หลังจากมีข่าวความเคลื่อนไหวมาร่วม 2 ปี ในที่สุดชื่อ โอชอง (Auchan) ธุรกิจค้าปลีกในรูปไฮเปอร์มาร์เก็ต
สัญชาติฝรั่งเศส ก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนเชียงใหม่ไปแล้วเมื่อวันที่
28 พ.ย. ที่ผ่านมา
ในสภาพธุรกิจที่มีความแข่งขันอย่างมาก รายใหม่ที่เข้ามาแชร์ส่วนแบ่งตลาดย่อมเป็นที่สนใจว่าจะแน่สักแค่ไหน
และยิ่งรายนี้มาแปลก เพราะสาขาแรกขึ้นไปตั้งถึงจังหวัดเชียงใหม่ แทนที่จะเป็นกรุงเทพฯ
เหมือนรายอื่นๆ ที่ทำมาเป็นประเพณีปฏิบัติ เพราะความเป็นเมืองหลวง ย่อมหมายถึงศักยภาพของตลาดและกำลังซื้อที่สูง
มีคนพูดว่าผู้บริหารของโอชองถูกทำให้เชื่อว่าเชียงใหม่น่าลงทุนกว่าในกรุงเทพฯ
เพราะการแข่งขันที่ไม่สูงมากนัก อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้ไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนนักจากผู้บริหารโอชอง
แต่ข่าวก็ออกมาในทำนองที่ว่าสาเหตุที่เลือกเชียงใหม่ เพราะต้องการหลีกเลี่ยงการแข่งขันในกรุงเทพฯ
ในขณะที่เชียงใหม่ถือเป็นจังหวัดที่มีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจใกล้เคียงกับกรุงเทพฯ
และเหมาะสมกับราคาสินค้าของโอชองที่ต้องการเจาะตลาดลูกค้าเฉพาะกลุ่ม (Niche
Market)
และถ้าถามว่ากลัวการแข่งขันในตลาดกรุงเทพฯ หรือไม่นั้น ผู้บริหารอย่าง
ฟิลิปป์ ริชาร์ด กรรมการผู้จัดการก็ตอบได้ทันทีว่า "ไม่กลัว เพราะถ้ากลัวเราคงไม่มา
อีกประการหนึ่งไม่ว่าตลาดไหนก็มีการแข่งขันทั้งนั้น แม้แต่ตลาดยุโรปก็มีการแข่งขันที่รุนแรงและมีปัญหาเช่นกัน
แต่เราก็ผ่านมาได้"
ดังนั้น จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม สิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ได้คือ หลังจากการเปิดอย่างไม่เป็นทางการ
(soft Opening) แล้วมาเป็นการเปิดอย่างเป็นทางการ (Grand Opening) และหลังจากนั้น
ลูกค้าของโอชองยังคงมีมาอย่างต่อเนื่อง จนถึงขั้นว่าระบบไฟฟ้าเกิดขัดข้องหลังจากเปิดอย่างเป็นทางการเพียงวันเดียว
ด้วยเพราะทำงานมากไป
จากความสำเร็จในวันเปิดนั้นไม่ว่าจะเป็นโชคช่วย หรือการวิเคราะห์ตลาดที่ถูกทาง
แต่ก็เป็นเครื่องยืนยันได้ว่าธุรกิจการค้าปลีกประเภทนี้ ยังดำรงอยู่ได้ไม่ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร
และอาจจะเป็นสัญญาณที่บอกว่า ยิ่งเศรษฐกิจแย่การรุกธุรกิจในต่างจังหวัดอาจเป็นผลดีก็เป็นได้
เพราะจากการประมาณคร่าวๆ ในขณะที่ตลาดในกรุงเทพฯ เริ่มชะลอตัว ตลาดในต่างจังหวัดกลับไปได้
ดังนั้น จากแนวคิดเดิมที่มองกันว่ากำลังซื้อในต่างจังหวัดมีน้อยกว่าในกรุงเทพฯ
