ถึงฉบับสุดท้ายของปีในแต่ละปี Time Magazine จะมีการลงคะแนนเสียงคัดเลือกบุรุษแห่งปี
หรือ Man of the Year พร้อมกับเสนอเรื่องจากปกที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับคนนั้นโดยส่วนใหญ่
Man of the Year จะเป็นบุคคลที่ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวงกับมนุษยชาติ
และในปีนี้คนที่ได้รับตำแหน่งนี้ไปครองคือ Andrew Grove ซึ่งเป็น CEO ของบริษัท
Intel หรือ อินเทล ซึ่งผมเชื่อว่าทุกคนคงจะรู้จักบริษัทดังกล่าวเป็นอย่างดี
เนื่องจากคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (ซึ่งเกือบจะกลายเป็นอุปกรณ์สามัญประจำบ้านพักอาศัย)
กว่า 90% ใช้ไมโครโปรเซสเซอร์ของอินเทล
Time เขียนแซว Grove ไว้ในบทความของนิตยสารถึงความระแวงของเขา และความหินของเขากับลูกน้อง
หรือเพื่อนร่วมงาน ถึงขนาดที่นิตยสาร Fortune เองเคยจัดให้ Grove เป็นเจ้านายที่หินที่สุดคนหนึ่งของอเมริกา
Grove เขียนหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง เพิ่มตีพิมพ์เมื่อปีที่แล้ว ชื่อของหนังสือเล่มนี้น่าสนใจมาก
เขาใช้ชื่อว่า Only the paranoid survive แปลเป็นภาษาไทยคงจะได้ชื่อว่า "มีแต่คนระแวง
(เท่านั้น) ที่จะอยู่รอด (ในธุรกิจ)
หนังสือเล่มนี้มี 9 บท ผมเองคิดว่าบทที่น่าสนใจที่สุด คือ บทนำของหนังสือ
เพราะเป็นบทกล่าวนำที่สรุปแนวคิดของเขาไว้อย่างได้ใจความแบบสั้นกะทัดรัด
ส่วนบทอื่นๆ ก็คือ การขยายความและตัวอย่างจากประสบการณ์การบริหารของเขา
Grove เกริ่นนำหนังสือของเขาด้วยคติประจำใจที่นำไปใช้เป็นชื่อหนังสือ โดยเขาเชื่อว่าเมื่อธุรกิจเติบใหญ่ขึ้น
พร้อมกันนั้นมันก็ได้เพาะเมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายตัวเอง เพราะเมื่อธุรกิจของคุณเจริญขึ้น
ทุกคนก็พร้อมที่จะเข้ากอบโกย หรือสูบเอาทุกสิ่งจากคุณไป จนไม่เหลืออะไร หน้าที่สำคัญในลำดับต้นของ
CEO สำหรับ Grove ก็คือ คอยระมัดระวังเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมกับปลูกฝังความคิดดังกล่าวให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาของตัว
Grove บอกว่ารูปธรรมของความระแวดระวังดังกล่าวคือ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับความล้มเหลวของผลิตภัณฑ์
ความกังวลว่าเขาจะนำผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาดเร็วเกินไป เขากังวลว่าเขาจ้างคนถูกประเภทของงานหรือไม่
และแน่นอนรวมไปถึงความกังวลว่าคู่แข่งจะรู้ถึงความลับทางธุรกิจของเขา และนำมาใช้เป็นประโยชน์
อย่างไรก็ตามความระแวง หรือความกังวลเหล่านี้เทียบไม่ได้กับ ความกังวลในสิ่งที่เขาเรียกว่า
จุดเปลี่ยนทางยุทธศาสตร์ (Stratigic inflection points)
เขาอธิบายว่าจุดเปลี่ยนทางยุทธศาสตร์ คือ ภาวะที่เป็นจุดตัดสินความเป็นความตาย
ความเจริญรุ่งเรือง หรือความล้มเหลวของธุรกิจนั้น เป็นภาวะที่พื้นฐานในการทำธุรกิจนั้นๆ จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงนั้นอาจจะนำไปสู่การทะยานไปข้างหน้าของธุรกิจ
หรือถ้าหากคุณตัดสินใจผิดพลาดในการเปลี่ยน (ซึ่งรวมถึงการอยู่เฉยๆ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร)
นั่นหมายถึงจุดจบของธุรกิจหรืออุตสาหกรรมนั้น
Grove อธิบายว่า สำหรับเขาแล้ว จุดเปลี่ยนทางยุทธศาสตร์ อาจจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมนั้น
หรืออาจถูกกำหนดจากการที่ต้องแข่งขันกับคู่แข่งทางธุรกิจ แต่แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ได้เพียงแค่การเปลี่ยนเทคโนโลยี
หรือการเอาชนะทางการตลาด แต่หมายถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดไปจากพื้นฐานเดิมของธุรกิจนั้น
ซึ่งรวมถึงแนวคิดในการประกอบธุรกิจนั้นด้วย
การนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้ หรือการเอาชนะคู่แข่งทางธุรกิจด้วยวิธีเดิมๆ ที่เคยทำมาจึงไม่เพียงพอ และไม่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงทางยุทธศาสตร์
และ Grove เชื่อว่าเมื่อภาวะดังกล่าวมาถึง บริษัทที่เลือกการเปลี่ยนแปลงเพียงแค่เชิงเทคนิค
