Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน22 กุมภาพันธ์ 2548
สหภาพฯออกโรงค้านคดีKTB             
 


   
www resources

โฮมเพจ ธนาคารแห่งประเทศไทย
โฮมเพจ ธนาคารกรุงไทย

   
search resources

ธนาคารกรุงไทย
ธนาคารแห่งประเทศไทย
Banking




สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ แบงก์กรุงไทย ออกแถลงการณ์ค้านธปท.กันกรรมการบริหาร 2 คน เป็นพยานปากเอกในกรณีกล่าวโทษผู้บริหารธนาคาร ระบุชัดเป็นเรื่องน่าละอายต่อพนักงานและสาธารณชน เพราะกรรมการบริหารทั้งหมดต้องรับผิดชอบร่วมกัน พร้อมเตรียมเดินหน้าเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับพนักงานที่ถูกกล่าวหา หากกระทำไปโดยสุจริต ขณะที่ดีเอสไอเตรียมเสนอคดีกรุงไทยให้คณะกรรมการคดีพิเศษ พิจารณาวันศุกร์ที่ 25 ก.พ.นี้

วานนี้ (21 ก.พ.) สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ออกแถลงการณ์แจกจ่ายพนักงาน โดยมีเนื้อหาระบุถึงกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แจ้งความกล่าวโทษกรรมการบริหารและพนักงานธนาคารกรุงไทย ที่อนุมัติสินเชื่อบริษัท โกลเด้นเทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด ในเครือกฤษดามหานคร และบริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 11,685 ล้านบาท

ทั้งนี้ ธปท. กล่าวโทษว่า การอนุมัติสินเชื่อดังกล่าวเป็นปฏิบัติหน้าที่อันมิชอบ และเอื้อประโยชน์ให้แก่บุคคลภายนอก จนทำให้บมจ.ธนาคารกรุงไทย ได้รับความเสียหายในการนี้มีการกันกรรมการบริหาร 2 คนไว้เป็นพยาน พร้อมกล่าวโทษกรรมการบริหารเพียง 3 คน พร้อมผู้บริหารระดับสูง และมีพนักงานผู้น้อยรวมอยู่ด้วยนั้น

สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจธนาคารกรุงไทย มีความเห็นว่ากรรมการบริหารทั้ง 5 คน ย่อมหนีความรับผิดชอบไม่พ้น ตามหลักของ Responsibility และ Accountability และเป็นเรื่องน่าละอายต่อพนักงานและสาธารณชนทั่วไป ที่มีข่าวว่ากรรมการบริหารบางคน แอบไปให้การต่อธปท. เพื่อให้ตนเองพ้นผิด ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วบอร์ดบริหารทั้งคณะได้มีการอนุมัติสินเชื่อดังกล่าวด้วยมติเอกฉันท์

"ประเด็นที่สำคัญ ธปท. น่าจะไม่มีสิทธิที่จะกันกรรมการบริหารบางคนไว้เป็นพยาน เพราะเป็นสิทธิของพนักงานสอบสวน หรือพนักงานอัยการต่างหาก" แถลงการณ์ระบุ

สำหรับพนักงานธนาคารที่ถูกกล่าวหาร่วมด้วยนั้น สหภาพฯ ยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ได้รับความยุติธรรม ถ้าการปฏิบัติหน้าที่เป็นไปด้วยความสุจริต แต่ตกอยู่ภายใต้ความกดดันจากผู้บังคับบัญชา แม้ว่าจะไม่มีเอกสารเป็นหลักฐานอย่างชัดเจนก็ตาม

ขณะเดียวกัน สหภาพฯยินดีสนับสนุนการทำงานของพนักงานสินเชื่อให้มีกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุดตามหลัก และวิธีการของธนาคารที่กำหนดไว้ เพื่อให้องค์กรที่รักยิ่งของพวกเรา สามารถทำธุรกิจให้เจริญก้าวหน้าต่อไป และขอให้พวกเราร่วมมือกัน ขจัดเหลือบที่คอยสูบเลือดสูบเนื้อจากธนาคารให้หมดไป แม้ว่าพวกเราจะต้องสู้กับพลังทางการเมืองอย่างไม่รู้จบสิ้นก็ตาม

ด้านความคืบหน้าของคดีนั้น วานนี้ (21 ก.พ.) พล.ต.ท.บุญฤทธิ์ รัตนะพร ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) ได้เรียก พล.ต.ต.ศิริพงศ์ อ่องแสงคุณ และพล.ต.ต.นิพจน์ วีระสุนทร รองผบช.ก. ในฐานะคณะพนักงานสอบสวนคดีที่ ธปท. ร้องทุกข์กล่าวโทษผู้อดีตบริหารธนาคารกรุงไทย โดยใช้เวลาในการประชุมเพื่อสอบถามความคืบหน้าประมาณ 2 ชั่วโมง

พล.ต.ต.ศิริพงศ์ กล่าวว่า คดีที่ธปท.ร้องทุกข์กล่าวโทษอดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทยล่าสุดนั้นมีทั้งสิ้น 2 สำนวน คือ 1.สำนวนคดีที่ร้องทุกข์กล่าวโทษ อดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทย และบริษัท โกลเด้นเทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด และ 2. สำนวนเป็นคดีที่ ธปท. กล่าวโทษอดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทย กรณีปล่อยกู้ซื้อลดหนี้บริษัทธนบุรีประกอบยนต์ จำกัด

