"ปูนกลาง" เดินกำลังการผลิตเต็มพิกัด คาดผลิตปูน 14 ล้านตันต่อปี ตั้งเป้า ปี 48 โต 11-15% ขายในประเทศ 8.5 ล้านตัน พร้อมเพิ่มยอดส่งออกเป็น 4 ล้านตัน เชื่อโครงการรัฐ-ธุรกิจอสังหาฯโต หนุนการใช้ปูนเพิ่มเตรียมทุ่ม 420 ล้าน ผุดแพลนปูนเพิ่มกว่า 20 แห่งทั่วประเทศ
นายลีโอ มิทเทลโฮลเซอร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือปูนกลาง (SCCC) เปิดเผยถึงผลประกอบการของบริษัทว่า ในปี 2547 บริษัทมีรายได้จากการขายสุทธิ 20,772 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 20% เมื่อเทียบกับปี 2546 ที่มีรายได้จากการขาย 17,469 ล้าน บาท กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) ปี 2547 เท่ากับ 7,256 ล้านบาท สูงกว่าปี 2546 ที่ 6,018 ล้านบาท ถึง 21% และมีกำไรสุทธิจำนวน 4,141 ล้านบาท คิดเป็นโต 26% เมื่อเทียบกับปี 2546 ที่ทำได้ 3,288 ล้านบาท
"รู้สึกพอใจในตัวเลขผลประกอบการของบริษัทปี 2547 แม้ว่าจะไม่ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เนื่องจากมีปัจจัยลบหลายด้าน ซึ่งจากผลประกอบการดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บริษัทสามารถทำกำไรได้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาถึง 5 ปีซ้อน โดยผลประกอบการล่าสุดของบริษัทปรับตัวสูงขึ้นถึง 4 เท่าตัวจากปี 2543 ที่มีกำไรเพียง 943 ล้านบาทเท่านั้น" นายลีโอกล่าว
ทั้งนี้ จากผลกำไรดังกล่าวบริษัทเตรียมเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเพื่ออนุมัติในเดือน มีนาคมในการจ่ายปันผลงวดสุดท้ายปี 2547 ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทจ่ายเงินปันผลเฉพาะกาลไปแล้ว 6 บาทต่อหุ้น เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2547 อย่างไรก็ตามบริษัทได้จ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นจำนวน 9 บาทต่อหุ้น ในปี 2546 และ 8 บาทต่อหุ้นในปี 2545 สำหรับผลการดำเนินงานของ บริษัทในปี 2547 มียอดจำหน่ายปูนซีเมนต์และปูนเม็ดทั้งสิ้น 10.4 ล้านตัน แบ่งเป็นยอดจำหน่ายในประเทศ 7.1 ล้านตัน ยอดจำหน่าย ต่างประเทศ 3.3 ล้านตัน ถือเป็นอันดับ 2 ของตลาด โดยกำลังการผลิตทั้งประเทศในปีที่ผ่านมามีจำนวน 36.7 ล้านตัน จากทั้ง 5 บริษัทปูน แบ่งเป็นขายในประเทศ 25.5 ล้านตัน ส่งออก 11.2 ล้านตัน ซึ่งเทียบการบริโภคปูนของประชากร ทั้งประเทศเฉลี่ยสูงสุด 670 กิโลกรัม/คน/ปี และคาดว่าจะมีแนว โน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากแนวโน้มของธุรกิจจากอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค พื้นฐานภาครัฐ ที่คาดว่าจะมีเงินลงทุนกว่า 1.5 แสนล้านบาท ภายใน 4-5 ปีข้างหน้า ซึ่งบริษัทคาดว่าจะมีแชร์ในโครงการดังกล่าว ประมาณ 28%
อย่างไรก็ดี ในไตรมาส 4 ปี 2547 ความต้องการปูนซีเมนต์และปูนเม็ดเพิ่มขึ้นมาก ส่งผลให้บริษัทต้องเปิดโรงงานที่ 1 อีกครั้ง หลังหยุดการผลิตโรงงานดังกล่าวมาเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นการขยายกำลังผลิตเต็มที่เพื่อให้ทันความต้องการปัจจุบัน โดยบริษัทจะมีกำลังผลิตปูนซีเมนต์ 14.5 ล้านตันต่อปี แต่คาดว่าจะสามารถผลิตได้ประมาณ 12.5-14 ล้านตันต่อปีเท่านั้น
ปี 2548 บริษัทตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 11-15% เป้ายอดขายในประเทศ 8.5 ล้านตัน และส่งออก 4 ล้านตัน นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะขยายแพลนปูนเพิ่มอีกกว่า 20 แพลนทั่วประเทศ จากเดิมที่มีอยู่จำนวน 40 แพลนทั่วประเทศ โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 420 ล้านบาท
นายมิทเทลโฮลเซอร์กล่าวว่า ทั้งนี้การเพิ่มกำลังการผลิตเต็มพิกัดดังกล่าว นอกจากจะมีสาเหตุมาจากความต้องการแล้ว ยังเป็นการลดค่าใช้จ่ายการที่ราคาวัสดุและค่าขนส่งปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่ราคาปูนในปัจจุบันถือว่าถึงจุดสูงสุดแล้ว และยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะปรับขึ้นอีกหรือไม่ เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานในการดูแลเครื่องจักร บริษัทจึงได้เดินกำลังการผลิตเต็มกำลังดังกล่าว
"ด้านต้นทุนพลังงานและการขนส่ง เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมโดยรวมปีที่ผ่านมา ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องในปีนี้ด้วย โดยราคาขายปูนซีเมนต์ในตลาดยังคงไม่เปลี่ยนแปลง การผลิตเต็มกำลังผลิตจึงสำคัญต่อการลด ค่าใช้จ่ายต้นทุน (economies of scale) รวมทั้งนำโครงการเชื้อเพลิง และวัตถุดิบทดแทน (Alternative Fuels and Raw Materials-AFR) ใช้เพื่อจะควบคุมต้นทุนเชื้อเพลิง ซึ่งในปี 2547 โครงการ AFR ทำให้บริษัทประหยัดค่าใช้จ่ายพลังงานได้ถึง 6% ขณะนี้บริษัทตั้งหน่วยงานเฉพาะเพื่อดูแลให้เกิดประโยชน์สูงสุด จากโครงการ AFR" นายมิทเทลโฮลเซอร์กล่าว
นายมิทเทลโฮลเซอร์กล่าวอีกว่า "บริษัทในเครือของเรามีผลดำเนินงานดีปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คอนวูด (ConWOOD) ผู้ผลิตวัสดุที่นำมาใช้ทดแทนไม้นานาชนิดที่ได้รับการตอบสนองอย่างดีจากตลาดต่อเนื่อง เราจึงเพิ่มการลงทุนบริษัทดังกล่าวเพื่อเพิ่มกำลังผลิตเป็น 2 เท่า คือกำลังผลิต ถึง 90,000 ตันภายในกลางปีนี้
"เรายังพอใจกับการเติบโตในธุรกิจคอนกรีตสำเร็จรูป โดยธุรกิจนี้เติบโตปีที่แล้วประมาณ 30% ซึ่งคาดว่าจะเติบโตระดับเดียวกันปีนี้ พร้อมกันนี้ เราจะพยายามขยายตลาดบริษัท นครหลวงคอนกรีต เพื่อเพิ่มมูลค่าบริการของเราแก่ลูกค้า"
|