Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤษภาคม 2545








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤษภาคม 2545
หุ้นปันผลที่ไม่ควรมองข้าม             
โดย ฐิติเมธ โภคชัย
 





ปี 2544 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จ่ายเงินปันผลในอัตราสูงกว่า 3% มี 124 บริษัท จ่ายสูงกว่า 7% จำนวน 52 บริษัท สูงกว่า 10% มากถึง 20 บริษัท และ ปีนี้มีบริษัทมากกว่า 100 แห่ง พร้อมจ่ายเงินปันผลในอัตราสูง สถิติดังกล่าวเพียงพอที่จะดึงดูดใจนักลงทุนหรือไม่

ท่ามกลางซากปรักหักพังทางเศรษฐกิจนับตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา ดูเหมือนว่าบรรยากาศตลาดหุ้นไทยคึกคักมากขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนเริ่มมีผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจทำให้ผู้ถือหุ้นมีโอกาสได้รับผลตอบ แทนในรูปเงินปันผลเป็นที่น่าพอใจ

"เป็นทางเลือกที่ดีของนักลงทุนขณะที่อัตราผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยเงิน ฝากต่ำ" กิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์บอก

หากพิจารณาผลตอบแทนดอกเบี้ยเงินฝากตลอด 10 ปี เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 7% และจากนี้ไปอีก 3 ปีข้างหน้าผลตอบแทนจากการฝากเงินไม่น่าจะทำให้ผู้ฝากเงินพอใจ เช่นเดียวกับการลงทุนในทองคำเฉลี่ย 10 ปีให้ผลตอบแทนประมาณ 4% ไม่ต่างไปจากผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลซึ่งตลอด 5 ปีที่ผ่านมาผลตอบแทนเฉลี่ยที่ระดับ 4% ส่วนหุ้นกู้ภาคเอกชนให้ผลตอบแทนจากช่วงระยะเวลาเดียวกันประมาณ 5.5%

หากนักลงทุนต้องการผลตอบแทนที่ดีกว่าและจำกัดความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่ง การเลือกลงทุนในหุ้นปันผลเป็นหนทางที่ดีทางหนึ่ง "จากสถิติตลาดหุ้นไทย 16 ปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 13% ต่อปี" สมบัติ นราวุฒิชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวย การ บล.กรุงศรีอยุธยาชี้ "เป็นตัวเลขที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 12%"

โดยธรรมชาติการลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงมากกว่าการฝากเงิน ซื้อพันธ บัตร แต่ถ้าสามารถเลือกหุ้นที่ให้เงินปัน ผลสูงอย่างน้อยช่วยลดแรงสะบัดความไม่แน่นอนลงมาได้ แม้ความเสี่ยงยังคงเหลืออยู่ แต่ผลตอบแทนที่ได้ในจำนวนมากพอเมื่อเปรียบเทียบกับความเสี่ยงอาจจะคุ้มค่า

"การลงทุนในหุ้นปันผลมีความเสี่ยง เหมือนกัน ความคาดหวังของนักลงทุนโดยทั่วไปอยากได้ผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงต่ำ ขณะที่นักวิชาการอธิบายว่าต้องการผลตอบแทนสูงจากความเสี่ยงที่ยอมรับได้ แต่คิดว่าพวกเขาน่าจะหาผลตอบแทนที่พอดีจากความเสี่ยงที่ต่ำที่สุด" วันชัย ธัญญศิริ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าว

การพิจารณาระดับผลตอบแทนจากหุ้นปันผล เนื่องด้วยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนจากเงินฝากประจำเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 7% ดังนั้นหากจะลงทุนอัตราผลตอบแทนในรูปเงินปันผลไม่น่าจะต่ำไปกว่าตัวเลขดังกล่าว "ที่สำคัญจะต้อง สูงกว่าต้นทุนเงินทุนโดยดูอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของบริษัทนั้น" ถนอมศักดิ์ สหรัตน์ ชัย รองผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.พัฒนสินบอก

