Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มกราคม 2541








 
นิตยสารผู้จัดการ มกราคม 2541
ฟื้นกิจการใต้ท็อปบู้ตทมิฬ             
 





เมื่อศิษย์เก่านายร้อยทหารบกเวสต์ปอยต์มาจับธุรกิจที่ใกล้ล้มละลายจะเกิดอะไรขึ้น และถ้าศิษย์เก่าเวสต์ปอยต์คนนั้นคือ อัลเบิร์ต ดันแลป ล่ะ มันก็ระเบิดกันไปทุกด้านน่ะสิ

อัลเบิร์ต ดันแลป หรือ อัล เลื่อยไฟฟ้า บางทีก็ แรมโบ้สวมสูท เป็นฉายาของนักบริหารผู้โด่งดังที่สุดคนหนึ่งแห่งทศวรรษ 90 อัลมักจะถูกเอ่ยอ้างถึงในด้านผู้เชี่ยวชาญการพลิกโฉมฐานะการเงินของบริษัทที่มีอาการเจียนตาย

วิธีที่อัลใช้ในการฟื้นฐานะการเงินของบริษัทประกอบด้วยสิ่งที่นักบริหารทั่วไปรู้จักกันดี ไม่ว่าจะเป็นตัดทอนค่าใช้จ่าย ตัดส่วนงานที่ไม่ใช่ธุรกิจแกนกลางซ้ำยังเป็นตัวสร้างยอดขาดทุน เลิกจ้างพนักงานจำนวนมหาศาล เน้นทุ่มโฆษณาเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของสินค้าและองค์กร และเน้นเอาใจผู้ถือหุ้นตลอดจนนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ด้วยการเร่งสร้างตัวเลขผลประกอบการ

วิธีดังกล่าวจะแตกต่างแค่เพียงว่าเบื้องหลังการทำงานของอัลนั้น มันคือบุคลิกการบริหารกองร้อย ที่ซึ่งการตัดสินใจจะต้องรวดเร็วและเฉียบขาด บนนโยบายที่ความปรานีสงสารไม่มีทางจะแผ้วพานเข้ามาได้

และวิธีเหล่านั้นจะพิเศษแค่เพียงว่า ในระยะ 15 ปีที่ผ่านมา บริษัท 10 รายใน 3 ทวีปที่อัลเข้าจับ ทุกบริษัทล้วนสามารถพลิกโฉมฐานะทางการเงินได้อย่างหลังมือเป็นหน้ามือทีเดียว

ผลงานการฟื้นฟูกิจการอันนำชื่อเสียงมาสู่อัลมากที่สุดคือ การบริหารบริษัทสก็อตต์ เพเพอร์

ก่อนอัลจะเข้ามาในเดือนเมษายน 1994 บริษัทแห่งนี้มีตัวเลขขาดทุนปี 1993 สูงถึง 277 ล้านดอลลาร์ พร้อมกับแบกโครงสร้างต้นทุนที่บวมฉุ มีสหภาพแรงงานซึ่งพูดจาอะไรด้วยไม่ได้เลย ในขณะที่คณะผู้บริหารขาดโฟกัสและวินัย จึงไม่น่าประหลาดเลยที่ราคาหุ้นของบริษัทไปไม่ถึงไหนเป็นเวลากว่า 7 ปี

ปฏิบัติการฉับพลันของอัลเริ่มทันทีที่เข้าเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานบริษัท อัลปลดพนักงานไปกว่า 11,000 คน หรือ 35% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดของสก็อตต์ตัดขายทรัพย์สินไป 2,400 ล้านดอลลาร์ สำหรับในด้านสหภาพแรงงาน เมื่อพบว่าไม่สามารถฟันฝ่าเอาชนะวัฒนธรรมเก่าอันแน่นเหนียวของบริษัท อัลใช้วิธีย้ายสำนักงานใหญ่จากเมืองฟิลาเดลเฟีย ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกของประเทศไปยังเมืองโบคา เรตัน มลรัฐฟลอริดาทางตอนใต้สุดของสหรัฐ

หลังจากนั้นมา 20 เดือน ราคาหุ้นของสก็อตต์พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็น 200 เปอร์เซนต์จากก่อนยุคของอัล ส่งผลให้ค่าตัวของบริษัทสูงถึง 6,500 ล้านดอลลาร์ และแล้วอัลก็ผนวกกิจการสก็อตต์กับบริษัทคู่แข่งคือ คิมเบอร์ลี่-คล้าก ในเดือนธันวาคม 1995

