดแล้วทั้งในไทยและประเทศต่างๆ ทั้งนี้ประสิทธิ์กล่าวว่า เป็นเพราะน้ำพริกแม่ศรี เป็นรายแรกที่ทำการส่งออก
ทำให้ผู้บริโภคคุ้นลิ้นกับรสชาติมากกว่าน้ำพริกยี่ห้ออื่นซึ่งมีการส่งออกมากขึ้นในช่วงหลัง
"ต้องยอมรับว่าช่วงหลังมีคู่ค้าน้ำพริกมากขึ้น แต่ยังไม่ถึงกับเป็นคู่แข่งกัน
เพราะตลาดน้ำพริกเหมือนช่วยกันขยายตลาดมากกว่าแย่งกันขาย บางครั้งเราก็ผลิตให้กันในบางผลิตภัณฑ์
ตลาดที่มีอยู่จะแบ่งประเภทน้ำพริกกันเองในตัว ว่าถ้าเป็นแกงแดงต้องเป็นแม่ศรี
ถ้าเป็นเครื่องแกงกระป๋องต้องแม่พลอย หรือน้ำจิ้มไก่กับหน่อไม้ต้องพันท้ายนรสิงห์"
ประสิทธิ์ กล่าว
แม้คู่ค้าจะมากขึ้น แต่ผลิตภัณฑ์เดิมของแม่ศรีก็ยังคงความนิยมเช่นเดิม
และมีการคิดสูตรใหม่ๆ ขึ้นอีกอย่างน้อยปีละ 3 ชนิด เพราะตลาดน้ำพริกเติบโตขึ้นทุกไป
จนวันนี้ยอดการส่งออกของน้ำพริกแม่ศรี มีมูลค่าเติบโตมากถึง 80 ล้านบาทในปีล่าสุด
ในปัจจุบันมีผู้ผลิตน้ำพริกส่งออกอยู่ประมาณ 7 ราย อาทิ แม่ศรี แม่พลอย
แม่ประนอม พันท้ายนรสิงห์ และเอ็นอาร์ เป็นต้น
บางรายเป็นผู้ผลิตรายใหม่ที่เริ่มทำน้ำพริกส่งออกมาไม่เกิน 3 ปี และว่าจ้างให้แม่ศรีผลิตในบางผลิตภัณฑ์
หรือบางบริษัทก็ตั้งขึ้นเพื่อรับจ้างผลิตภายใต้ยี่ห้อของบริษัทอื่น ประเภทมือปืนรับจ้าง
ผู้ผลิตแต่ละรายจะมีผลิตภัณฑ์ที่เน้นเป็นที่รู้จักแตกต่างกันไป จึงไม่ทำให้เป็นคู่แข่งและแย่งตลาดกันเองในต่างประเทศ
แต่เป็นการเสริมซึ่งกันและกัน
สมัยเริ่มเปิดตลาดน้ำพริกในต่างประเทศ น้ำพริกแม่ศรีเริ่มเปิดตลาดด้วยแกงแดง
ซึ่งเป็นน้ำพริกตัวยืนของแม่ศรีมาจนทุกวันนี้ โดยเฉพาะผู้บริโภคน้ำพริกในอเมริกาจะใช้แกงแดงของแม่ศรีทั้งหมด
เพราะติดกับรสชาติ บางแห่งมีบริษัทมารับไปขาย ช่วงแรกๆ บริษัทที่รับสินค้าแม่ศรีส่งออกคือบริษัทไทยอกริฟู้ด
จำกัด และบริษัท ไทยเวิลด์ จำกัด
"การเปิดตลาดน้ำพริก จะเป็นลักษณะที่ว่าใครเข้าไปก่อน คนนั้นก็ยึดหัวหาดได้ก่อน
ขั้นตอนการนำสินค้าไปขาย ก็ต้องมีการวิจัยตลาดเอาสินค้าเข้าไปทดลองกับผู้บริโภคในประเทศนั้นๆ เหมือนกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ อย่างแม่ศรีใช้แกงแดงเปิดตลาดต่างประเทศก่อนใคร
ความนิยมและความคุ้นเคยกับผู้บริโภคก็จะมีมากกว่า" ประสิทธิ์ กล่าว
รวมผลิตภัณฑ์น้ำพริกของแม่ศรีและผลิตภัณฑ์อื่นๆ อาทิ หน่อไม้กระป๋อง มีผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกรวม
68 ชนิด มีแกงแดงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุด ตลาดส่งออกหลักๆ ได้แก่อเมริกา
ออสเตรเลีย อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยียม ฮอลแลนด์ ไต้หวัน มาเลเซีย สิงคโปร์
ฮ่องกง และกำลังจะเปิดตลาดที่ประเทศลาวและประเทศเดนมาร์กเป็นประเทศล่าสุดในปีนี้
"ที่ลาวมีร้านขายเครื่องไฟฟ้าติดต่อมา ขอเอาไปขาย เราก็งง ตอนหลังเขาถึงอธิบายว่าเขาไปอยู่อเมริกาแล้วกลับมา
เหมือนกับคนลาวที่กลับมาประเทศเยอะ แล้วคนเหล่านี้ก็ทำเครื่องแกงไม่เป็นแล้ว
เขาก็เลยติดต่อขอเอาเข้าไปขายในประเทศลาว เราก็เลยส่งไปขาย" ประสิทธิ์
กล่าว
สินค้าของแม่ศรีทั้งหมดจะวางขายตามร้านขายของชำของคนแถบเอเชียด้วยกันเอง
เพราะจะทำให้ราคาขายขายได้ถูก เช่น น้ำพริกขวดแก้วใหญ่ตกประมาณขวดละ 30 บาท
แต่ถ้าเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตท้องถิ่น ต้นทุนจะสูงขึ้นเป็นราคาประมาณ 36 บาท
ทั้งนี้ร้านค้าดังกล่าวจำต้องจำหน่ายเฉพาะผลิตภัณฑ์ของแม่ศรีเท่านั้น ยกเว้นแต่เป็นสินค้าที่แม่ศรีไม่ได้ผลิตจึงจะมีวางขายได้
เพราะมิเช่นนั้นจะถูกตัดสิทธิ์การเป็นผู้จำหน่ายสินค้าของแม่ศรี
"ถึงภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้เราก็มีออร์เดอร์เหมือนเดิม แต่อัตราการเติบโตจะน้อยลงบ้างแต่ก็ยังมีการเติบโต
กำไรอาจจะลดลงบ้างแต่ก็ยังได้กำไร อย่างตอนนี้กำไรก็เหลือประมาณ 15% จากก่อนหน้านั้นกำไรประมาณ
30% เพราะการผลิตน้ำพริกต้นทุนสูง ยิ่งปีหน้าสินค้าเกษตรแพงขึ้นกำไรก็คงเพิ่มขึ้นมากไม่ได้
แต่ยังสามารถมีการเติบโตได้บ้าง" ประสิทธิ์ กล่าว
หากมองในแง่ตลาด ถ้าต้นทุนเพิ่ม ผู้ผลิตก็น่าจะเพิ่มราคาสินค้า แต่สำหรับน้ำพริกหรือธุรกิจอาหารอื่น
ประสิทธิ์ กล่าวว่า แม้ค่าแรงจะขึ้น ต้นทุนสินค้าเกษตรขึ้น ทุกอย่างขึ้นหมด
รวมทั้งยอดขายก็เพิ่มขึ้น แต่ไม่สามารถฉวยโอกาสขึ้นราคาได้ในทันที เพราะนอกจากจะผิดจรรยาบรรณแล้วยังผิดกฎที่ว่าหากจะขึ้นราคาต้องแจ้งล่วงหน้า
6 เดือน แล้วที่ผ่านมาการขึ้นราคา 3 ปี จะขึ้นราคาหนึ่งครั้ง สำหรับการขึ้นราคาครั้งต่อไปคาดว่าน่าจะเป็นภายในปีนี้
"อีกสาเหตุหนึ่งที่เราไม่ได้กำไรมาก เพราะเราไม่ได้คิดจะฉวยประโยชน์จากค่าเงินดอลลาร์ต่อค่าเงินบาทที่อ่อนตัว
เรากะจะเก็บดอลลาร์ไว้เราก็ไม่ทำ แล้วการเจรจาซื้อขายน้ำพริกที่ส่งออก เราก็ตกลงราคากันตามค่าเงินบาท
ณ วันที่ซื้อ แม้จะจ่ายกันเป็นดอลลาร์ เรียกว่าเราเอากำไรเท่าเดิมตามค่าเงินบาท
เพราะลูกค้าก็รู้การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเหมือนกับที่เรารู้ ตอนนี้ราคาน้ำพริกจะตกประมาณ
1 ล้านบาที่ 20 ฟุตคอนเทนเนอร์ คิดมาเป็นดอลลาร์เท่าไรก็เท่านั้น" ประสิทธิ์
กล่าว
ปัจจุบันน้ำพริกแม่ศรีมีกำลังการผลิต 3 ตันต่อวัน ยังเหลือกำลังการผลิตที่สามารถเพิ่มได้อีกเท่าตัว
โดยสับเปลี่ยนสินค้าผลิตวันละชนิด และน้ำพริกแม่ศรียังมีแนวโน้มขยายการผลิตเพิ่มอีก
โดยจะสร้างโรงงานผลิตที่ประเทศมาเลเซีย แล้วให้บริษัทท้องถิ่นเป็นผู้ทำตลาด
ซึ่งจะได้ผลดีในแง่การผลิตจากเรื่องของภาษี และการสนับสนุนด้านภาษีที่ดินและโรงเรือนจากรัฐบาลมาเลเซีย
ประสิทธิ์คาดว่า จะมีการสรุปเรื่องโรงงานในมาเลเซียได้ในปีนี้ แล้วหากทุกอย่างลงเอย
จะใช้โรงงานที่มาเลเซียเป็นฐานการส่งออกน้ำพริกแถบเอเชีย รวมทั้งแข่งด้านการค้ากับผู้ผลิตน้ำพริกในแถบสิงคโปร์
มาเลเซียและอินโดนีเซีย ซึ่งมีตลาดในกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นมุสลิม ซึ่งจะมีการขอตราอาหารอิสลามให้ถูกต้อง
สุดท้ายคำแนะนำสำหรับคนที่จะทำน้ำพริกส่งออก ประสิทธิ์กล่าวว่าค่อนข้างยาก
เพราะในปีหน้าอเมริกาจะใช้กฎหมายใหม่ ผู้ผลิตอาหารส่งออกจะต้องมีห้องปฏิบัติการสำหรับตรวจสอบอาหาร
ซึ่งจะต้องใช้เงินลงทุนในส่วนนี้เกือบ 3 ล้านบาท นอกเหนือจากการลงทุนในส่วนอื่น
แต่ถ้าเป็นในรูปของธุรกิจน้ำพริกในครัวเรือนขายในประเทศ ใครมีฝีมือก็ลองทำกันดูได้ไม่เสียหาย
สิ่งที่พึงระวังก็คือต้นทุนที่สูง และรสชาติที่จะถูกลิ้นผู้บริโภคหรือไม่
เส้นทางเดินของซอฟต์แวร์สู่ตลาดต่างประเทศ
ใครจะรู้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีราคา 3 หมื่นกว่าบาท 1 เครื่องก็สามารถผลิตสินค้าทำเงินมหาศาลให้ได้หากคุณมีสมอง
ความคิดสร้างสรรค์ และมีแนวคิดเรื่องการตลาด
เรื่องแบบนี้เคยเกิดกับบิลเกตต์-เจ้าของบริษัทไมโครซอฟท์ ซึ่งร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีอันดับ
1 ของโลก ก็เคยทำสำเร็จมาแล้วเมื่อครั้งที่เขายังเป็นแค่เด็กนักศึกษาที่ฮาร์วาร์ด
จากวันนั้นจนถึงวันนี้บิล เกตต์ ก็ยังไม่ได้ดีกรีจากมหาวิทยาลัยใด แม้ว่าซอฟต์แวร์ไมโครซอฟท์ที่เขาคิดขึ้น
จะถูกนำไปใช้งานอยู่บนพีซีหลายร้อยล้านเครื่องทั่วโลกในปัจจุบันก็ตาม
วัฒนา เชียงกูล ก็อาจจะเป็นหนึ่งในนั้น หากซอฟต์แวร์ด้านการบำรุงรักษาที่เขาและเกรียงไกร