กรณีหุ้นปันผลตัวไหนที่มีความน่าสนใจ โดยปกติแล้วต้องมองไปถึงประวัติ การจ่ายเงินปันผลว่ามีความสม่ำเสมอมากน้อยเพียงใด หรือความชัดเจนของการดำเนินธุรกิจ ส่วนบริษัทที่จ่ายปันผลไม่ค่อยต่อเนื่อง อาทิ กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีหรือสับปะรดกระป๋องควรหลีกเลี่ยงการลงทุน แม้กระทั่งบริษัทที่มีหนี้สินต่อทุนสูงซึ่งมีความเสี่ยงเกินไป อย่างน้อยมีผลกระทบต่อรายได้ให้อยู่ในระดับพอที่จะจ่ายคืนเงินกู้ในรูปดอกเบี้ยของเจ้าหนี้ก่อน หรือบริษัทไหนมีหนี้สกุลต่างประเทศก็ไม่เหมาะสมในการลงทุน

"ส่วนใหญ่นักลงทุนไทยนิยมเล่นหุ้นปันผลหวือหวา เช่น หวังการตัดหนี้สูญ หรือกำไรจากการขายสินทรัพย์ โดยไม่คำนึงถึงกระแสเงินสด ผลประกอบการที่แท้จริงและการเติบโตของธุรกิจที่ต่อ เนื่อง" วันชัยกล่าว

ที่สำคัญการลงทุนหุ้นปันผลส่วนใหญ่จะเป็นไปในลักษณะลงทุนระยะยาว เนื่องจากสามารถควบคุมความเสี่ยงและทราบถึงผลตอบแทน "หุ้นที่พวกเขาสนใจมีราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน หรือ under value ขณะที่นักเก็งกำไรมีพฤติกรรมตรงกันข้าม" ถนอมศักดิ์เล่า อีกทั้งควรเลือกหุ้นปันผลที่เงียบๆ ไม่หวือหวาและไม่ค่อยได้รับความสนใจ เพราะนอกจากจะได้รับเงินปันผลที่น่าพอใจ อาจมีกำไรจากราคาหุ้นที่เปลี่ยนไป หรือ capital gains

นอกจากนี้ไม่ควรลงทุนในช่วง เวลาใกล้ประกาศ XD (ผู้ซื้อหุ้นไม่ได้สิทธิ์รับเงินปันผล) เพื่อหวังเงินปันผล เพราะช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการลงทุนอยู่ในช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม "จังหวะการลงทุนส่วนใหญ่จะลงทุนช่วงที่ประกาศผลการดำเนินงานและก่อนจ่ายเงินปันผล แต่หลังจากนั้นไม่ค่อยมีใครเข้าลงทุนเพราะว่าเป็นหุ้นฤดูกาล ดังนั้นควรกำหนดระยะเวลาซื้อขายให้ดีด้วย" ถนอมศักดิ์อธิบาย

สำหรับหุ้นปันผลที่น่าสนใจตามธรรมชาติมักไม่มีสภาพคล่อง กระนั้นก็ตาม ยังเป็นที่หมายปองของบรรดานักลงทุน เพราะหมายถึงผลตอบแทนที่จะตามมาอย่างต่อเนื่องและอยู่ในระดับสูง อย่างเช่น มูราโมโต้ อิเล็คตรอน (METCO) ดำเนินธุรกิจผลิตชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้ามีตลาดหลักในอเมริกา หากดูกำไรต่อหุ้นอยู่ในระดับสูงมากประมาณปีละ 20 บาท "ปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 21 บาทต่อหุ้น" สมบัติ ชี้ หากย้อนหลังไป 4 ปีที่แล้วบริษัทจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 5 บาท ปีที่แล้วจ่าย 8.50 บาท "ปีนี้คาดว่าจะจ่ายเงินปันผล 8.11 บาท ตัวเลขดังกล่าวหากไม่สนใจราคาตลาดนักลงทุนได้รับผลตอบแทนจาก ส่วนนี้ 8.60%" เขาบอก