ก็เป็นอันว่าไม่จริงเสมอไปเสียแล้ว
สาเหตุหนึ่งที่ต่างจังหวัดโดยเฉพาะเมืองใหญ่ที่ยังมีศักยภาพที่ดี เพราะกำลังซื้อส่วนใหญ่มาจากข้าราชการที่ยังไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ
ต่างจากกรุงเทพฯ ซึ่งมีสัดส่วนประชากรที่เป็นพนักงานบริษัทเอกชนอยู่ค่อนข้างมาก
และคนกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบโดยตรง ซึ่งหมายถึงกำลังซื้อที่ลดลงด้วย ในขณะเดียวกันคหบดี
หรือผู้มีอันจะกินทั้งหลายในหัวเมืองต่างๆ ก็มีอยู่มากไม่ใช่น้อย
เหล่านี้จึงเป็นคำตอบว่าภายในระยะเวลาอันสั้น ในปีที่แล้วเพียงช่วงเดือนพฤศจิกายนเดือนเดียวจึงมีกิจการค้าปลีกเปิดตัวถึง
3 ราย เริ่มจากห้างโลตัสของซีพี ตามมาด้วยไฮเปอร์มาร์ทสัญชาติฝรั่งเศส 2
ราย คือ คาร์ฟูร์ และ โอชอง ที่ทยอยเปิดตัวชนิดอาทิตย์ต่ออาทิตย์ทีเดียว
โดยโอชองมีภาษีดีหน่อยตรงที่หลังจากเปิดตัวแล้วยังมีโปรโมชั่นต่างๆ ตามมาเป็นระยะจึงยังรักษาลูกค้าไว้ได้ค่อนข้างมาก
ในขณะที่รายอื่นจัดกิจกรรมเฉพาะช่วงเปิดตัวจึงรักษาลูกค้าไว้ไม่ได้เท่าที่ควรนัก
และจากปรากฏการณ์เปิดตัวอาทิตย์ละแห่งนี้ ชาวเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียงก็ได้แสดงให้เห็นถึงกำลังซื้อที่มีว่าสูงเพียงใด
เพราะเมื่อมีการเปิดตัวห้างแต่ละห้างลูกค้าก็จะมีลักษณะ "แห่กันไปซื้อ"
เริ่มจากโลตัส แทรกด้วยแม็คโครที่เปิดในเชียงใหม่มาก่อนหน้านี้ ได้ทำโปรโมชั่นจับฉลากชิงโชคแจกของแถม
และสินค้าราคาถูกบางรายการ จากนั้น อาการแห่ไปดูไปซื้อก็ไหลไปสู่คาร์ฟูร์และตามมาด้วยโอชอง
โอชองนั้น ทำโปรโมชั่นลดราคาสินค้าถึง 50% (บางรายการ) และจัดชิงโชคแจกรถยนต์
MIRA วันละคัน เป็นเวลา 3 วัน และอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น คือ หลังจากนั้นก็มีโปรโมชั่นทั้งลด
ทั้งแจก ออกมาเป็นระยะ ทำให้คนยังเข้าเยอะอย่างสม่ำเสมอ
เดินเครื่องเต็มที่..ไม่หวั่นเศรษฐกิจซบ
ความแรงของโอชองนั้นเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ง่ายในเรื่องการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ เพราะถ้าสาขานี้ไม่ประสบความสำเร็จโอชองก็อาจจะต้องเก็บประเป๋ากลับบ้าน
แต่เรื่องอย่างนี้คงไม่เกิดขึ้นง่ายๆ เพราะโอชองเองก็หวังใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการขยายธุรกิจไปสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ส่วนที่เลือกไทยเป็นจุดร่อนลงจุดแรก เพราะจากการสำรวจพบว่าเมืองไทยเป็นตลาดที่การเติบโตสูงที่สุด
และแม้ว่าเศรษฐกิจของเราแย่ ก็ไม่ทำให้แผนการลงทุนและขยายงานในไทยจะชะงักไปแต่อย่างใด