ดำรงรัตน์ ผู้จัดการแผนกบำรุงรักษาและไอทีพร้อมทั้งพนักงานอีก 6-7 ในบริษัทโทเท็มส์
ร่วมกันพัฒนาขึ้นมาประสบความสำเร็จจากการวางจำหน่ายในประเทศมาเลเซีย
การผลิตซอฟต์แวร์ส่องออกนอกนำเงินดอลลาร์เข้าประเทศ นับเป็นความหวังของบรรดานักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั้งหลาย
โดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้ เพราะเป็นธุรกิจที่มีต้นทุนต่ำ อาศัยเพียงเครื่องพีซีคอมพิวเตอร์ไม่กี่ตัว
มันสมองที่ใช้คิดค้นและพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีคุณสมบัติโดดเด่น สามารถตอบสนองกับความต้องการของผู้ใช้
ย่อมหมายถึงผลกำไรมหาศาลที่จะตามมา
วัฒนาเล่าว่า ซอฟต์แวร์ด้านบำรุงรักษาที่เขาพัฒนาขึ้นมานั้น มาจากประสบการณ์ตลอดชีวิตการทำงาน
20 ปีที่ต้องเกี่ยวข้องกับงานด้านบำรุงรักษามาตั้งแต่สมัยทำงานอยู่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต
(กฟผ.) จนกระทั่งออกมาตั้งบริษัทโทเท็มส์เป็นของตัวเอง
ธุรกิจของโทเท็มส์ รับติดตั้งระบบไฟฟ้าให้กับโรงงานอุตสาหกรรม รับบำรุงรักษาระบบงานภายในองค์กรต่างๆ ซึ่งจำเป็นต้องนำคอมพิวเตอร์มาช่วยในเรื่องเหล่านี้ วัฒนาจึงได้ติดต่อนำซอฟต์แวร์บำรุงรักษาจากต่างประเทศมาจำหน่ายควบคู่กันไปด้วย
การทำตลาดซอฟต์แวร์จากต่างประเทศมา 2 ปีแม้จะขายได้ แต่วัฒนาก็พบว่าซอฟต์แวร์ของต่างประเทศมีราคาแพงเกินไป
ให้ผลกำไรไม่ดีนัก คุณสมบัติของซอฟต์แวร์นอก ในบางครั้งไม่เหมาะสมสอดคล้องกับการใช้งานของคนไทยเท่าที่ควร
"ยกตัวอย่าง ซอฟต์แวร์ของต่างประเทศส่วนใหญ่มักจะเป็นระบบออนไลน์
ใช้งานทีเดียวพร้อมๆ กันหลายคน เชื่อมต่อกับหลายหน่วยงาน แต่ในเมืองไทยนั้น
ระบบงานประเภทนี้ส่วนใหญ่มักจะเริ่มจากผู้ใช้เพียงคนเดียว หลังจากนั้นจึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันต่างกันตรงนี้ ซึ่งมันไม่สอดคล้องกับความต้องการ" เกรียงไกรชี้แจง
นอกจากนี้ ซอฟต์แวร์ต่างประเทศมักจะเป็นแพ็กเก็จสำเร็จรูปที่ออกแบบให้มีฟังก์ชั่นการทำงานเยอะมาก
การใช้งานจึงค่อนข้างสลับซับซ้อนต้องเสียค่าจ้างที่ปรึกษา
"พื้นความรู้ในเรื่องคอมพิวเตอร์ของคนในสหรัฐอเมริกาจะใกล้เคียงกัน
การออกแบบจะเหมาะกับคนที่มีพื้นความรู้อยู่แล้ว แต่สำหรับเมืองไทยไม่ใช่อย่างนั้น
พื้นฐานความรู้ของเราไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากทีเดียวสำหรับคนไทยที่จะใช้ซอฟต์แวร์จากต่างประเทศ"
จากปัญหาเหล่านี้เองทำให้วัฒนาและทีมงานในบริษัทโทเท็มส์ ตัดสินใจพัฒนาซอฟต์แวร์ขึ้นเป็นของตัวเอง
โดยนำเอาประสบการณ์และข้ออ่อนด้อยของซอฟต์แวร์ต่างประเทศ มาพัฒนาเป็นซอฟต์แวร์บำรุงรักษาขึ้นมาเอง
"เป้าหมายของการพัฒนาซอฟต์แวร์มี 2 อย่าง จะเอาเทคโนโลยีนำ หรือจะเอาการใช้งานสูงสุดของลูกค้าเป็นตัวนำ
ซึ่งเราเลือกเอาความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ก็ไม่ได้วิ่งตามเทคโนโลยี"
เครื่องมือ (TOOL) ที่วัฒนาเลือกมาใช้ในการออกแบบซอฟต์แวร์ จึงเป็นเครื่องมือง่ายๆ ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย คือ โปรแกรมวิช่วลเบสิก ซึ่งเน้นความง่ายในการออกแบบและใช้งาน
แน่นอนว่า ความผิดพลาดมักมาก่อนความสำเร็จ ซอฟต์แวร์บำรุงรักษาเวอร์ชั่นแรกที่พัฒนาขึ้นมานั้นยังไม่ดีเท่าที่ควร
เขาพบว่าเป็นเพราะโปรแกรมเมอร์ต้องการใส่ฟังก์ชั่นต่างๆ ลงไปให้มากที่สุด
ไม่สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริง
วัฒนาและทีมงานใช้เวลา 1 ปีเต็มปรับปรุงแก้ไข จนกลายมาเป็นเวอร์ชั่นที่
2 นำออกสู่ตลาดด้วยความมั่นใจ
