ปี 2540 เป็นปีที่ บริษัท ซีเมนส์ เอจี จำกัด ยักษ์ใหญ่วงการอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีจากเยอรมนีได้ฉลองการก่อตั้งครบรอบ
150 ปี ถือว่าเป็นบริษัทข้ามชาติบริษัทหนึ่งที่มีธุรกิจอยู่เกือบทุกมุมของโลก
มีพนักงานทั่วโลก 386,000 คน และปีนี้ถือว่าเป็นปีแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมามียอดขายทะลุ
100 พันล้านมาร์ก
Dr. Heinrich V. Pierer ประธานกรรมการและหัวหน้าฝ่ายบริหารอาวุโสของ ซีเมนส์
เอจี. เบอร์ลินและมิวนิค กล่าวในงานแถลงข่าวประจำปีว่า ในปีงบประมาณที่ผ่านมา
ซีเมนส์สามารถเพิ่มยอดสั่งซื้อได้อีก 12% เป็น 113.1 พันล้านมาร์ก (ประมาณ
2,699 พันล้านบาท) และมียอดขายเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 14% เป็น 106.9 พันล้านมาร์ก
(ประมาณ 2,551 พันล้านบาท) ทำให้มีรายได้สุทธิเพิ่มขึ้นประมาณ 5% เป็น 2.61
พันล้านมาร์ก (ประมาณ 62.23 พันล้านบาท)
"ผลประกอบการเราทำได้มากกว่าเป้าหมายการเติบโตที่ตั้งไว้สำหรับปีนี้
และเป็นการทำลายสถิติผลประกอบการของธุรกิจโดยรวมที่เพิ่มขึ้น 9% เป็นยอดมากกว่า
3.5 พันล้านมาร์ก (ประมาณ 83.51 พันล้านบาท)"
เขาอธิบายต่อไปว่าธุรกิจที่ทำรายได้ให้บริษัทมากที่สุดมาจากธุรกิจงานสื่อสาร
และกลุ่มธุรกิจเครือข่ายสาธารณะซึ่งเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตของธุรกิจนานาชาติสูง
ซึ่งมีผลรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าตัว เป็น 800 ล้านมาร์ก (ประมาณ 19.09
พันล้านบาท) และผลประกอบการด้านอุตสาหกรรมเติบโตประมาณ 350 ล้านมาร์ก นอกจากนี้กลุ่มธุรกิจอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
แม้ว่าบริษัทจะลงทุนสูงในการสร้างโรงงานใหม่ๆ แต่ก็ยังมีผลประกอบการเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ
100 ล้านมาร์ก (ประมาณ 2,386 ล้านบาท)
ถึงแม้ว่าจะประสบความสำเร็จมากมายหลายด้าน แต่ซีเมนส์ก็ยังมีงานอีกมากมายที่ต้องปฏิบัติต่อไป
เช่น งานของ 3 กลุ่มธุรกิจ ซึ่งตัวเลขผลประกอบการยังอยู่ในเขตสีแดง คือ กลุ่มธุรกิจวิศวกรรมการแพทย์
ซึ่งมีสาเหตุเกิดจากมูลค่าของการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้าง เพราะทุกแห่งทั่วโลกพยายามตัดค่าใช้จ่ายงานดูแลด้านสุขภาพลง
และราคาที่ลดลงทำให้กลุ่มธุรกิจนี้ประสบกับความกดดันที่สูง ถ้ามีการปรับปรุงทางโครงสร้างด้านนี้ตัวเลขผลประกอบการก็จะอยู่ในเขตส่วนบวกในปี
2541
ในกลุ่มธุรกิจระบบการขนส่ง ที่ผ่านมาโครงการต่างๆ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
ค่าการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้าง และค่าใช้จ่ายเสริมที่เกิดขึ้นในโครงการใหญ่ๆ ซึ่งสภาพและสถานการณ์คล้ายคลึงกันนี้ก็เกิดขึ้นกับคู่แข่งทั้งหลายของซีเมนส์เช่นเดียวกัน
ดังนั้นกลุ่มธุรกิจดังกล่าวจะต้องปรับตัวตามสภาพราคาที่แข่งขันกัน ดังนั้นผลประกอบการจากกลุ่มธุรกิจนี้จะลดลงบ้างในปีนี้แต่จะสูงขึ้นในปี
2542
ด้านกลุ่มธุรกิจส่งจ่ายพลังงานไฟฟ้า ปัจจุบันประสบปัญหาการตลาดที่ไม่ลงตัว
การเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์และประสิทธิภาพที่มีเกินความต้องการในส่วนงานอุตสาหกรรม
ดังนั้นปัญหาเหล่านี้จะเกิดขึ้นในโครงการด้านพลังงานต่างๆ ของบริษัท ซึ่งจะส่งผลสะท้อนมายังผลประกอบการในปีนี้
ส่วนการคาดการณ์ผลประกอบการในปี 2541 Dr. Pierer มั่นใจว่าจะมียอดรายได้สุทธิสูงกว่า
3 พันล้านมาร์ก (ประมาณ 71.58 พันล้านบาท) ส่วนยอดสั่งซื้อจะอยู่ระหว่าง
115-120 พันล้านมาร์ก (ประมาณ 2,744-2,863 พันล้านบาท) และจะมียอดขายเพิ่มสูงถึง
110-115 พันล้านมาร์ก (ประมาณ 2,625-2,744 พันล้านบาท)
เมื่อมองออกไปถึงธุรกิจในต่างประเทศ โฮโม ครุช ประธานกรรมการและหัวหน้าฝ่ายบริหาร
