ปลายฤดูหนาวและต้นฤดูใบไม้ร่วง เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการเฝ้าดูปรากฏการณ์ธรรมชาติเหนือขอบฟ้าอลาสก้า
ที่เรียกกันว่า "แสงเหนือ" (aurora borealis) ซึ่ง Ken Griffiths ช่างภาพประจำนิตยสาร
Conde Nast Traveller ใช้เวลา 8 วันเฝ้าจับภาพความมหัศจรรย์ของแสงเหนือช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้วมาฝาก
พร้อมกับเล่าประสบการณ์ประทับใจว่า
"คุณเฝ้ารอแล้วรอเล่าจนคิดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วล่ะ แต่แล้วคุณก็สังเกตเห็นแสงรุ่งโรจน์ขึ้นที่ขอบฟ้า
และมันเริ่มเคลื่อนตัวเข้าหาคุณด้วยความเร็วและแรงเหมือนขบวนรถไฟ เมื่อมันเคลื่อนใกล้เข้ามา
บางครั้งมันก็ส่ายไปมา และบางครั้งก็แผ่ออกเหมือน ม่านบางๆ ที่พลิ้วไหวตามแรงลม
แสงเหนือที่ปรากฏต่อสายตาคุณ แต่ละครั้งจึงไม่มีวันเหมือนกันเลย"
ความแปลกประหลาดชวนขนหัวลุกของแสงเหนือก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่างๆ นานา สำหรับหลักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันอธิบายว่า
แสงเหนือเกิดจากอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า ซึ่งพวยพุ่งออกจากดวงอาทิตย์ และถูกขั้วแม่เหล็กโลกดูดเข้ามา
ซึ่งปรากฏการณ์ของแสงเหนือที่เกิดขึ้นในซีกโลกเหนือและแสงใต้ที่เกิดในซีกโลกใต้
มีลักษณะเดียวกันคือ เมื่ออนุภาคดังกล่าวเดินทางถึงบรรยากาศโลกชั้นนอกสุด
ก็จะชนเข้ากับแก๊สที่อยู่ในบรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟียร์ (ionosphere) เกิดเป็นลำแสงรุ่งโรจน์ขึ้นในลักษณะเดียวกับอิเล็กตรอนวิ่งผ่านแก๊สในหลอดไฟนีออน
แล้วเกิดเป็นแสงสว่างขึ้นมานั่นเอง
ส่วนที่เห็นเป็นเหมือนแสงกำลังเริงระบำ และรูปร่างแลดูแปลกประหลาดบนท้องฟ้ายามค่ำคืนนั้น
เป็นเพราะการปิดโค้งของสนามแม่เหล็ก ที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่ลำอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าพุ่งเข้าปะทะ
ส่วนสีต่างๆ ที่เรามองเห็นนั้น เกิดจากแก๊สในบรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟียร์ โดยสีเขียวและแดงเกิดจากแก๊สออกซิเจน
สีน้ำเงินและม่วงเกิดจากแก๊สไนโตรเจน
สำหรับสีเขียวของแสงเหนือที่ Ken Griffiths ถ่ายภาพมาได้เกิดจากแก๊สออกซิเจนที่ลอยอยู่เหนือพื้นโลกประมาณ
60 ไมล์ (ส่วนสีแดงเกิดจากแก๊สออกซิเจนทำปฏิกิริยากับอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า
ซึ่งพวยพุ่งจากดวงอาทิตย์ ณ ความสูงจากพื้นโลกราว 200 ไมล์)
8 วันของการเฝ้าดูแสงเหนือบนขอบฟ้าอลาสก้าของ Ken Griffiths เป็นประสบการณ์ประทับใจไม่รู้ลืม
"เหมือนได้อยู่บนดวงจันทร์ยังไงยังงั้น"