เกรียงไกร เล่าว่า ซอฟต์แวร์ของโทเท็มส์จะมีเฉพาะฟังก์ชั่นที่ลูกค้าต้องการใช้งานจริงๆ เท่านั้น ในจุดนี้เองนอกจากง่ายในการใช้งานแล้ว ยังทำให้ต้นทุนของสินค้าต่ำลงไปด้วยนั่นหมายถึงกำไรที่จะเพิ่มขึ้นตามมาด้วย
ด้วยราคาที่ต่ำกว่าซอฟต์แวร์ต่างประเทศเท่าตัว และมีจุดเด่นในความง่ายในการใช้งานของลูกค้า
ในวันนี้วัฒนามีลูกค้าที่ใช้ซอฟต์แวร์ตัวนี้ไม่ต่ำกว่า 20 ราย ทำรายได้ให้กับเขาไม่น้อย
และกำลังถูกนำออกวางจำหน่ายในประเทศมาเลเซีย โดยผ่านตัวแทนจำหน่ายที่วัฒนาเคยนำซอฟต์แวร์ของเขาเข้ามาทำตลาด
"ตอนแรกเขายังไม่สนใจ แต่ตอนหลังพอมาเห็นราคา และระบบการทำงาน ก็เลยติดต่อขอนำกลับไปขายที่มาเลเซีย
เวลานี้อยู่ระหว่างการทดลองใช้ คาดว่าคงไม่เกินปีหน้าคงวางขายได้"
นอกจากบริษัทในมาเลเซียแล้ว บริษัทยูคอมก็ติดต่อจะนำไปทำตลาดในต่างประเทศให้
วัฒนาเชื่อมั่นว่าสิ่งที่โทเท็มส์ขาดก็คือ ช่องทางการจำหน่าย หากได้พันธมิตรที่มาช่วยในเรื่องการตลาดมาเสริมแล้ว
การทำเงินจากการขายซอฟต์แวร์ในต่างประเทศย่อมไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ในทัศนะของราเมศร์ ศิลปพรหม กรรมการผู้จัดการ บริษัทซอฟต์สแควร์ 1999 แล้ว
ตลาดต่างประเทศก็เหมือนกับการขยายสาขาออกไปต่างจังหวัด
"ความต้องการของลูกค้าไม่ว่าประเทศไหนก็ไม่ได้แตกต่างกัน สิ่งที่ลูกค้าต้องการคือความพร้อมในเรื่องของคนที่จะมาดูแลระบบงานให้"
ราเมศร์สะท้อนแนวคิด
ซอฟต์สแควร์ 1999 เป็นหนึ่งซอฟต์แวร์เฮาส์ไม่กี่ราย ที่สามารถทำเงินรายได้เข้าประเทศไทยจากธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์
ราเมศร์ตั้งซอฟต์สแควร์ 1999 ขึ้นเมื่อ 9 ปีที่แล้ว ลงขันร่วมกับเพื่อนอีก
2 คน และจากซอฟต์แวร์เฮาส์เล็กๆ ที่มีเพียงแค่ 3 คน เวลานี้ซอฟต์สแควร์กลายเป็นบริษัทขนาดกลางที่มีพนักงานกว่า
100 คน ทำธุรกิจผลิตซอฟต์แวร์ตามคำสั่งของลูกค้า (TAILOR MADE) รับแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ระบบงานเฉพาะด้าน
แม้ทุกวันนี้ซอฟต์สแควร์เป็นเพียงซอฟต์แวร์เฮาส์ ที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนผู้ออกแบบวางระบบคอมพิวเตอร์แบบเบ็ดเสร็จ
หรือ ซิสเต็มส์อินทิเกชั่นส์ (เอสไอ) แต่ด้วยขนาดขององค์กร เมื่อบวกกับบัญชีรายชื่อลูกค้า
300 รายในมือ ก็ไม่อาจมองข้ามซอฟต์แวร์เฮาส์รายนี้ไปได้
"คอนเซ็ปต์ของเราคือ ระบบที่ออกแบบจะต้องง่ายต่อการใช้ และที่สำคัญคือ
เราใช้ระยะเวลาในการพัฒนาสั้น เพราะเรามีคนอยู่เยอะ ตรงนี้คือสิ่งที่แตกต่างที่ซอฟต์แวร์เฮาส์อื่นๆ ไม่มี" ราเมศร์เล่า
เมื่อกลางปีที่แล้วใบออเดอร์จากห้างสรรพสินค้าคาร์ฟูร์ จากประเทศฝรั่งเศสมาเปิดสาขาในเมืองไทย
ให้ติดตั้งระบบฮาร์ดแอนด์สโตร์ให้สาขาแรกก็ตกมาอยู่ในมือของซอฟต์สแควร์
ราเมศร์เล่าว่า เงื่อนไขที่ซอฟต์สแควร์ได้รับในเวลานั้น คือ การออกแบบและติดตั้งระบบงานฮาร์ด-แอนด์สโตร์
ประกอบไปด้วย ระบบจัดซื้อ ระบบสโตร์ และระบบเงินเดือน ซึ่งระบบทั้งหมดนี้จะต้องสามารถทำงานร่วมกับระบบคิดเงิน
ณ จุดขาย (POINT OF SALES) ที่ไอบีเอ็มติดตั้งอยู่แล้ว โดยมีเงื่อนไขอยู่ว่าจะต้องติดตั้งให้เสร็จทันกำหนดเปิดห้างคาร์ฟูร์สาขาแรกในไทย
ซึ่งมีเวลาติดตั้งและทดสอบเพียงแค่ 6 เดือน
"ยอมรับเลยว่าเป็นงานที่ยากเพราะก่อนหน้าที่คาร์ฟูร์จะว่าจ้างเรา
เขาจ้างบริษัทฝรั่งแห่งหนึ่งในแคนาดาเป็นคนวางระบบงานนี้ให้ แต่ฝรั่งทำไม่ทันก็เลยมาจ้างเรา
เขากะว่าพอฝรั่งทำเสร็จก็จะเอาระบบไปติดตั้งแทนระบบของเรา แต่เขาก็ยังทำไม่เสร็จ"
หลังจากไม่ทำให้เจ้าของงานผิดหวัง ซอฟต์แวร์เฮาส์เล็กๆ แห่งนี้มีโอกาสสร้างผลงานออกไปยังต่างประเทศ
