ผู้จัดการฝ่ายสารสนเทศขององค์กรเอกชนและหน่วยงานราชการของเมืองไทยในเวลานี้
นอกจากต้องใช้เวลาจัดการไอทีภายในองค์กรหรือแก้ปัญหาระบบคอมพิวเตอร์ แต่เขาเหล่านั้นยังต้องแบ่งเวลาส่วนหนึ่งมาตรวจสอบ
เพื่อไม่ให้ซอฟต์แวร์ก๊อปปี้หลุดรอดอยู่ในเครื่องพีซีที่ตั้งเรียงรายอยู่ในบริษัท
ทั้งที่ก่อนหน้านี้การใช้ซอฟต์แวร์ก๊อปปี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ที่เมื่อซื้อคอมพิวเตอร์มาแล้วจะมีซอฟต์แวร์แถมฟรีมาให้มากมายโดยไม่ต้องเสียสตางค์
เรียกว่ามีซอฟต์แวร์ก๊อปปี้ใช้กันอย่างแพร่หลาย
หากไม่เป็นเพราะตลาดคอมพิวเตอร์เริ่มใหญ่ขึ้น บรรดาผู้ผลิตซอฟต์แวร์จากต่างประเทศจึงต้องเข้ามาพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของตัวเอง
พร้อมๆ กับการมาของกลุ่มพันธมิตรธุรกิจซอฟต์แวร์ (บีเอสเอ) อันเกิดจากการรวมตัวของผู้ผลิตซอฟต์แวร์
ทำหน้าที่ปราบปรามซอฟต์แวร์เถื่อนในประเทศต่างๆ
ตลอด 3 ปีเต็มที่บีเอสเอนำมาตรการปราบปรามซอฟต์แวร์เถื่อนออกมาใช้ในเมืองไทย
ทั้งยังจับกุมผู้ค้าซอฟต์แวร์เถื่อน ตลอดจนผู้ใช้ประเภทองค์กร โดยมีศูนย์ฮอตไลน์เอาไว้สำหรับแจ้งเบาะแส
เพื่อจับกุมผู้ใช้ประเภทองค์กรที่ใช้ซอฟต์แวร์เถื่อน และรายล่าสุดที่ถูกดำเนินคดีคือบริษัทอาเซียน
มารีน เซอร์วิส บริษัทต่อเรือแห่งแรกของเมืองไทยที่จะทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
แต่การปราบปราบซอฟต์แวร์เถื่อนไม่ใช่ครั้งแรกของบีเอสเอ เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะทำการก๊อปปี้ใช้ของฟรีหมดไปได้ง่ายๆ เปรียบแล้วก็เหมือนกับแมวจับหนูที่ไล่ล่ากันไม่รู้จักจบสิ้น
และดูเหมือนการดำเนินงานของบีเอสเอ จะไม่ทันอกทันใจบรรดาสมาชิกผู้ผลิตซอฟต์แวร์เท่าใดนัก
ยิ่งในภาวะเศรษฐกิจทรุดหนักปัญหาการก๊อปปี้ซอฟต์แวร์ก็ยิ่งทวีความรุนแรง
บีเอสเอจึงอาศัยจังหวะนี้เพิ่มเงินรางวัลนำจับให้กับผู้แจ้งเบาะแสไปยังศูนย์ฮอตไลน์จาก
1 แสนบาทเป็น 2.5 แสนบาท เพราะข้อมูลอย่างหนึ่งที่บีเอสเอตรวจพบจากศูนย์ฮอตไลน์ก็คือ
ผู้ที่โทรมาแจ้งเบาะแสมักจะเป็นอดีตพนักงานของบริษัท ยิ่งตัวเลขการว่างงานของคนไทยกำลังเพิ่มสูงขึ้นเช่นนี้
ศูนย์ฮอตไลน์ของบีเอสเอคงต้องทำงานหนักขึ้นอีกเยอะ
"เราคิดว่าการตั้งเงินรางวัลให้เหมาะสมจะทำให้มีคนโทรเข้ามาแจ้งที่ศูนย์ฮอตไลน์มากขึ้น"
ฮิวอี้ ตัน โฆษกฝ่ายกฎหมายของบีเอสเอ ที่ต้องรับผิดชอบงานในเมืองไทยเล่า
นอกจากการเพิ่มเม็ดเงินรางวัลแล้ว บีเอสเอยังสร้างแรงจูงใจให้ผู้โทรเข้าศูนย์ฮอตไลน์เพิ่มขึ้น
ด้วยการขยายรางวัลนำจับอีก 1 รางวัล มูลค่า 1 หมื่นบาทให้กับผู้ที่โทรมาแจ้งเบาะแสให้กับบีเอสเอผ่านทางศูนย์ฮอตไลน์
โดยไม่ต้องบอกชื่อและนามสกุล แต่มีข้อแม้ว่าข้อมูลที่แจ้งมานั้นจะต้องมีรายละเอียด
จนสามารถนำไปสู่การดำเนินคดีทางกฎหมายได้ ซึ่งแตกต่างจากรางวัลนำจับ 2.5
แสนบาท ที่นอกจากจะต้องมีเงื่อนไขในเรื่องข้อมูลแล้ว จะต้องบอกชื่อและนามสกุลด้วยทุกครั้ง
"เราจะมุ่งเน้นไปที่ผู้ใช้ระดับองค์กรให้ตระหนักถึงข้อเสียของการใช้ซอฟต์แวร์ก๊อปปี้
