ปี 2544 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จ่ายเงินปันผลในอัตราสูงกว่า 3%
มี 124 บริษัท จ่ายสูงกว่า 7%
จำนวน 52 บริษัท สูงกว่า 10% มากถึง 20 บริษัท และ
ปีนี้มีบริษัทมากกว่า 100 แห่ง พร้อมจ่ายเงินปันผลในอัตราสูง สถิติดังกล่าวเพียงพอที่จะดึงดูดใจนักลงทุนหรือไม่
ท่ามกลางซากปรักหักพังทางเศรษฐกิจนับตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา ดูเหมือนว่าบรรยากาศตลาดหุ้นไทยคึกคักมากขึ้นเป็นลำดับ
โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนเริ่มมีผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจทำให้ผู้ถือหุ้นมีโอกาสได้รับผลตอบ
แทนในรูปเงินปันผลเป็นที่น่าพอใจ
"เป็นทางเลือกที่ดีของนักลงทุนขณะที่อัตราผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยเงิน ฝากต่ำ"
กิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์บอก
หากพิจารณาผลตอบแทนดอกเบี้ยเงินฝากตลอด 10 ปี เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 7% และจากนี้ไปอีก
3 ปีข้างหน้าผลตอบแทนจากการฝากเงินไม่น่าจะทำให้ผู้ฝากเงินพอใจ เช่นเดียวกับการลงทุนในทองคำเฉลี่ย
10 ปีให้ผลตอบแทนประมาณ 4% ไม่ต่างไปจากผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลซึ่งตลอด
5 ปีที่ผ่านมาผลตอบแทนเฉลี่ยที่ระดับ 4% ส่วนหุ้นกู้ภาคเอกชนให้ผลตอบแทนจากช่วงระยะเวลาเดียวกันประมาณ
5.5%
หากนักลงทุนต้องการผลตอบแทนที่ดีกว่าและจำกัดความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่ง
การเลือกลงทุนในหุ้นปันผลเป็นหนทางที่ดีทางหนึ่ง "จากสถิติตลาดหุ้นไทย 16
ปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 13% ต่อปี" สมบัติ นราวุฒิชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวย
การ บล.กรุงศรีอยุธยาชี้ "เป็นตัวเลขที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย
12%"
โดยธรรมชาติการลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงมากกว่าการฝากเงิน ซื้อพันธ บัตร
แต่ถ้าสามารถเลือกหุ้นที่ให้เงินปัน ผลสูงอย่างน้อยช่วยลดแรงสะบัดความไม่แน่นอนลงมาได้
แม้ความเสี่ยงยังคงเหลืออยู่ แต่ผลตอบแทนที่ได้ในจำนวนมากพอเมื่อเปรียบเทียบกับความเสี่ยงอาจจะคุ้มค่า
"การลงทุนในหุ้นปันผลมีความเสี่ยง เหมือนกัน ความคาดหวังของนักลงทุนโดยทั่วไปอยากได้ผลตอบแทนสูง
ความเสี่ยงต่ำ ขณะที่นักวิชาการอธิบายว่าต้องการผลตอบแทนสูงจากความเสี่ยงที่ยอมรับได้
แต่คิดว่าพวกเขาน่าจะหาผลตอบแทนที่พอดีจากความเสี่ยงที่ต่ำที่สุด" วันชัย
ธัญญศิริ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าว
การพิจารณาระดับผลตอบแทนจากหุ้นปันผล เนื่องด้วยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนจากเงินฝากประจำเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ
7% ดังนั้นหากจะลงทุนอัตราผลตอบแทนในรูปเงินปันผลไม่น่าจะต่ำไปกว่าตัวเลขดังกล่าว
"ที่สำคัญจะต้อง สูงกว่าต้นทุนเงินทุนโดยดูอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของบริษัทนั้น"
ถนอมศักดิ์ สหรัตน์ ชัย รองผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.พัฒนสินบอก
กรณีหุ้นปันผลตัวไหนที่มีความน่าสนใจ โดยปกติแล้วต้องมองไปถึงประวัติ การจ่ายเงินปันผลว่ามีความสม่ำเสมอมากน้อยเพียงใด