หลังจากภารกิจสก็อตต์เพเพอร์ประสบความสำเร็จทางการเงินอย่างงดงาม บิ๊กอัลเริ่มสำรวจหาเกมใหม่ที่ท้าทายกว่าเดิม ซันบีมคือเป้าหมายที่แสนจะท้าทายฝีมือ

ซันบีมเป็นบริษัทอเมริกันที่เก่าแก่รวม 1 ศตวรรษ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทมีทั้งอุปกรณ์ขนาดเล็กและผลิตภัณฑ์ใช้ในบ้านหลายหลากประเภท ตัวเลขผลประกอบการปี 1995 ติดลบอยู่ 230 ล้านดอลลาร์ ส่วนตัวเลขรายได้และมูลค่าหุ้นของบริษัทถดถอยต่อเนื่องมาแล้ว 2 ปี ในวันที่ 18 กรกฎาคม 1996 ราคาหุ้นของบริษัทตกต่ำถึงระดับ 12.50 ดอลลาร์ ในวันรุ่งขึ้น อัลสั่งกวาดซื้อ ณ ราคาดังกล่าวเป็นจำนวน 3 ล้านหุ้น ส่งผลให้ราคา ณ วันนั้นปิดที่ระดับสูงขึ้น 59%

สูตรท็อปบู้ตทมิฬแบบเดิมของอัลเริ่มการแสดงอีกครั้ง ด้วยการคัดเลือกทีมผู้จัดการใหม่ๆ ซึ่งล้วนเป็นคนคุ้นหน้า คือบรรดาขุนพลคู่ใจศิษย์เก่าสก็อตต์เพเพอร์ ทำสัญญาจ่ายผลตอบแทนแก่ทีมงานตามการขึ้นลงของราคาหุ้น ตัดค่าใช้จ่ายแบบไม่ปรานี ขายทรัพย์สินที่ไม่ใช่ธุรกิจแกนหลัก และบังคับให้ทีมมาร์เก็ตติ้งต้องยึดมั่นกับแผนยุทธศาสตร์ที่มีโฟกัสชัดเจน ซึ่งในกรณีของซันบีม หมายความว่าต้องบุกตะลุยขายสินค้าไปยังต่างประเทศ

นอกจากนั้น การทุ่มงบโฆษณาอย่างไม่เสียดมเสียดายเป็นอีกหนึ่งการตัดสินใจอันเฉียบขาด เฉพาะแค่ไตรมาส 4 ของปี 1996 นั้นเอง อัลเท 12 ล้านดอลลาร์ให้โอกิลวี่แอนด์เมเธอร์อัดแคมเปญ จนกระทั่งดัชนีวัดความนิยมรู้จักยี่ห้อสินค้าในเครือซันบีมดีดตัวขึ้น 25%

ผลลัพธ์ความสำเร็จเริ่มปรากฏออกมาได้อย่างน่าประทับใจ ในรูปของการขยายตัวของยอดขายและรายได้

มาในเดือนพฤศจิกายน 1996 ระเบิดสังหารหล่นตูมใส่ภาคการผลิตของบริษัท อัลประกาศโละสายการผลิต 87% ของบรรดาผลิตภัณฑ์ 11,000 ประเภท ปิดโรงงานจาก 26 แห่งเหลือ 8 แห่ง อีกทั้งสั่งเลิกจ้างพนักงาน 6,000 ราย คิดเป็นครึ่งหนึ่งของแรงงานทั้งบริษัท

เลือดเย็นคือคำประณามที่อัลได้รับจากสื่อมวลชนและผู้คนทั่วไปอย่างอื้ออึง แต่ราคาหุ้นของซันบีมพุ่งขึ้นเป็น 29.50 ดอลลาร์ และผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 1997 รายงานว่ารายได้ของบริษัทแตะที่ระดับ 20.6 ล้านดอลลาร์ สูงขึ้นหลายเท่าเมื่อเทียบกับยอดรายรับของ 1 ปีก่อนซึ่งทำได้แค่ 6.7 ล้านดอลลาร์เท่านั้น

คุรุทางบิสซิเนสสกูลหลายสำนักของสหรัฐฯ พากันหยิบสไตล์การบริหารของอัลขึ้นมาวิพากษ์เป็นที่อื้ออึง

