สำนักงานทรัพย์สินฯ แจงรายได้เพิ่มจากหมื่นล้านเป็น 20,000 ล้าน ระยะ 4 ปีที่ผ่านมา โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากการถือหุ้นใน 3 บริษัทใหญ่ลงทุนในหุ้น ส่วนรายได้จากค่าเช่าปี 47 กว่า 5,000 ล้านบาท พร้อมระบุนโยบายด้านสังคมไม่ขึ้นค่าเช่าที่อยู่อาศัยและหน่วยงานราชการ ล่าสุดตั้งงบช่วยเหลือสังคม 50 ล้านบาท
นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เปิดเผยว่า ในปี 2547 สำนักงานทรัพย์สินฯ มีรายได้รวม 5,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการให้เช่า 1,400 ล้านบาท ที่เหลือเป็นรายได้จากการลงทุนในบริษัทและตลาดทุน ส่วนในปี 2546 มีรายได้ 3,800 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในส่วนของสินทรัพย์ที่เป็นรายได้และการลงทุนนั้น สำนักงานทรัพย์สินฯ ได้โอนไปให้บริษัททุนลัดดาวัลย์ จำกัด เป็นผู้ดูแลเมื่อปี 2543 ซึ่งในขณะนั้นมีมูลค่า 10,000 ล้านบาท แต่ในปัจจุบันมีรายได้เพิ่มเป็น 20,000 ล้านบาท โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นมานี้ส่วนหนึ่งมาจากการลงทุนในบริษัทต่างๆ และลงทุนในตลาดทุน โดยการลงทุนในตลาดทุนนั้นจาก 5,000 ล้านบาท ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าไปถือหุ้นใหญ่ ในบริษัท 3 แห่ง คือ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน), บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทเทเวศ ประกันภัย จำกัด (มหาชน) และรายย่อยๆ อีกจำนวนหนึ่ง
"เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงล่วงหน้าที่เกิดจากการลงทุน สำนักงานทรัพย์สินได้ตั้งเป้าหมายที่จะกันเงินไว้จำนวนหนึ่งเพื่อสำรองไว้ในยามจำเป็น ปัจจุบันยังใส่เงินไม่เต็มเป้าที่ตั้งไว้ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเท่าไหร่ คิดเอาง่ายๆ ว่าที่ผ่านมามีกรณีการเพิ่มทุนของธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งสูงถึง 60,000 ล้านบาท ของสำนักทรัพย์สินฯ ต้องจ่าย 24% ของจำนวนดังกล่าว แต่ก็หวังว่าคงไม่โชคร้ายอย่างนั้นอีก" จิรายุกล่าว
นายจิรายุ กล่าวถึงกรณีซื้อหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์คืนจากกระทรวงการคลังว่า การซื้อหุ้นดังกล่าวได้เสร็จเรียบร้อยแล้วในช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา โดยสำนักงานทรัพย์สินฯ ต้องจ่ายเงินให้กระทรวงการคลังจำนวน 16,300 ล้านบาท ด้วยการนำที่ดินย่านพญาไท จำนวน 400 ไร่ มูลค่าการประเมินตามกรมที่ดินจำนวน 16,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าต่ำกว่าตลาดพอสมควร ส่วนอีก 300 ล้านบาทที่เหลือ สำนักงานทรัพย์สินฯ ได้ชำระเป็นเงินสด
สำหรับการดำเนินงานในปีนี้ สำนักงานทรัพย์สินฯ ได้ตั้งงบประมาณจำนวน 200 ล้านบาท เพื่อทำการปรับปรุงที่ดินในการพัฒนาเพื่อการพาณิชย์ (แลนด์แชร์ริ่ง) โดยบางส่วนจะทำการพัฒนาร้านค้าหรือตลาดที่มีความเสื่อมโทรมให้อยู่ในสภาพที่ดีขึ้น โดยล่าสุดได้เตรียมปรับตลาดนางเลิ้งใหม่ โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนจำนวน 17.5 ล้านบาท และการปรับปรุงตลาดที่อยู่ในที่ดินของสำนักทรัพย์สินฯ ในต่างจังหวัดบางแห่ง รวมถึงมีแผนที่จะพัฒนาในย่านเยาวราชอีกด้วย
"การปรับปรุงตลาดอย่างเยาวราชเป็นแนวคิดมาจากความเสื่อมโทรมและเยาวราชเป็นที่รู้จักของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยว จับจ่ายซื้อของ แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้มีการจัดงานต่างๆ ที่ยิ่งใหญ่อีกด้วย และการปรับปรุงนั้นไม่จำเป็นต้องรอให้รัฐบาลเข้ามาสั่งให้ดำเนินการจึงทำ เราสามารถทำก่อนได้เลย เพียงแต่ไม่ได้ทำยิ่งใหญ่ แค่ให้น่ามองมากขึ้น" นายจิรายุ กล่าว
ทั้งนี้ การปรับปรุงดังกล่าวต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนที่ทำกินในตลาด โดยการจัดที่ขายของชั่วคราวให้ และเมื่อการปรับปรุงแล้วเสร็จผู้ค้าเดิมจะมีสิทธิ์เช่าต่อทุกราย อีกทั้งการมาเช่าจะต้องปรับราคาขึ้นบ้าง แต่จะจ่ายค่าเช่าถูกกว่าผู้ค้ารายใหม่
นายจิรายุ กล่าวว่า อย่างไรก็ดี สำนักงานทรัพย์สินฯได้ตั้งเป้ารายได้จากค่าเช่า 1,400 ล้านบาท เท่าเดิม เนื่องจากมีนโยบายที่จะไม่เพิ่มค่าเช่าที่อยู่อาศัยกับประชาชนทั่วไป รวมถึงสถานที่ราชการหาก จะปรับขึ้นจะเป็นกรณีเกิดการเปลี่ยนแปลงการใช้พื้นที่สำคัญๆ ซึ่งจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้า แต่ในส่วนที่จะเพิ่มราคา จะเพิ่มในส่วนการเช่าสร้าง อาคารพาณิชย์ที่ครบกำหนดสัญญาเช่าและตกเป็นของสำนักงานทรัพย์สินฯ ซึ่งจะปรับเพิ่มขึ้นตามราคาของบริษัทประเมินกลาง
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการให้ความช่วยเหลือทางด้านสังคมซึ่งได้กระทำติดต่อกันมาทุกปี แต่ในปีนี้สำนักงานทรัพย์สินจะให้น้ำหนักมากขึ้น โดยวางงบประมาณไว้ถึง 50 ล้านบาท จากที่ปีที่ผ่านมาวางงบไว้เพียง 10 ล้านบาท ซึ่งกำหนดยุทธศาสตร์การช่วยเหลือไว้ 3 ประการ คือ 1. การให้ความช่วยเหลือ ต้องมุ่งเน้นให้ผู้รับสามารถยืนหยัดช่วยเหลือตัวเอง ครอบครัวและสังคมอย่างยั่งยืน 2.การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ โดยการประสานหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และ 3. การประสานประโยชน์ระหว่างกลุ่มให้ได้ประโยชน์ทุกฝ่าย
|