Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน23 เมษายน 2545
เปิดความจริงดบ.ต่ำ รัฐ-ธปท.เดินผิดทาง             
 

   
related stories

ผ่าระบบ "แบงก์ไทย" แนะยุบเหลือ4แห่ง
พิษดอกเบี้ยบิดเบือน คนออมเจอ "สองเด้ง"

   
search resources

ธนาคารแห่งประเทศไทย
Interest Rate




ผ่าโครงสร้างระบบตลาดเงินยุค"ดอกเบี้ยต่ำ" แบงก์ชาติส่งสัญญาณ พลาด ทำให้นโยบายรัฐบาลที่ต้องการเห็นดอกเบี้ยลง-สินเชื่อถูกปล่อยกระตุ้นเศรษฐกิจล้มเหลว

ผลพวงที่ได้กลับเป็นแบงก์พาณิชย์ที่เห็นแก่ตัวตักตวงผลกำไรจากส่วนต่างอัตราดอก เบี้ยอิ่มแปล้ โยนภาระแก้ปัญหาเอ็นพีแอลให้รัฐบาล ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องทบทวนนโยบายการเงินอย่างจริงจัง

ภาวะสภาพคล่องตลาดเงินไทยที่ขณะนี้มีกว่า 500,000ล้านบาททำให้ธนาคารพาณิชย์โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์เอกชนใช้เป็นข้ออ้างในความพยายามลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง หลังจากธนาคาร

แห่งประเทศไทยส่งสัญญาณผิดพลาดในการประกาศลดอัตราดอก เบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตร (Repurchase Open Market Operation)-Repo) ถึง 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2544 และ 21 มกรา-คม

2545 ทำให้อัตราดอกเบี้ย Repo 14 วันลดจาก 2.5% มาอยู่ที่ 2% ปัจจุบัน โดยล่าสุดคณะกรรม การนโยบายการเงินมีมติคงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้(อ่านข่าวล้อมกรอบ)

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจที่รายงานโดยธนาคารแห่งประเทศไทยช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ยังไร้วี่แววฟื้นตัวอย่างจริงจังแม้หลายฝ่ายคาดว่าช่วงไตรมาสแรกปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวประมาณ 2%

แต่ตัวเลขการส่งออกยังแสดงการหดตัวต่อเนื่องถึง 6.4% และ 8.2%ในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ตามลำดับ ส่วนตัวเลขการส่งออกจากกระทรวงพาณิชย์เดือนมีนาคมปีนี้ประมาณ 5.3

พันล้านดอลลาร์สหรัฐซึ่งลดลงจาก 6.07 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเดือนมีนาคม 2544

ทางด้านยอดเงินฝากระบบธนาคารพาณิชย์ไทยจากตัวเลขที่รายงานโดยธนาคารแห่งประเทศไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 4.6% และ 5.1% เดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ตามลำดับ

ส่วนตัวเลขสินเชื่อธนาคารพาณิชย์หดตัวประมาณ 5.9% และ 4.2% ช่วงมกราคม และกุมภาพันธ์ตามลำดับ ว่าไปแล้ว รัฐบาลทักษิณ

ชินวัตรมีนโยบายชัดเจนว่าต้องการกดให้อัตราดอกเบี้ยลดต่ำลงเพื่อกระตุ้นการปล่อยสินเชื่อสถาบันการเงินและช่วยให้การแก้ปัญหาหนี้เสีย(Non-performing Loans) ประสบความสำเร็จ

แต่ทว่าจุดประสงค์ทั้ง 2 ประการนี้ยังไม่บรรลุ ผลตามความประสงค์! สิ่งที่เกิดขึ้นเวลานี้คือ ธนาคารพาณิชย์เริ่มฟื้นตัวโดยรายงานผลประกอบการกำไร

สุทธิหลายไตรมาสหากดูในรายละเอียดด้านงบการเงิน พบว่า ตัวเลขทำกำไร มาจาก การมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Interest Spread เพิ่มขึ้น ขณะที่ตัวเลขรายได้จากการปล่อยสินเชื่อ และ

การแก้ปัญหาหนี้เสียไม่เติบโตแต่อย่างใด ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิของระบบธนาคารพาณิชย์ไตรมาสแรกปี 2545 ปรับตัวเพิ่มจากไตรมาส สุดท้ายปี 2544

เนื่องจากการลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากมากกว่าดอกเบี้ยเงินกู้ ธนาคารกรุงเทพส่วนต่างสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 1.79% เป็น 1.85% ธนาคารกรุงไทย เพิ่มจาก 2.09% เป็น 2.15% ธนาคารกสิกรไทย เพิ่มจาก