เพราะปี' 41 นี้โอชองเตรียมลงสาขาที่ 2 ที่กรุงเทพฯ แน่นอน
สำหรับสาขาที่เชียงใหม่ซึ่งเป็นสาขาที่ 198 ของกิจการในรูปไฮเปอร์มาร์เก็ตของโอชอง
ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 70 ไร่ มีพื้นที่การขายประมาณ 10,700 ตร.ม. มีพื้นที่จอดรถ
1,300 คัน และรถจักรยานยนต์ 700 คัน เงินลงทุนในช่วงแรกตกประมาณ 1,340 ล้านบาท
ซึ่งรวมถึงการทุ่มสร้างอุโมงค์เข้าออก ลอดผ่านถนนซูเปอร์ไฮเวย์มูลค่ากว่า
80 ล้านบาทด้วย
บริษัทวางเป้าว่าจะสามารถรองรับลูกค้าให้ได้ประมาณ 7,000-15,000 คนต่อวัน
ด้วยสินค้ากว่า 4 หมื่นรายการ และในจำนวนนี้ประมาณ 600 รายการจะจัดเป็นสินค้าพิเศษไว้ดึงลูกค้าโดยเฉพาะ
และการันตีสินค้าราคาถูกด้วยการประกาศคืนเงินส่วนต่างให้มากถึง 2 เท่า หากลูกค้าไปพบสินค้าชนิดเดียวกันภายในจังหวัดเชียงใหม่ที่มีราคาต่ำกว่า
สิ่งพิเศษอีกประการและถือเป็นเสน่ห์ของต่างจังหวัดคือ โอชองมีบริการรถสองแถวฟรีในวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์
โดยมีจุดรับจอดถึง 14 จุด ทั้งในบริเวณตัวจังหวัดเชียงใหม่หรืออำเภอใกล้เคียง
อาทิ แม่ริม สันทราย หางดง ฯลฯ รวมทั้งจังหวัดใกล้เคียงอย่างลำพูนก็มีบริการพิเศษด้วยเช่นกัน
สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้นอกจากจุดแข็งในเรื่องราคาและการทำโปรโมชั่นแล้ว
ด้านฝ่ายพนักงานเองผู้บริหารก็พยายามสร้างวัฒนธรรมของโอชองขึ้นที่นี่ด้วยวิธีการที่ดีที่สุด
คือ การนำคนของโอชองจากต่างประเทศมาทำงานด้วย ทั้งในระดับบริหารไปจนถึงพนักงานระดับปฏิบัติการ
ดังนั้น ในช่วงแรกลูกค้าที่เข้าไปใช้บริการซื้อสินค้าอาจจะมีความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในต่างประเทศ
ก็ไม่ปาน เพราะจะเห็นหนุ่มสาวชาวฝรั่งเศสเดินไปเดินมาทั่วอาคารไปหมด ซึ่งพนักงานส่วนใหญ่คงจะมาคุมทางด้านสต็อกสินค้าเป็นหลัก
มากกว่าจะมาเป็นพนักงานหน้าร้าน
โอชองเปิดสาขาแรกที่เชียงใหม่ นับเป็นการแจ้งเกิดที่ค่อนข้างแปลกอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น
แต่ปัจจัยอีกประการที่ทำให้โอชองตัดสินใจไปเชียงใหม่นอกจากศักยภาพของตลาดแล้วก็คือ
ผู้ร่วมทุนไม่ว่าจะเป็นกลุ่มตันตราภัณฑ์ กลุ่มบางจาก และเอสแอนด์พี ซึ่งย่อมเห็นได้ถึงความแข็งแกร่งของผู้ร่วมทุน
ในอันที่จะนำพาโอชองฝ่ามรสุมเศรษฐกิจของไทยและการแข่งขันที่มีอยู่อย่างดุเดือด
แต่เหนือสิ่งอื่นใด มร. ฟิลิปป์ ริชาร์ด กรรมการผู้จัดการฯ กล่าวว่า "เราจะเน้นในเรื่องความพึงพอใจของลูกค้า
โดยเฉพาะในเรื่องของราคาสินค้าและการบริการเป็นหัวใจสำคัญ"