โรงแรมโอเรียนเต็ล (OHTL) เป็นหุ้น ที่มีผลประกอบการดีมาตลอดโดยเฉพาะหลังลดค่าเงินบาท ปีที่ผ่านมามีกำไรต่อหุ้น 19.70 บาท ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาจ่ายปัน ผลเฉลี่ย 15-17 บาทต่อปี มีอัตราปันผลตอบแทน 7-8% ส่วนปีที่แล้วประกาศจ่ายเงินปันผล 17 บาท แต่จ่ายเพียง 6 บาท

"หากนักลงทุนต้องการผลตอบ แทนส่วนที่เหลือสามารถลงทุนได้ก่อนวัน XD คือ วันที่ 17 เดือนนี้" สมบัติบอก

หุ้นกลุ่มประกันภัย มี 3 ตัว ที่มักเป็นที่นิยม ได้แก่ ภัทรประกันภัย (PHA) มี ผลประกอบการสม่ำเสมอและเกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจจริงๆ ไม่ใช่กำไรจากการลงทุนในหุ้น โดยมีตัวเลขการจ่ายปันผลน่าพอใจ ปีที่แล้วจ่าย 9 บาท ปีนี้ไม่น่าต่ำ กว่านี้เนื่องจากความแข็งแกร่งของกำไรและความเสี่ยงทางการเงินน้อย

หุ้นสามัคคีประกันภัย (SMG) เป็นธุรกิจในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ มีความน่าสนใจจากผลกำไรดีและจ่ายปันผลอย่างต่อเนื่องตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ล่า สุดประกาศจ่าย 10 บาทต่อหุ้น มีอัตรา ผลตอบแทน 8.7% ส่วนจรัญประกันภัย (CHARAN) เป็นบริษัทขนาดเล็กที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลค่อนข้างไว้ใจได้แม้อัตราอยู่ที่ระดับ 10%

"เราคาดหวังราคาเคลื่อนไหวขึ้นไปและเป็นหุ้นเงียบๆ มีการเติบโตค่อยเป็นค่อยไป" วันชัยกล่าว "เช่นเดียวกับหุ้นโรงพยาบาลนนทเวช หรือ NTV ที่จ่ายปันผลต่อเนื่อง ย้อนหลังไป 3 ปีก่อนจ่าย 14 บาท และคาดว่าปีนี้ตัวเลขอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน"

ด้านเจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) เป็นหุ้นที่น่าสนใจทุกครั้งที่ราคาอ่อนตัวอันเนื่องมาจากการเติบโตที่ต่อเนื่อง เช่นเดียวกับลีพัฒนาผลิตภัณฑ์ (LEE) แต่ข้อเสียคือ ไม่มีสภาพคล่อง ทางด้านสหยูเนี่ยน (SUC) นโยบายจ่ายปันผลทุกปี แม้ในปี 2540 ที่ขาดทุนสุทธิยังจ่าย 1 บาท แต่เฉลี่ยแล้วจ่าย 1.50 บาทต่อปี

"ข้อดีของสหยูเนี่ยน คือ ราคาไม่หวือหวาซึ่งนักลงทุนสามารถกำหนด ทิศทางได้ อีกทั้งยังมีมูลค่าทางบัญชีประมาณ 16 บาท แต่ราคายังไปไม่ถึง" ถนอมศักดิ์บอก

ขณะที่ไทยยูเนี่ยนโฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF) แม้จะจ่ายปันผลระดับต่ำแต่การเติบโตของธุรกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับน้ำมันพืชไทย (TVO) ที่มีโอกาสการดำเนินกิจการมาก ที่สำคัญผู้บริหารดูแลการจ่ายเงินปันผลดี

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us