2.18% เป็น 2.25% ธนาคารไทยพาณิชย์ เพิ่มจาก 2.32% เป็น 2.35% ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เพิ่มจาก 0.97% เป็น 1.05% ธนาคารทหารไทย เพิ่มจาก 1.30% เป็น 1.50% ธนาคารไทยธนาคาร เพิ่มจาก

0.28% เป็น 0.30% และธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ เพิ่มจาก 2.29% เป็น 2.40% สภาพคล่องล้นมรดกรัฐบาลชวน-ธารินทร์ สภาพคล่องตลาดเงินไทยที่ปัจจุบันมีกว่า 5

แสนล้านบาทเป็นผลจากนโยบายผิดพลาด 5 ปีที่แล้วสืบเนื่องตั้งแต่สมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่มีอดีตรัฐมนตรีคลังธารินทร์ นิมมานเหมินท์ เป็นมือเศรษฐกิจหลักของรัฐบาลชวน หลีกภัย

ที่แก้ปัญหาระบบสถาบันการเงินไทยโดยรับคำสั่งจากกอง ทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund)โดยไม่ต่อรองใด ๆทั้งสิ้น เพื่อผลประโยชน์ของเศรษฐกิจไทยอย่างแท้จริง โดย 5

ปีให้หลังเจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟยอมรับข้อผิดพลาดที่ชี้นำการแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทย จนชักนำให้เศรษฐกิจของชาติที่เคยได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในเอเชียชาติหนึ่งต้องกลายเป็น"โรคต้มยำกุ้ง" (Tom Yum

Koong Disease)ที่สื่อมวลชนตะวันตกตั้งฉายาว่าเป็นสาเหตุให้เศรษฐกิจทั่วโลกโดยเฉพาะเศรษฐกิจเอเชียมีปัญหา

ส่งผลให้เกิดการปลดพนักงานสถาบันการเงินขนานใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยทำให้บริษัทธุรกิจต่างๆทั้งใหญ่-กลาง-เล็กล้มระเนระนาด อย่างที่เรา ๆท่าน

ๆซาบซึ้งถึงพิษเศรษฐกิจรอบนี้กันถ้วนหน้าดีอยู่แล้ว ขณะที่สถาบันการเงินไทย โดยเฉพาะธนาคาร พาณิชย์เอกชนต่างเกิดปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดราย ได้ (Non-performing loans-NPLs)

กันถ้วนทั่วทุกแห่ง โดยตัวเลขความเสียหายจากเอ็นพีแอลที่กอง ทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินรับไปแล้วมีจำนวนกว่า 500,000 ล้านบาทและยังมีเป้าหมายเพิ่มเป็น1.4

ล้านล้านบาทภายในปีนี้เป็นบทพิสูจน์หนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่านโยบายการแก้ปัญหาสถาบันการเงินในช่วงที่ผ่านมามีข้อผิดพลาด แม้กระทั่งรัฐบาลปัจจุบันที่ได้ตั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์ ไทย (บสท.)

เพื่อเป็นที่รับโอนเอ็นพีแอลจากระบบสถาบันการเงินทั้งระบบ ปัจจุบันก็จัดการปัญหาเอ็นพีแอลได้เพียงกว่าแสนล้านบาทเท่านั้น

นี่เป็นผลพวงที่สะท้อนความล้มเหลวของการแก้ปัญหาเอ็นพีแอลทั้งระบบเป็นอย่างดี! ขณะที่ตัวเลขจากธนาคารแห่งประเทศไทยชี้ว่า 2 เดือนแรกปีนี้ เอ็นพีแอลธนาคารพาณิชย์ ลดจากปลายปี 2544

เพียง 0.13% จากประมาณ 443,720 ล้านบาท มาอยู่ที่ 443,140 ล้านบาท ขณะที่สัดส่วนเอ็นพีแอลต่อสินเชื่อรวมเพิ่มจาก11.59% ณ.สิ้นปี 2544 มาที่ 11.65% ในเดือนกุมภาพันธ์ 2545

สาเหตุหลักเพราะยอดสินเชื่อรวมหดตัว ขณะที่สิ้นไตรมาสแรกปีนี้ คาดว่าเอ็นพีแอลระบบธนาคารพาณิชย์จะเพิ่มจากสิ้นปี 2544

ตามการเพิ่มของหนี้เสียจากกลุ่มธนาคารเอกชนขนาดใหญ่เป็นหลักขณะที่กลุ่มธนาคารลูกครึ่งและกลุ่มธนาคารรัฐคาดว่าจะลดลง โดยประมาณการว่าเอ็นพีแอลระบบธนาคาร จะอยู่ที่ประมาณ