ซอฟต์สแควร์ได้รับสัญญาว่าจ้างให้ติดตั้งระบบงานฮาร์ดแอนด์สโตร์ ในสาขาของคาร์ฟูร์ในประเทศต่างๆ ในย่านเอเชีย เช่น ฮ่องกง เกาหลี สิงคโปร์ และมาเลเซีย รวมทั้งสาขาของคาร์ฟูร์ในประเทศอื่นๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในเวลาไม่ช้า ที่จะต้องนำระบบงานของซอฟต์สแควร์เข้าไปติดตั้งด้วย
ราเมศร์เล่าว่า การติดตั้งระบบซอฟต์แวร์ในต่างประเทศนั้น ไม่ได้แตกต่างไปจากในเมืองไทย
แต่สิ่งที่ต้องทำเพิ่มก็คือ การเขียนภาษาท้องถิ่นของแต่ละประเทศ เพิ่มเติมลงไปในระบบควบคู่กับภาษาอังกฤษ
นอกเหนือจากรายได้จากการวางระบบให้กับโครงการที่ได้รับเป็นก้อนใหญ่แล้ว
ยังมีรายได้จากค่าจ้างในการดูแล และบำรุงรักษาระบบ ที่จะต้องส่งเจ้าหน้าที่ไปให้บริการ
ซึ่งจะเป็นรายได้ประจำที่ทำเงินให้กับบริษัทต่อเนื่องอีกหลายปี รวมแล้วเป็นเงินเกือบล้านดอลลาร์สหรัฐ
"งานติดตั้งระบบ ไม่เหมือนกับการขายซอฟต์แวร์สำเร็จรูป ขายแล้วก็แล้วกัน
แต่จะต้องมีเรื่องดูแลระบบ บำรุงรักษา ก็เป็นรายได้ที่จะได้รับต่อเนื่อง
เพราะเราต้องส่งคนไปดูแลระบบงานให้เขาด้วย ซึ่งเขาก็จะคิดค่าจ้างเป็นวัน"
ราเมศร์เล่า
เมื่อสามารถทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ ราเมศร์ก็เริ่มมองธุรกิจในต่างแดนอย่างเป็นจริงเป็นจัง
ต้นปีนี้เขาจะตั้งบริษัทขึ้นมาอีกแห่งเพื่อทำธุรกิจในต่างประเทศโดยเฉพาะ
โดยจะขอรับการส่งเสริมจากบีโอไอ เพื่อขอยกเว้นภาษีเงินได้ในช่วง 8 ปีแรก
ผลงานที่ฝากไว้กับคาร์ฟูร์ จึงเป็นเสมือนใบเบิกทางให้กับซอฟต์สแควร์ที่เขาเชื่อว่าหาลูกค้าอื่นๆ ได้ไม่ยากเย็นนัก ราเมศร์เล่าว่าเวลานี้มีลูกค้าที่เป็นซัปพลายเออร์ของคาร์ฟูร์
2-3 รายที่จะมาเป็นลูกค้า รอเพียงแค่เซ็นสัญญาเท่านั้น
ในทัศนะของราเมศร์แล้ว การขยายออกสู่ตลาดต่างประเทศของซอฟต์แวร์เฮาส์ไม่ใช่เรื่องยาก
เพราะความต้องการของตลาดต่างประเทศมีมาก และมีขนาดใหญ่ ขึ้นอยู่กับว่าผู้ผลิตซอฟต์แวร์ประเภทใด
และต้องสร้างจุดแข็งของตัวเองให้แตกต่างจากคู่แข่ง
"อย่างของเราเป็นซอฟต์แวร์เฮาส์ที่ผลิตตามคำสั่งของลูกค้า จุดขายของเราคือ
เรื่องของกำลังคนที่เรามีอยู่ 100 คน ไม่มีซอฟต์แวร์เฮาส์ในประเทศไหน ไม่ว่าในฮ่องกง
หรือสิงคโปร์ที่มีคนมากขนาดนี้ ตรงนี้เองที่เราถือว่าเป็นจุดขายที่พร้อมจะให้บริการกับลูกค้าและติดตั้งได้ทันเวลา"
ราเมศร์เล่าให้ฟัง
เช่นเดียวกับ วัฒนา เขาเชื่อว่าฝีมือการพัฒนาซอฟต์แวร์ของคนไทยไม่แพ้ต่างชาติ
ขาดแต่ประสบการณ์ทางด้านการทำตลาดเท่านั้นที่แตกต่างกัน
นั่นคือเส้นทางเดินของโทเท็มส์และซอฟต์สแควร์ จุดประกายเล็กๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในธุรกิจซอฟต์แวร์
ที่ใช้ต้นทุนต่ำ มีเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่กี่ตัว มีเพียงสมองและความรู้ด้านคอมพิวเตอร์
เหมาะสำหรับในยุคที่เศรษฐกิจตกต่ำ และค่าเงินที่ผันผวนอยู่ในเวลานี้ ธุรกิจผลิตซอฟต์แวร์เป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่ไม่อาจมองข้าม
เพราะเวลานี้หน่วยงานรัฐบาลก็มีการสนับสนุนให้เกิดอุตสาหกรรมนี้ขึ้น ภายใต้โครงการซอฟต์แวร์ปาร์ค
แต่ก็ยังต้องให้การสนับสนุนในเรื่องอื่นๆ โดยเฉพาะในเรื่องของเงินทุน และการพัฒนาบุคลากรทางด้านนี้มากขึ้นด้วย
ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตซอฟต์แวร์จะต้องกำหนดเป้าหมายของตัวเองว่า จะเลือกระหว่างการเป็นซอฟต์แวร์เฮาส์
หรือซอฟต์แวร์แพ็กเกจนั้นจำเป็นต้องอาศัยกลไกการตลาดเข้ามาเกี่ยวข้อง ต้องมีช่องทางจำหน่ายกระจายออกไปยังร้านค้าต่างๆ ในขณะที่การทำตลาดของซอฟต์แวร์เฮาส์จะอาศัยผลิตภัณฑ์และตัวองค์กรเป็นตัวนำ
เพราะใครจะรู้ว่าในอนาคต ผู้ผลิตซอฟต์แวร์ของเมืองไทยอาจจะเป็นเหมือนกับบิล
เกตต์ เจ้าพ่อซอฟต์แวร์ในเวลานี้ก็เป็นได้