บริษัท ซีเมนส์ ประเทศไทย จำกัด เล่าว่าในช่วงที่ผ่านมายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ยอดขายและยอดสั่งซื้อใหม่ได้เพิ่มขึ้นกว่า 20% โดยมียอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้น
77.5 พันล้านมาร์ก และมียอดขายเพิ่มขึ้น 70.6 พันล้านมาร์ก
โดยมีรายได้มาจากธุรกิจในอเมริกาเหนือและใต้ประมาณ 20% เอเชีย-แปซิฟิกมากกว่า
10% ยุโรปประมาณ 30% และในเยอรมนีประมาณ 35% อย่างไรก็ตามในอีก 2-3 ปีข้างหน้าในภาคพื้นทวีปอเมริกาเหนือและใต้จะทำยอดขายได้ประมาณ
25% ของยอดขายรวมทั้งหมด เอเชีย-แปซิฟิกประมาณ 20% ที่เหลือจะมาจากยุโรปและในเยอรมนี
แต่ความน่าเป็นห่วงในปัจจุบันนี้ คือ ความผันผวนทางเศรษฐกิจในเอเชีย จึงมีคำถามว่าสถานการณ์เช่นนี้มีผลกระทบต่อซีเมนส์หรือไม่
เรื่องนี้ครุช เล่าว่า ธุรกิจบริษัทไม่ได้รับผลกระทบเกี่ยวกับการพัฒนาในปีงบประมาณที่แล้ว
ตัวเลขของธุรกิจในท้องถิ่นเมื่อเปรียบเทียบกลับไปเป็นมูลค่าเงินมาร์ก ส่วนความอ่อนตัวลงของค่าเงินในประเทศไทย
มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มีผลเล็กน้อยต่ออัตราการเติบโตตามยอดขายที่ลดลง
รวมทั้งผลประกอบการไตรมาสสุดท้ายปี 2540 แต่การสูญเสียด้านมูลค่าเงินนั้นไม่มีเพราะบริษัทต่างๆ ได้มีมาตรการป้องกันไว้อยู่แล้ว
"อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศต่างๆ ในเอเชีย-แปซิฟิกได้ชะลอตัวลง
แต่เราเชื่อว่าตลาดด้านไฟฟ้าจะยังคงเป็นต่อ และก้าวหน้ากว่าตลาดในยุโรปตะวันตกและอเมริกาเหนือ
และผลดีเนื่องจากสถานการณ์ในปัจจุบัน ได้แก่ มูลค่าเพิ่มของต้นทุนในท้องถิ่นลดลงทำให้เรามีประสิทธิภาพด้านการแข่งขันสูงขึ้น"
ครุช อธิบาย
เมื่อมองเข้ามาในประเทศไทย ปรากฏว่าการเติบโตของซีเมนส์ ถือว่าไม่ด้อยไปกว่าประเทศอื่นๆ เห็นได้ชัด คือ ยอดสั่งซื้อใหม่ปี 2540 เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วสูงถึง 175%
คิดเป็นมูลค่า 32.87 พันล้านบาท โดยได้จากธุรกิจการขนส่งมากที่สุด คิดเป็นมูลค่า
13.68 พันล้านบาท ตามด้วยธุรกิจสื่อสารคมนาคม มูลค่า 6.57 พันล้านบาท และธุรกิจอุตสาหกรรม
มูลค่า 1.77 พันล้านบาท ส่งผลให้ยอดขายโดยรวมเพิ่มขึ้น 60% จากปีที่แล้วคิดเป็นมูลค่า
12.57 พันล้านบาท โดย 3 ธุรกิจที่ทำยอดขายสูงสุดนั้นมาจากธุรกิจสื่อสารฯ
6.29 พันล้านบาท ธุรกิจพลังงาน 2.46 พันล้านบาท และธุรกิจอุตสาหกรรม 1.27
พันล้านบาท
จากตัวเลขดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ซีเมนส์มีรายได้ส่วนใหญ่จากโครงการที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง
ทั้งจากภาครัฐและเอกชน จึงคาดกันว่านับตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป โอกาสที่จะเห็นการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่เช่นเดิมคงจะไม่ค่อยมีอีกแล้ว
เนื่องจากการขาดสภาพคล่องทางการเงิน นั่นหมายความว่าจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของซีเมนส์มากพอสมควร
"คงต้องขึ้นอยู่กับเจ้าของโครงการว่าโครงการไหนที่จำเป็นต้องเร่งทำ
ดังนั้นจึงบอกไม่ได้ว่าตอนนี้เรามีโครงการอะไรในมือบ้าง แต่โครงการที่ได้ทำแล้วก็มีโรงงานประกอบรถยนต์โอเปิลของค่ายจีเอ็ม
หรือโครงการขยายเครือข่ายระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้กับ AIS ส่วนโครงการของภาครัฐเรากำลังรอลุ้นองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย"
สำหรับธุรกิจในไทยของซีเมนส์แบ่งออกเป็นกลุ่มธุรกิจสื่อสารคมนาคม, พลังงาน,
อุตสาหกรรม, เทคโนโลยีสารสนเทศ, การขนส่ง, ผลิตภัณฑ์ด้านไฟฟ้า และเครื่องมือทางการแพทย์
โดยที่ผ่านมาธุรกิจสื่อสารฯ เป็นกลุ่มที่ทำรายได้ให้มากที่สุด แต่จากนี้ไปธุรกิจกลุ่มการขนส่งจะขึ้นมาแทนที่
รองลงไปเป็นกลุ่มสื่อสารฯ พลังงาน อุตสาหกรรม ส่วนอัตราการเติบโตของรายได้คาดว่าในช่วงตั้งแต่ปี
2539-2543 จะสูงขึ้นประมาณ 18% และจะมีกำไรสุทธิประมาณ 25,000 ล้านบาท