443,900ล้านบาทหรือประมาณ11.7% ของสินเชื่อรวม ตัวเลขเอ็นพีแอลเหล่านี้แทบจะไม่ลดลงเลยเมื่อเทียบกับสมัยรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธเมื่อกว่า 6 ปีที่แล้วและถือเป็นผลพวงความผิดพลาด

นโยบาย14 สิงหาคมของอดีตรัฐมนตรีคลังนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ สมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์กว่า 5 ปีที่ผ่านมาที่มีนโยบายช่วยเพิ่มเงินกองทุนขั้นที่ 1 และ 2

ของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย และนโยบายที่ให้สถาบันการเงินต่างชาติครอบงำกิจการธนาคารพาณิชย์ไทย จนปัจจุบันแทบไม่เหลือธนาคารพาณิชย์ ไทยแท้ๆ

ขณะที่รัฐบาลโดยผ่านกลไกกองทุนฟื้นฟูฯได้ออกตราสารหนี้กว่า 800,000

ล้านบาทแล้วโดยจ่ายอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างสูง เพื่อช่วยดูดซับสภาพคล่องระบบธนาคารพาณิชย์ โดยตราสารเหล่านี้สามารถนับเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 และ 2 ของธนาคาร พาณิชย์ได้

ทั้งรัฐบาลประชาธิปัตย์ และแม้กระทั่งรัฐบาลปัจจุบันยังได้ช่วย "อุ้ม" ธนาคารพาณิชย์สุดๆ เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ทั้งหมด ซึ่งรวมทั้งธนาคารพาณิชย์

ขนาดเล็กอยู่รอดโดยที่ใช้เงินจากผู้เสียภาษีอากรหรือประชาชนทั่วไปอย่างเราๆท่านๆ ด้วยความหวังเต็มเปี่ยมว่ามาตรการต่าง

ๆดังกล่าวจะช่วยฟื้นเศรษฐกิจได้ยั่งยืน โดยหนึ่งในความหวัง คือกระตุ้นให้ธนาคารพาณิชย์ทั้งหมดปล่อยสินเชื่อเพิ่มเติมให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมทั้งขนาดเล็ก กลาง และใหญ่

เพื่อให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมเหล่านี้ ซึ่งเปรียบเสมือนเส้นเลือดฝอย และเส้นเลือดใหญ่ของระบบเศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได ้เพื่อสร้างงานและรายได้กลับสู่ภาคเศรษฐกิจ กระตุ้นให้เศรษฐกิจฟื้นตัวและเติบโตอย่างยั่งยืน

แต่ผลที่เกิดขึ้นจริงธนาคารพาณิชย์โดยเฉพาะ ธนาคารพาณิชย์เอกชนกลับไม่ยอมปล่อยสินเชื่อเพิ่มโดยอ้างว่าเกรงจะเกิดปัญหาเอ็นพีแอลย้อนกลับ

เมื่อธนาคารพาณิชย์เอกชนไม่ยอมปล่อยสินเชื่อเพิ่มภาระหนักในการกระตุ้นการฟื้นตัวเศรษฐกิจ จึงตกกับธนาคารพาณิชย์รัฐที่ต้องเป็นหัวหอกปล่อย สินเชื่อเพิ่มให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม

ขณะที่ธนาคารพาณิชย์เอกชนอ้างปัญหาสภาพ คล่องทางการเงินล้นตลาดเงินไทย กว่า 500,000 ล้านบาทปัจจุบัน ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระลอกแล้วระลอกเล่า

โดยพยายามรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากที่ไม่ต่ำกว่า 5%เพื่อคงกำไรของธนาคารโดยไม่ยอมปล่อยสินเชื่อเพิ่มเติมแต่อย่างใด

ขณะที่นโยบายรัฐบาลห้ามออกตราสารเอ็นซีดี (NegotiableสสCertificate of Deposits)เกินกว่า 3 ปีและห้ามสถาบันการเงินออกตราสารหนี้อายุเกินกว่า

10ปีเพื่อให้รัฐบาลซึ่งกำลังต้องการงบประมาณเพิ่มออกตราสารหนี้ระยะยาวได้ ก่อให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างตลาดการเงินและตลาดทุนอย่างยิ่งภาค

สถาบันการเงินโดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์บิดเบือนจากความเป็นจริง ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องทบทวนนโยบายการเงินอย่างจริงจังเสียที!

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us