เอ็กซ์ปอร์ตการ์ตูนญี่ปุ่น คนไทยก็ทำได้
ใครจะรู้ว่าตัวการ์ตูนยอดนิยมจากแดนอาทิตย์อุทัยที่โลดแล่นอยู่บนหน้าจอทีวี
ขวัญใจคุณหนูๆ ทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะเป็น ดร. สลัมป์กับหนูน้อยอาราเร่
เซลเลอร์มูน ลันม่า สแลมดังส์ ดรากอนบอล ส่วนหนึ่งนั้นผลิตมาจากแผนกการ์ตูนเล็กๆ ของบริษัทกันตนา
แม้เป็นเพียงแค่การขายแรงงานให้กับบริษัทญี่ปุ่น แต่ก็ถือว่าเป็นผลิตผลทางด้านแรงงาน
ที่สามารถนำเงินตราเข้าประเทศมาเป็นเวลายาวนานถึง 8 ปีมาแล้ว ยิ่งในภาวะที่พิษค่าเงินบาทตกต่ำเช่นนี้การทำเงินสกุลต่างประเทศได้ก็นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดี
บริษัทกันตนาไม่ได้เป็นเพียงผู้สร้างละครหรือภาพยนตร์ระดับท้องถิ่นของไทยเท่านั้น
แต่ยังมีแผนกการ์ตูนแฝงตัวอยู่และทำธุรกิจอย่างเงียบๆ มาตลอด
แผนกการ์ตูนของกันตนาเกิดขึ้นตามประสานักธุรกิจที่ไม่หยุดนิ่ง ต้องการหาธุรกิจใหม่ๆ เข้ามาเสริม แน่นอนว่าการ์ตูนก็เป็นส่วนหนึ่งของความฝันของผู้ผลิตละคร
และภาพยนตร์ของเมืองไทย ที่อยากผลิตภาพยนตร์การ์ตูนเป็นของตัวเอง
กันตนาเริ่มต้นแสวงหาความรู้การผลิตการ์ตูนในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตการ์ตูนบนจอทีวีรายใหญ่ของโลก
โดยส่งคนไปฝึกงานที่บริษัทโตเอะเจ้าของการ์ตูนชื่อดัง เช่น อาราเร่ เซลเลอร์มูน
ดรากอนบอล แต่ยังไม่ทันเริ่มผลิตการ์ตูนเป็นของตัวเอง ก็ได้รับว่าจ้างจากบริษัทโตเอะให้ผลิตการ์ตูนให้ในลักษณะเมดทูออร์เดอร์
รูปแบบงานที่กันตนาได้รับว่าจ้างก็คือ บริษัทโตเอะจะกำหนดเนื้อเรื่อง รวมทั้งบุคลิกและท่าทางทั้งหมดของตัวละคร
หลังจากนั้นจะส่งภาพต้นแบบมาให้เจ้าหน้าที่ของกันตนาจะลงลายเส้น และระบายสีตัวการ์ตูนในอิริยาบถต่างๆ ตามที่กำหนดมาและส่งกลับไปที่ญี่ปุ่น เพื่อถ่ายทำลงบนแผ่นฟิล์มบันทึกเสียงอีกครั้งหนึ่งก่อนจะนำออกฉาย
บริษัทโตเอะจะส่งวัตถุดิบที่ใช้ในการวาด เช่น กระดาษ สี แผ่นใสมาให้ ส่วนกันตนาจะต้องลงทุนจ้างพนักงานประจำมาวาดรูป
โดยรายได้ที่รับจากบริษัทโตเอะจะคิดจากชิ้นงาน ภาพการ์ตูนที่ลงลายเส้นและระบายสีเสร็จเรียบร้อยที่อยู่ในรูปของแผ่นใสขนาดเอ
4 ดังนั้นรายได้ที่รับจะขึ้นอยู่กับว่าพนักงานจะสามารถผลิตงานได้มากน้อยเพียงใด
"เงื่อนไขที่สำคัญคือ เวลา เราจะต้องผลิตให้ทันตามที่เขากำหนดเวลามา
ในแต่ละเดือนพนักงานคนหนึ่งจะผลิตได้ประมาณ 100 ชิ้นต่อเดือน ส่วนรายได้ที่ทำได้ใน
1 แผ่นจะแบ่งเป็นรายได้ของพนักงาน 30% ที่เหลืออีก 70% จะเป็นของบริษัท"
สันุชา ดิษยบุตร ผู้จัดการแผนกการ์ตูน กล่าว
นอกเหนือจากการ์ตูนจากค่ายโตเอะที่โลดแล่นบนจอทีวีแล้ว ภาพยนตร์การ์ตูนขององค์การยูเนสโกที่จะแพร่ภาพไปทั่วเอเชีย
ก็ผลิตจากแรงฝีมือของกันตนาด้วย
กระนั้นก็ตาม สันุชา บอกว่า รายได้ที่ได้รับจากการรับจ้างเขียนการ์ตูนในเวลานี้พอแค่เลี้ยงพนักงานในแผนก
25 คน ยังไม่สามารถทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำเท่าใดนัก เพราะงานที่กันตนารับมาเป็นแค่ส่วนหนึ่งของขั้นตอนการผลิตทั้งหมด
ยังต้องมีขั้นตอนการถ่ายทำลงบนแผ่นฟิล์มด้วย
นอกจากนี้ขั้นตอนการผลิตการ์ตูนเริ่มเปลี่ยนแปลงไป จากแรงงานคนมาเป็นการผลิตด้วยคอมพิวเตอร์
เพื่อลดค่าใช้จ่ายในเรื่องค่าสี และวัสดุต่างๆ ลง นั่นก็หมายความว่ากันตนาจะต้องเลือกลงทุนซื้อคอมพิวเตอร์เพื่อทำธุรกิจต่อ
หรือจะยุติเพียงแค่นี้ เพราะงานที่ใช้แรงคนจะหมดลงในเดือนมกราคม และกุมภาพันธ์
เพราะผู้ผลิตการ์ตูนจะเริ่มใช้คอมพิวเตอร์ออกแบบแล้ว
กันตนาไม่ใช่เป็นรายเดียวที่รับจ้างผลิต แต่ยังมีผู้ประกอบการอื่นๆ ที่รับจ้างวาดการ์ตูนให้กับค่ายหนังในต่างประเทศ
