|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บลจ.ทิสโก้เผยกลยุทธ์การลงทุนในปี 48 เน้นลงทุนตราสารหนี้ระยะสั้นเป็นหลัก เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในประเทศ ขณะที่ธนชาติ-อยุธยาเจเอฟเข็นกองทุนพันธบัตรระยะสั้นจ่อคิว ดึงฐานลูกค้าเงินฝาก
รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า แผนการลงทุนในไตรมาสแรกของปี 2548 บริษัทจะเน้นการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นเป็นหลัก เนื่องจากต้องการลดความเสี่ยงจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นขชองอัตราดอกเบี้ยในประเทศ และทยอยปรับพอร์ตการลงทุนให้มีอัตราผลตอบแทนสูงขึ้นไปตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น
สำหรับแนวโน้มของตลาดตราสารหนี้ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ การซื้อขายน่าจะเน้นไปที่ตลาดตราสารระยะสั้น เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น ทำให้อัตราผลตอบแทนของตราสารระยะสั้นและระยะกลางมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้อีก แต่ไม่น่าจะรุนแรงมากนัก เนื่องจากอัตราผลตอบแทนในปัจจุบันได้ตอบรับข่าวการรปับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยมากพอสมควร
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความเสี่ยงที่อัตราดอกเบี้ยในประเทศจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าคาดการณ์ไว้ได้ เมื่อมีการยกเลิกการตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล ซึ่งจะมีผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อโดยตรง นอกจากนี้หากทางธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงก็อาจส่งผลต่ออัตราผลตอบแทนของตราสารในตลาดตราสารหนี้ไทยด้วยเช่นกัน
รายงานข่าวกล่าวว่า แม้ว่าแรงกดดันอัตราเงินเฟ้อจะลดลงจากการปรับลดลงของราคาน้ำมันในตลาดโลก และค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังคงตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตร (อาร์/พี) 14 วัน อีก 0.25% ในการปรับชุมรอบเดือนธันวาคม 2547 เป็นการปรับขึ้นครั้งที่ 2 ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2547 ทำให้อัตราดอกเบี้ยในไตรมาสที่ 4 ปรับขึ้นรวม 0.50% มาอยู่ที่ 2% เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับดอกเบี้ยสหรัฐ
ขณะเดียวกันการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์เป็นผลให้อัตราผลตอบแทนของตราสารระยะสั้นและระยะปานกลางปรับตัวขึ้นตาม ในส่วนของการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจก็เริ่มมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากผลกระทบของราคาน้ำมันดิบที่สุงขึ้น เห็นได้จากตัวเลขการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ในไตรมาสที่ 3 ที่ลดลงมาอยู่ที่ 6% จาก 6.6% ในครึ่งแรกของปี 2547 ทำให้อัตราผลตอบแทนของตราสารระยะยาวยังคงไม่ปรับตัวสูงขึ้นจากระดับเดิม
รายงานข่าวระบุว่า ภาวะการลงทุนในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2547 ของตลาดตราสารหนี้ไทยเริ่มแสดงให้เห็นถึงทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น โดยอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ระยะสั้น และระยะกลางได้ทยอยปรับตัวขึ้นตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรประเภท 14 วัน ในขณะที่อัตราผลตอบแทนของตราสารระยะยาวยังทรงตัวอยู่ใกล้เคียงระดับเดิม เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงหลีกเลี่ยงที่จะลงทุนในตราสารระยะยาว ทำให้ดัชนีพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวขึ้นเพียง 0.31% ในไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ 147.42 จุด
รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ธนชาติ จำกัด กล่าวว่า กองทุนเปิดธนชาติตราสารหนี้ระยะสั้น1 ที่เสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 14-22 กุมภาพันธ์ มียอดจองซื้อสูงกว่า 1,076.35 ล้านบาท ล่าสุดกองทุนเปิดธนชาติพันธบัตร ที่เปิดเสนอขายระหว่างวันที่ 16-22 กุมภาพันธ์นั้น ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนเป็นอย่างมาก โดย บลจ.ธนชาติ จะเสนอขายกองทุนเปิดธนชาติพันธบัตรในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไปและรับซื้อคืนทุกวันที่ 20 ของเดือน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในตราสารที่มีความเสี่ยงต่ำ
สำหรับกองทุนเปิดธนชาติพันธบัตร (NASSET GOVERNMENT BOND FUND : NGB) จะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และพันธบัตรที่ รัฐวิสาหกิจเป็นผู้ออกโดยมีกระทรวงการคลังค้ำประกันเป็นหลัก มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท เสนอขายทุกวัน
รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยาเจเอฟ จำกัด หรือ AjF กล่าวว่า กองทุนรวมอยุธยาพันธบัตรรัฐบาล 3/49 คุ้มครองเงินต้น โครงการมีอายุ 1 ปี ซึ่งเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุใกล้เคียงหรือเท่ากับกองทุน เริ่มเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรกตั้งแต่วันที 1-7 มีนาคม 2548 ลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท
ก่อนหน้านี้ นายเรืองวิทย์ นันทาภิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยาเจเอฟ จำกัด กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนออกกองทุนตราสารหนี้เฉลี่ยเดือนละ 1 กอง กองทุนละ 1 พันล้านบาท เพื่อให้ง่ายต่อการบริหาร เพราะถ้าหากออกเป็นจำนวนมากจะทำให้หาสินค้าในตลาดได้ยาก ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการลงทุน
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตหากสินค้าที่เป็นตราสารหนี้ระยะสั้นได้ยาก บริษัทก็เตรียมปรับกลยุทธ์การออกกองทุน โดยหันไปให้ความสำคัญกับการออกตราสารหนี้ภาครัฐเพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีอายุเฉลี่ยประมาณ 9 เดือน หรือ 12 เดือน
|
|
|
|
|