"ขณะนี้คณะพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำธปท. ในฐานะผู้กล่าวหาไปแล้ว อยู่ระหว่างเชิญพยานในส่วนของธนาคารกรุงไทยมาสอบปากคำ ก่อนที่จะพิจารณาว่าจะเชิญบรรดาผู้ที่ถูกร้องทุกข์กล่าวโทษมาให้ปากคำหรือไม่ หรืออาจจะไม่เชิญใครมาเลยก็ได้"

สำหรับเจ้าหน้าที่ที่เข้าข่ายประพฤติมิชอบนั้น หากมีการตรวจพบการกระทำความผิดเพิ่มเติม อาทิ กฎหมายการฟอกเงิน ทั้งหมดจะต้องสรุปสำนวน ระบุพฤติการณ์และมูลความผิดของบุคคลที่เข้าข่ายความผิด พร้อมความเห็นส่งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณา โดยผู้ถูกกล่าวหาอาจต้องไปชี้แจงต่อป.ป.ช. ต่อไป โดยจะสรุปและส่งความเห็นให้ป.ป.ช.ภายในวันที่ 9 มีนาคมนี้

แหล่งข่าวคณะพนักงานสอบสวน กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับสำนวนแรก ขณะนี้พนักงานสอบสวน ได้สอบปากคำ ธปท.ไปแล้ว 2 ปาก คือ ผู้รับมอบอำนาจ และผู้ตรวจสอบของธปท. ในประเด็นความผิดว่าเชื่อมโยงกันอย่างไร ใครเป็นผู้มีอำนาจในการอนุมัติ ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดการร้องทุกข์กล่าวโทษที่มีถึง 16 แฟ้ม เพื่อพิจารณาว่าจะเรียกเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทย ที่ทราบรายละเอียดการอนุมัติดังกล่าวมาสอบปากคำเป็นพยานในวันที่ 22 กุมภาพันธ์นี้

"คณะพนักงานสอบสวนได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะดำเนินการสอบปากคำและพิจารณามีความเห็นให้เสร็จภายใน 7 วัน หากดำเนินการแล้วเสร็จเป็นไปได้ว่าจะสรุปสำนวนเสนอ ป.ป.ช.ภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ แต่หากไม่เป็นไปตามเป้าก็คงต้องเลื่อนการสรุปสำนวนต่อไป"

ขณะที่สำนวนที่ 2 กรณีปล่อยกู้ซื้อลดหนี้บริษัท ธนบุรีประกอบยนต์นั้น พบว่าเป็นการพิจารณาให้สินเชื่อโดยมิชอบ วงเงินกู้สูงกว่ามูลค่าที่จะนำไปซื้อลดหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัทธนบุรีประกอบยนต์ ทำให้มีผู้ได้ประโยชน์จากยอดเงินที่เกิน กว่ามูลค่าหนี้ประมาณ 600 ล้านบาท

"จากหลักฐานที่ธปท.นำมามอบให้พนักงานสอบสวนนั้น มีกระแสเงินที่โอนผ่านบัญชีเงินฝากของผู้เกี่ยวข้องแต่ละราย ทำให้พบว่ามีการแสวงหาประโยชน์มิชอบเกิดขึ้น ผู้เกี่ยวข้องมีส่วนรู้เห็นว่ามูลค่าหนี้ที่แท้จริงนั้นแค่ 2,250 ล้านบาท แต่ก็พิจารณา อนุมัติเงินกู้สูงกว่ามูลค่าหนี้ ทำให้มีผู้ได้ประโยชน์ไปโดยมิชอบประมาณ 600 ล้านบาท"

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ธปท.ร้องทุกข์กล่าวโทษนายดุสิต เต็งนิยม และนางเยาวลักษณ์ ลิขิตวัฒนานุรักษ์ ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นเจ้าพนักงานองค์กรของรัฐแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ และกล่าวโทษนางสว่าง มั่นคงเจริญ นายธงชัย จิระอลงกรณ์ นาง สุวพร ทองซื่อ บริษัทมาสเตอร์เอนเตอร์ไพรซ์ จำกัด น.ส.สายสวาท ธนศักดิ์เจริญ และน.ส.นงนุช วิวัฒน์สุนทรกุล ฐานเป็นผู้สนับสนุนให้เจ้าพนักงานกระทำผิด

ด้านนายธาริต เพ็งดิษฐ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ) ในวันที่ 25 ก.พ.นี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษเตรียมนำ 2 คดี สำคัญเข้าขอมติจากคณะกรรมการคดีพิเศษ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานว่าจะให้ดีเอสไอเข้าไปสอบสวนด้วยวิธีพิเศษหรือไม่ ประกอบด้วย คดีที่ธปท.กล่าวโทษอดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ข้อหาพิจารณาสินเชื่อส่อความหละหลวม และไม่เหมาะสมในการบริหารงานของรัฐ และคดีการหายตัวไปของ นายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความ ซึ่งยังเป็นที่กังขาของสังคมว่าเป็นการฆาตกรรมหรือไม่   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us