ไม่ว่าจะเป็นค่ายยักษ์อย่าง วอลท์ดิสนีย์ และประเทศอื่นๆ เช่น ฟิลิปปินส์
ไต้หวัน
กระนั้นก็ตาม ความฝันที่จะผลิตการ์ตูนเป็นของตัวเองก็ยังอยู่ในใจของผู้บริหารกันตนา
โดยอาศัยเวลาว่างของพนักงาน เริ่มออกแบบตัวการ์ตูน และวางโครงเรื่องขึ้นมาเองเพื่อหวังว่า
สักวันหนึ่งจะมีภาพยนตร์การ์ตูนเมดอินไทยแลนด์ออกฉาย
นอกจากนี้แผนกคอมพิวเตอร์กราฟิกของกันตนา ซึ่งรับจ้างออกแบบและผลิตงานให้กับวงการโฆษณา
เป็นอีกส่วนหนึ่งของกันตนาที่สามารถทำเงินรายได้เข้าประเทศ
ยิ่งในปัจจุบันการผลิตโฆษณาใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกเป็นส่วนประกอบของการผลิตด้วยแล้ว
ความต้องการงานประเภทนี้ก็เพิ่มมากขึ้น เพราะเสียค่าใช้จ่ายถูกกว่าการสร้างฉากที่สร้างขึ้นมาเอง
ออร์เดอร์งานที่กันตนาได้รับทุกวันนี้ ไม่ได้มาจากเอเยนซีในประเทศเท่านั้น
แต่มาจากประเทศในแถบบ้านใกล้เรือนเคียง เช่น กัมพูชา ลาว พม่า ที่มาใช้บริการของกันตนา
แม้ว่ายังทำรายได้ให้ไม่มากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการหาเงินเข้าประเทศในยุคเศรษฐกิจเช่นนี้
รองเท้าไทยไปเมืองแฟชั่น ต่อให้เผาจริงก็ยังต้องโต
อาจจะไม่ใช่เรื่องปกติที่คนไทยที่เคยไปช้อปปิ้งเมืองนอก โดยเฉพาะที่ประเทศฝรั่งเศสจะไปเดินซื้อรองเท้าแฟชั่นตามซูเปอร์สโตร์
หรือไฮเปอร์มาร์เก็ต แทนที่จะเป็นร้านแบรนด์เนมหรูๆ
ดังนั้นจึงมีน้อยคนนักที่จะรู้ว่ารองเท้าแฟชั่นที่ผลิตโดยคนไทย มีวางจำหน่ายอยู่ในไฮเปอร์มาร์เก็ตกว่า
100 แห่ง ในประเทศฝรั่งเศส รวมทั้งประเทศอื่นๆ แถวยุโรปอีก ไม่ว่าจะเป็น
นอร์เวย์ สวีเดน และเยอรมนี
"รองเท้าของบริษัท เน้นตลาดลูกค้าระดับกลาง และทำเฉพาะรองเท้าแฟชั่นของผู้หญิงเท่านั้น
เพราะเป็นเซกเมนต์หนึ่งของรองเท้าส่งออกที่มีมูลค่าอยู่ในอันดับ 3 ของประเภทรองเท้าทั้งหมดที่มีผู้ผลิตไทยส่งออก"
เกรียงไกร การุญงามพรรณ ผู้จัดการ บริษัท ก. เกริกไกร ฟุตแวร์ จำกัด กล่าวกับ
"ผู้จัดการรายเดือน"
ปัจจุบันมีมูลค่าการส่งออกรองเท้าของประเทศไทยมีอยู่เกือบแสนล้านบาทในปีหนึ่งๆ เซกเมนต์การส่งออกแบ่งได้ 3-4 ประเภท ส่วนที่ใหญ่ที่สุดคือรองเท้ากีฬา
รองมาคือรองเท้าผู้ชายและรองเท้าผู้หญิงตามลำดับ และประเภทรองเท้าแตะ
สำหรับรายได้ของบริษัทฯ เกรียงไกร กล่าวว่า มูลค่าการส่งออกรวมของ บริษัท
ก. เกริกไกรในปี 2540 ที่ผ่านมา คาดว่าจะตกประมาณ 100 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี
2539 ซึ่งมีมูลค่าส่งออกของบริษัทประมาณ 80 ล้านบาท จากราคารองเท้าโดยเฉลี่ยคู่ละ
4-5 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับรองเท้าผ้า 10-14 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับรองเท้าหนังแท้และรองเท้าหนังเทียม
6-7 ดอลลาร์สหรัฐ
โดยมูลค่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้นในปี 2540 เป็นผลมาจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
แต่จำนวนสินค้าไม่ได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากในช่วงฤดูที่แล้ว คือก่อนหน้านี้ประมาณ
5-6 เดือน ลูกค้าในยุโรปบางส่วนย้ายไปสั่งออเดอร์ที่เวียดนาม เพราะได้ราคาถูกจากต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่าของเวียดนาม
ผู้ผลิตในเวียดนามยังมีต้นทุนค่าแรงต่ำ มีการสนับสนุนเรื่องภาษีอย่างดี ในขณะที่โรงงานผู้ผลิตรองเท้าของไทยต้องเจอปัญหาดังกล่าว
"ผู้ผลิตรองเท้าแฟชั่นส่งออกตอนนี้ยังมีแนวโน้มเติบโตดี แต่ปัญหาเรื่องค่าแรงงานก่อนหน้านั้น
2 ปี เป็นปัญหาใหญ่ถึงกับทำให้โรงงานผู้ผลิตในกลุ่มเดียวกันที่มีอยู่กว่า
10 รายต้องปิดตัวไปกว่าครึ่ง บางส่วนปิดเพราะเรื่องของต้นทุนโดยตรงทำให้พาร์ตเนอร์