เช่นใช้เทคโนโลยีใหม่เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต การลดต้นทุน หรือการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดแบบเดิมๆ จะลงท้ายด้วยการเริ่มต้นของการนับถอยหลังไปสู่การตกต่ำของธุรกิจนั้น
ตัวอย่างที่ดีของภาวะหรือช่วงเวลาที่คุณต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ของการทำธุรกิจ
ก็คือ ในกรณีของ อินเทล ที่ Grove บริหาร
ในยุคนั้น อินเทลซึ่งถือกำเนิดมาในปี ค.ศ. 1968 ทำธุรกิจผลิตหน่วยความจำในคอมพิวเตอร์
(RAM) ทุกคน ทั้งในและนอกบริษัทเข้าใจดีว่า อินเทลคือบริษัทผลิตหน่วยความจำ
ทุกอย่างไปได้ด้วยดี และเข้าสู่จุดสูงสุดในปี 1983 ความต้องการหน่วยความจำมีมากเสียจนผลิตไม่ทัน
อินเทลต้องเพิ่มกำลังการผลิต และเปิดโรงงานใหม่ขึ้นอีกหลายแห่ง
แต่พอถึงช่วงปลายปี 1984 วิกฤตการณ์ก็เริ่มปรากฏให้เห็น ความต้องการในหน่วยความจำเริ่มลดลง
ในขณะที่กำลังการผลิตมีมากเกินต้องการ และปัญหาถูกซ้ำเติมจากการที่บริษัทญี่ปุ่นดั๊มป์ราคาหน่วยความจำ
มีการประชุมในระดับผู้บริหารหลายต่อหลายครั้งเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ดังกล่าว
ข้อเสนอมีตั้งแต่ขยายกำลังการผลิตให้มากขึ้นเพื่อสู้กับสงครามดั๊มป์ราคา
หรือการใช้เทคโนโลยีใหม่เพื่อผลิตหน่วยความจำที่มีคุณภาพดีกว่า รวมไปถึงการคิดค้นหน่วยความจำชนิดใหม่
ทุกความเห็นในการกอบกู้วิกฤตการณ์ล้วนวนเวียนอยู่ในธุรกิจที่เป็นเอกลักษณ์ของอินเทล
นั่นคือหน่วยความจำ ในขณะที่สถานการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆ ในกาลงปี 1985 ในการพูดคุยระหว่าง
Grove และ Moore ซึ่งเป็น CEO ของอินเทลขณะนั้น Grove ตั้งคำถามกับ Moore
ว่าถ้าหากกรรมการบริหารอินเทลปลดเขาทั้งสองคนแล้วตั้ง CEO คนใหม่ Moore คิดว่า
CEO คนใหม่จะแก้ไขปัญหาอย่างไร
Grove เล่าว่า Moore ตอบโดยไม่ลังเลว่า เขาคงจะกำจัดเราทั้งสองออกไปจากความ
(ทรง) จำ ในตอนนั้นเองที่ Grove เกิดความคิดขึ้น เขาบอกกับ Moore ว่า ถ้าอย่างนั้นทำไมเราทั้งสองคนไม่เดินออกไป
แล้วกลับมาจัดการมันด้วยตัวเราเอง
นั่นคือการผ่านจุดเปลี่ยนทางยุทธศาสตร์ โดยการให้กำเนิดขึ้นของสิ่งที่เรารู้จักกันดีในปัจจุบันของโลโก
Intel inside นั่นคือ อินเทลสามารถผ่านพ้นวิกฤตของภาวะหน่วยความจำล้นตลาด
โดยเปลี่ยนยุทธศาสตร์ไปสู่การเป็นผู้ผลิต Microprocessor ที่ปัจจุบันครองส่วนแบ่งการตลาดถึง
90%
สิ่งที่ Grove บอกกับเราก็คือ ไม่ใช่ว่าคุณจะเป็นเหยื่อของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
ในขณะเดียวกันคุณก็เป็นผู้กระทำด้วย เพราะการเปลี่ยนยุทธศาสตร์ของอินเทลเอง
รวมถึงการออกแบบ Microprocessor ใหม่ๆ ส่งผลให้ชีวิตของเราในปัจจุบันไม่เหมือนเดิม
ปัญหาก็คือ เมื่อไหร่เราจะทราบว่า ถึงภาวะที่คุณต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์และแนวคิดในการทำธุรกิจใหม่หมด
Grove บอกว่า เป็นเรื่องไม่ง่ายเลยที่คุณจะทราบว่า ธุรกิจของคุณกำลังอยู่ตรงขอบเหวหรือไม่
อย่างไรก็ตามเมื่อหลายสิ่งหลายอย่างในธุรกิจของคุณไม่เหมือนเดิม เช่นคู่แข่งคนสำคัญของคุณไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป
ธุรกิจที่คุณเคยแข่งขันด้วยเปลี่ยนไปจากเดิม หรือกระทั่งลูกน้องคนเก่งของคุณกลับกลายเป็นคนที่ดูจะไม่สามารถแก้ปัญหาเดิมๆ ที่เขาเคยทำได้ หรือเมื่อไหร่ที่ตัวคุณเองรู้สึกว่า คุณไม่เข้าใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นในธุรกิจที่คุณดูแลอยู่
นั่นคือสัญญาณบอกว่า มันถึงเวลาที่คุณจะต้องปรับยุทธศาสตร์ใหม่ นั่นหมายความว่า
CEO ต้องคอยระแวง และคอยตรวจสอบว่าภาวะของการเปลี่ยนยุทธศาสตร์ในการทำธุรกิจมาถึงหรือยัง
สำหรับปีใหม่นี้นอกจากความท้อถอยกับปัญหาทางเศรษฐกิจที่กระหน่ำประชาชนชาวไทย
รวมถึงเพื่อนบ้านของเราในภูมิภาคนี้ การอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วมองออกไปข้างหน้า
อาจทำให้เราเห็นแสงสว่างที่ปลายทาง และจุดประกายความคิดที่จะผ่านพ้นวิกฤตการณ์
มากกว่าการเอาของเก่าหรือของใช้แล้วมาขายที่ตลาดนัดของคนเคย (และไม่เคย)
รวย