เจฟฟรี เฟฟเฟอร์ ศาสตราจารย์ด้านพฤติกรรมองค์การแห่งสแตนฟอร์ด แกรดจูเอด สกูล ออฟ บิสซิเนส เขียนบทความตีพิมพ์ในไฟแนนเชียล ไทม์ส์ ฉบับ 21/11/97 เตือนว่าอย่าให้ความสำเร็จของ อัลเบิร์ต ดันแลป ทำให้แนวการบริหารของเขากลายเป็นมาตรฐานที่ดีของการบริหารจัดการ เพราะแม้จะเห็นกันอยู่ว่าเขาสามารถพลิกฟื้นฐานะการเงินของบริษัทที่ร่อแร่ใกล้ล้มละลายได้ แต่บริษัทเหล่านั้น 75% ถูกซื้อหรือถูกควบกิจการไปหมดแล้ว

ศ. เฟฟเฟอร์ตั้งข้อสังเกตว่า ยังน่าสงสัยอยู่ว่า อัลเบิร์ต ดันแลป เป็นนักบริหารจริงล่ะหรือ หรือว่าเขาจะเป็นแค่พ่อค้าซื้อของเก่ามาปรุงโฉมเพื่อขายต่อ เป็นแค่นักสร้างสภาพคล่องเท่านั้น

บิ๊กอัลเป็นอะไรกันแน่

ดิ อีโคโนมิสต์ ฉบับ 6/12/97 ได้วิเคราะห์ความเป็นอัล ดันแลป ว่า อัลเป็นพวกที่ออกจะต่อต้านนักทฤษฎีการบริหารตลอดจนบรรดานักบริหารด้วยกันเอง โดยเชื่อว่าการศึกษาที่ได้รับจากเวสต์ปอยต์เป็นการฝึกอบรมในระบบโรงเรียน ที่เพียงพอแล้วสำหรับการเข้าสู่วงการธุรกิจ อัลดูแคลนลูกเล่นต่างๆ ในวิชาชีพการบริหาร และประณามผู้บริหารระดับสูงตลอดจนพวกนักหนังสือพิมพ์สายนี้ว่าเป็นพวกขี้เกียจโดยพื้นฐาน อัลมีความโน้มเอียงที่จะเชื่อมั่นในความคิดของตน มากกว่าจะสนใจวิชาวิเคราะห์ทัศนะที่ไม่ตรงกับใจของเขา หรือหยุดสักพักเพื่อปรับความคิดของตนให้เข้ากับข้อเท็จจริงในมือ

คนที่รู้จักอัลมาช้านานเม้าธ์ว่าชายผู้นี้เป็นบุตรของกรรมกรอู่ต่อเรือในนิวเจอร์ซี่ ประโยคติดเรียวปากของเจ้าตัวคือผมทำงานเพื่อพิสูจน์ว่าตัวผมก็มีคุณค่าเหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม อัลไม่ถึงกับหลงตัวเอง เพราะเจ้าตัวยอมรับว่าวิธีของตนนั้น ไม่เหมาะประยุกต์ใช้กับบรรดาบริษัทไฮเทคหรือบริษัทที่เน้นในเรื่องของความรู้ และยังเคยกล่าวด้วยว่าคงไม่สามารถจัดการกับสถานการณ์ที่สหภาพแรงงาน ตลอดจนกลุ่มต่อต้านการเปลี่ยนแปลงมีพลังอำนาจสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสิ่งแวดล้อมของทวีปยุโรป

ดิ อิโคโนมิสต์วิจารณ์ว่า ในแวดวงอุตสาหกรรมที่อัตราการขยายตัวต่ำลงมาก อัลอาจไม่ประสบความสำเร็จได้อย่างที่ผ่านมา โดยปกติแล้วบริษัทเหล่านี้ประสบปัญหาที่แตกต่างกันไป และมีความซับซ้อนของปัญหาที่หลากหลาย การแก้ไขเรื่องเหล่านี้จำเป็นต้องใช้ทั้งความคิด กลเม็ดผ่อนหนักผ่อนเบา และความสามารถในการชั่งน้ำหนักสภาพการณ์

ดังนั้น ดิ อิโคโนมิสต์จึงเม้าธ์ถึงอัลว่า คุณสมบัติแห่งการไม่สงสัยตัวเอง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้อัลเบิร์ต ดันแลปประสบความสำเร็จอย่างดียิ่งกับบริษัทย่ำแย่ที่สุดทั้งหลายนี้แหละ อาจทำให้บุคคลเช่นนี้ประสบความหายนะได้หนักทีเดียวเมื่อต้องรับมือกับบริษัทส่วนใหญ่อื่นๆ

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us