โดยเฉพาะชาวไต้หวันที่เข้ามาลงทุนเปิดโรงงานแล้วย้ายออกไป บางรายไม่มีออร์เดอร์เลยต้องปิดเหมือนกัน"
เกรียงไกร กล่าว
แต่การที่บริษัทฯ เป็นบริษัทหนึ่งที่สามารถอยู่รอดมาได้ดีนั้น เป็นเพราะการดำเนินงานในลักษณะของธุรกิจครอบครัว
ซึ่งสามารถคุมเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ และดูแลงานได้ทั่วถึงกว่าบริษัททั่วไป
"และอีกสาเหตุก็เป็นเพราะเราส่งออกสินค้าด้วยตัวเราเอง เรามีแค่เอเยนต์ซึ่งทำงานเหมือนเซลล์ของบริษัทกินค่าคอมมิชชั่น
ไม่ได้ผ่านบริษัทการค้า ทำให้กำไรที่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยและไม่ต้องถูกตัดทอนไปที่อื่น"
อย่างไรก็ดีสำหรับปี 2541 ที่พูดกันว่าจะเป็นปีเผาจริง ถึงขั้นที่คาดการณ์กันว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจของไทยจะเท่ากับศูนย์หรือติดลบนั้น
เกรียงไกร กล่าวว่า สำหรับบริษัทเขาแล้ว ถ้าสถานการณ์ยังเป็นเช่นทุกวันนี้
เขาเชื่อว่าบริษัทจะมีอัตราการเติบโตได้อย่างแน่นอน
"เพราะตลาดที่จะมีผลกระทบกับเราโดยตรง คือตลาดยุโรป ไม่ใช่ตลาดในไทย
ตอนนี้ตลาดยุโรปก็ยังอยู่ในสภาวะปกติดี แต่เรากลับได้เปรียบตรงที่มีแรงหนุนการเติบโตของบริษัทอีกแรงจากค่าเงินบาท"
เกรียงไกร กล่าว
บริษัท ก. เกริกไกรฯ มีโรงงานผลิตอยู่ที่ จ. สุพรรณบุรี ซึ่งถือว่าอยู่นอกเขตส่งเสริมของสำนักงานส่งเสริมการลงทุน
(บีโอไอ) ทำให้ขาดสิทธิ์การยกเว้นเรื่องภาษีและเงินสนับสนุน สิ่งที่ได้ประโยชน์จากภาครัฐมีเพียงการขอคืนภาษีส่งออกบางประเภทเท่านั้น
"ภาษีส่งออกรัฐจะกำหนดประเภทสินค้าที่ส่งออกแล้วบอกว่าเราจะขอคืนภาษีได้เท่าไร
อย่างของบริษัทเราได้คืนภาษีประมาณ 1.1% ซึ่งก็ถือว่าเป็นผลกำไรของสินค้าที่เราต้องใช้สิทธิ์ขอคืนจากรัฐ"
เกรียงไกร กล่าวพร้อมพูดถึงกำลังการผลิตว่า
ปัจจุบันมีกำลังการผลิตรองเท้าเฉลี่ยประมาณ 2,000 คู่ต่อวัน ขึ้นอยู่กับประเภทของวัสดุที่ใช้ทำรองเท้า
ถ้าเป็นรองเท้าผ้าจะผลิตได้ถึง 3,000 คู่ แต่ถ้าเป็นหนังจะได้ประมาณ 1,000
คู่ วัสดุส่วนใหญ่ที่ใช้ในการผลิตเป็นของในประเทศ มีเพียง 10-20% ที่ต้องนำเข้า
คือส่วนประกอบที่ใช้ครอบด้านหน้าของรองเท้า
"สินค้าที่ผลิต เนื่องจากเราผลิตตามแบบที่ลูกค้าต้องการตามฤดูกาล
คือช่วงฤดูร้อนจะเป็นรองเท้าผ้าหรือหนังบ้างประปราย ในขณะที่ถ้าเป็นฤดูหนาวรูปแบบของรองเท้าส่วนใหญ่จะเป็นหนังประเภทต่างๆ สินค้าที่ผลิตได้ทั้งหมดจึงส่งออก 100% หากจะนำมาขายในประเทศก็จะเป็นการผิดจรรยาบรรณ
ถ้าลูกค้าเห็นเรานำสินค้ามาวางขายในประเทศด้วยก็อาจจะหมดความเชื่อถือกันได้"
เกรียงไกร กล่าว
จากภาวะที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย ก็มีผลกระทบต่อบริษัทฯ อีกเรื่องหนึ่งคือ
ทำให้เกรียงไกรต้องปรับแผนเดิมของบริษัท ที่ตั้งใจว่าต้นปี 2541 จะเริ่มผลิตรองเท้าในแบรนด์ของบริษัทเองออกขายในประเทศ
ต้องระงับไปก่อน แล้วหันมาเน้นที่ส่งออก 100% เหมือนเดิม เพราะเชื่อว่าน่าจะทำกำไรให้บริษัทได้ดีกว่า
ทั้งนี้เป็นที่เชื่อได้ว่า หลายคนคงจะเห็นด้วยกับความคิดของเกรียงไกร เพราะยามนี้สำหรับคนไทยหากใครคิดจะซื้ออะไร
คงไม่มีใครอยากควักกระเป๋าซื้อง่ายๆ อย่างน้อยก็อาจจะตลอดปี 2541 นี้
กองทัพมดซึ่งเป็นธุรกิจขนาดย่อมที่เอ่ยถึงมานี้ อาจเป็นคำตอบให้กับผู้ที่กำลังแสวงหาทางฟื้นตัวอยู่ได้บ้างในยามนี้
ประสบการณ์ของการเป็นลูกจ้างในยุคเศรษฐกิจเฟื่องฟู คงสอนบทเรียนจำนวนมากให้แก่ผู้ที่เคยมีความใฝ่ฝันอยากเป็น
"entrepreneur หรือผู้ประกอบการรายย่อย" ซึ่งในวันนี้เป็นโอกาสดีที่จะได้เริ่มต้นชีวิตตัวเองใหม่
ด้วยฐานที่เท่าเทียมกัน