สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดนครธน รุกขยายสินเชื่อบุคคล เปิดบริการใหม่ "1 Day Cash" อนุมัติสินเชื่อและโอนเงินให้ลูกค้าภายในวันเดียว หวังรักษาแชมป์ด้านสินเชื่อบุคคลในระบบธนาคารพาณิชย์ที่มาร์เกตแชร์ถึง 30% พร้อมเล็งออกสินเชื่อที่อยู่อาศัยภายในสิ้นปีนี้ พร้อมยืนยันตรึงอัตราดอกเบี้ยระดับเดิม 17-22% รับภาระต้นทุนแทนลูกค้า 0.25%

นายอาเจย์ คานวาล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบุคคล ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดนครธน หรือ SCNB กล่าวถึง แผนการดำเนินงานในปี 2548 ว่า ธนาคารมีเป้าหมายที่จะขยายสินเชื่อบุคคลอีก 20% จากปัจจุบันมีมูลค่าสินเชื่อบุคคลประมาณ 20,000 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 30% ซึ่งถือเป็นส่วนแบ่งการตลาดอันดับหนึ่งในระบบธนาคารพาณิชย์ไทย

"ธนาคารจะรักษาความเป็นหนึ่งอย่างต่อเนื่อง จึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์และให้สิทธิทางการเงินแก่ลูกค้า เพิ่มความสะดวกรวดเร็ว โดยผ่านบริการ "1 Day Cash" ซึ่งมีระบบบริหารความเสี่ยงและข้อมูลเครดิตที่เข้มแข็งในการอนุมัติสินเชื่อโดยคำนึงถึงความเสี่ยงและหลักการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ ที่ลูกค้าสามารถขอสินเชื่อบุคคลและได้อนุมัติรับเงินได้ภายในวันเดียว"

สำหรับบริการ "1 Day Cash" ในช่วงแรกธนาคารจะให้บริการกับลูกค้าที่ห้างเทสโก้ โลตัส 7 แห่ง และสำนักงานใหญ่ โดยจะอนุมัติวงเงินให้ลูกค้ารายละไม่เกิน 300,000 บาท ขณะที่สินเชื่อที่ให้บริการปกติจะอนุมัติรายละไม่เกิน 1 ล้านบาท และธนาคารมีแผนจะขยายจุดให้บริการได้ครบทุกสาขาทั่วประเทศภายในสิ้นปีนี้

ปัจจุบันธนาคารมีสินเชื่อรายย่อยรวมประมาณ 50,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสินเชื่อบุคคลและบัตรเครดิต 55% ที่เหลือเป็นสินเชื่อรายย่อยอื่นๆ และปีนี้มีเป้าหมายจะเพิ่มสินเชื่ออีก 27% ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับปีที่ผ่านมา รวม ทั้งจะขยายธุรกิจสินเชื่อที่อยู่อาศัย จากปัจจุบันที่ยังไม่ได้ให้บริการเลย

"สินเชื่อรายย่อยของธนาคารมี 2 ประเภทหลัก คือ สินเชื่อบุคคลและสินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และสินเชื่ออื่นๆ โดยมีเป้าหมายจะขยายสินเชื่อ เอสเอ็มอีเพิ่ม เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตที่สูง และรัฐบาลให้การสนับสนุน โดยจะให้บริการสินเชื่อเอสเอ็มอีให้ครบทุกสาขาภายในปีนี้"

สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้นนั้น ธนาคารยังคงมีนโยบายตรึงอัตราดอกเบี้ยระดับเดิม ปัจจุบันที่คิดอัตราดอกกู้เบี้ยสินเชื่อบุคคลเฉลี่ย 17-22% แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเมื่อปลายปีที่ผ่านมาได้เพิ่มขึ้นประมาณ 1% ทำให้ธนาคารต้องแบกรับภาระต้นทุนแทนลูกค้าประมาณ 0.25% แต่หากในอนาคตดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นธนาคารอาจจะมีการพิจารณาปรับดอกเบี้ยอีกครั้ง