เราพยายามส่งเสริมให้มีการโทรเข้ามาแจ้งที่ศูนย์ฮอตไลน์มากขึ้น" ฮิวอี้
ตันกล่าว
การไล่ล่าขโมยของบีเอสเอในครั้งนี้ แม้จะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าองค์กรที่ใช้ซอฟต์แวร์เถื่อนเป็นสำคัญ
เพราะต้องการย้ำให้เห็นถึงผลเสียของการใช้ซอฟต์แวร์เถื่อน แต่โฆษกของบีเอสเอออกมาย้ำว่าบีเอสเอไม่ได้ละเลยผู้ค้าซอฟต์แวร์เถื่อน
เพราะจะมีมาตรการใหม่ๆ ออกมาในอนาคตเช่นเดียวกัน
อเล็กซ์ เมอร์เซอร์ โฆษกด้านสื่อสารของบีเอสเอที่เดินทางมาร่วมในการแถลงข่าวครั้งนี้
เธอกล่าวว่า การละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ไม่ว่าจะเป็นการขายหรือการใช้ ล้วนแต่เป็นความผิดทางอาญาเพราะเป็นการกระทำเยี่ยงขโมย
เมอร์เซอร์ กล่าวว่าจุดมุ่งหมายของบีเอสเอไม่ใช่การ "ขจัด" ซอฟต์แวร์เถื่อน
แต่เป็นการรณรงค์ให้ทุกคนตระหนักถึงผลเสียของการใช้ซอฟต์แวร์ผิดกฎหมาย ที่จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตซอฟต์แวร์ภายในประเทศ
และยังส่งผลกระทบไปถึงการลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศด้วย
"ผู้ใช้ซอฟต์แวร์ควรตระหนักในเรื่องของการใช้ซอฟต์แวร์ที่ถูกกฎหมาย
เพราะไม่มีใครอยากพัฒนาซอฟต์แวร์มาแล้วก็เกิดปัญหาถูกก๊อปปี้ ซึ่งเวลานี้บีเอสเอได้ว่าจ้างให้ไพรซ์วอเตอร์เฮาส์จัดทำข้อมูลในเรื่องนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ
คาดว่าคงเสร็จประมาณปีหน้า
เธอกล่าวย้ำด้วยว่า สิ่งที่เป็นเป้าหมายของบีเอสเอคือการลดอัตราการละเมิดลิขสิทธิ์จาก
80% ในปี 2539 (ดูตารางประกอบ) ให้เหลือเพียงแค่ 60 % ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า
สำหรับปัญหาในเรื่องราคาซอฟต์แวร์ของแท้ที่มีราคาแพง อันเป็นสาเหตุสำคัญให้มีการละเมิดลิขสิทธิ์ที่เพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา
โดยเฉพาะในภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้ แต่สำหรับเมอร์เซอร์แล้ว เธอกลับมองว่าไม่ใช่ปัญหา
แต่เป็นคนละเรื่องกัน
"เพราะสิ่งที่เราพบก็คือ แม้แต่ซอฟต์แวร์อินเตอร์เน็ต เอ็กซพลอเรอร์
4.0 ที่ไมโครซอฟท์แจกฟรีอยู่แล้วยังถูกก๊อปปี้ออกขาย" ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่ราคาของซอฟต์แวร์
แต่อยู่ที่ผู้ใช้และผู้ขายซอฟต์แวร์เถื่อนจะต้องตระหนักถึงผลเสียของการใช้ซอฟต์แวร์เถื่อน"
แต่บีเอสเอก็พบว่า อุปสรรคอย่างหนึ่งที่จะทำให้อัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ในเมืองไทย
ไม่ได้ลดลงมาเท่าที่ควร นอกจากปัญหาในเรื่องเศรษฐกิจตกต่ำแล้ว ก็คือการที่ยังไม่มีผู้ใดที่ถูกดำเนินคดีแล้วถูกลงโทษขั้นจำคุกเลย
ส่วนใหญ่หากไม่ยอมความก็จะถูกปรับเป็นเงินเท่านั้น
"สิ่งที่บีเอสเอต้องทำก็คือ การปราบปรามทางกฎหมายควบคู่กับความรู้
เราคิดว่าทั้งสองสิ่งนี้จะช่วยให้ปัญหาการก๊อปปี้ซอฟต์แวร์ลดลงได้"
แน่นอนว่า ตราบใดที่ซอฟต์แวร์เถื่อน หรือบรรดานักขโมยซอฟต์แวร์ยังมีอยู่
เมื่อนั้นการไล่ล่าซอฟต์แวร์เถื่อนก็ยังคงมีขึ้น