หรือความชัดเจนของการดำเนินธุรกิจ ส่วนบริษัทที่จ่ายปันผลไม่ค่อยต่อเนื่อง
อาทิ กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีหรือสับปะรดกระป๋องควรหลีกเลี่ยงการลงทุน แม้กระทั่งบริษัทที่มีหนี้สินต่อทุนสูงซึ่งมีความเสี่ยงเกินไป
อย่างน้อยมีผลกระทบต่อรายได้ให้อยู่ในระดับพอที่จะจ่ายคืนเงินกู้ในรูปดอกเบี้ยของเจ้าหนี้ก่อน
หรือบริษัทไหนมีหนี้สกุลต่างประเทศก็ไม่เหมาะสมในการลงทุน
"ส่วนใหญ่นักลงทุนไทยนิยมเล่นหุ้นปันผลหวือหวา เช่น หวังการตัดหนี้สูญ
หรือกำไรจากการขายสินทรัพย์ โดยไม่คำนึงถึงกระแสเงินสด ผลประกอบการที่แท้จริงและการเติบโตของธุรกิจที่ต่อ
เนื่อง" วันชัยกล่าว
ที่สำคัญการลงทุนหุ้นปันผลส่วนใหญ่จะเป็นไปในลักษณะลงทุนระยะยาว เนื่องจากสามารถควบคุมความเสี่ยงและทราบถึงผลตอบแทน
"หุ้นที่พวกเขาสนใจมีราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน หรือ under value ขณะที่นักเก็งกำไรมีพฤติกรรมตรงกันข้าม"
ถนอมศักดิ์เล่า อีกทั้งควรเลือกหุ้นปันผลที่เงียบๆ ไม่หวือหวาและไม่ค่อยได้รับความสนใจ
เพราะนอกจากจะได้รับเงินปันผลที่น่าพอใจ อาจมีกำไรจากราคาหุ้นที่เปลี่ยนไป
หรือ capital gains
นอกจากนี้ไม่ควรลงทุนในช่วง เวลาใกล้ประกาศ XD (ผู้ซื้อหุ้นไม่ได้สิทธิ์รับเงินปันผล)
เพื่อหวังเงินปันผล เพราะช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการลงทุนอยู่ในช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม
"จังหวะการลงทุนส่วนใหญ่จะลงทุนช่วงที่ประกาศผลการดำเนินงานและก่อนจ่ายเงินปันผล
แต่หลังจากนั้นไม่ค่อยมีใครเข้าลงทุนเพราะว่าเป็นหุ้นฤดูกาล ดังนั้นควรกำหนดระยะเวลาซื้อขายให้ดีด้วย"
ถนอมศักดิ์อธิบาย
สำหรับหุ้นปันผลที่น่าสนใจตามธรรมชาติมักไม่มีสภาพคล่อง กระนั้นก็ตาม ยังเป็นที่หมายปองของบรรดานักลงทุน
เพราะหมายถึงผลตอบแทนที่จะตามมาอย่างต่อเนื่องและอยู่ในระดับสูง อย่างเช่น
มูราโมโต้ อิเล็คตรอน (METCO) ดำเนินธุรกิจผลิตชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้ามีตลาดหลักในอเมริกา
หากดูกำไรต่อหุ้นอยู่ในระดับสูงมากประมาณปีละ 20 บาท "ปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่
21 บาทต่อหุ้น" สมบัติ ชี้ หากย้อนหลังไป 4 ปีที่แล้วบริษัทจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า
5 บาท ปีที่แล้วจ่าย 8.50 บาท "ปีนี้คาดว่าจะจ่ายเงินปันผล 8.11 บาท ตัวเลขดังกล่าวหากไม่สนใจราคาตลาดนักลงทุนได้รับผลตอบแทนจาก
ส่วนนี้ 8.60%" เขาบอก
โรงแรมโอเรียนเต็ล (OHTL) เป็นหุ้น ที่มีผลประกอบการดีมาตลอดโดยเฉพาะหลังลดค่าเงินบาท
ปีที่ผ่านมามีกำไรต่อหุ้น 19.70 บาท ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาจ่ายปัน ผลเฉลี่ย
15-17 บาทต่อปี มีอัตราปันผลตอบแทน 7-8% ส่วนปีที่แล้วประกาศจ่ายเงินปันผล
17 บาท แต่จ่ายเพียง 6 บาท
"หากนักลงทุนต้องการผลตอบ แทนส่วนที่เหลือสามารถลงทุนได้ก่อนวัน XD คือ
วันที่ 17 เดือนนี้" สมบัติบอก
หุ้นกลุ่มประกันภัย มี 3 ตัว ที่มักเป็นที่นิยม ได้แก่ ภัทรประกันภัย (PHA)
มี ผลประกอบการสม่ำเสมอและเกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจจริงๆ ไม่ใช่กำไรจากการลงทุนในหุ้น
โดยมีตัวเลขการจ่ายปันผลน่าพอใจ ปีที่แล้วจ่าย 9 บาท ปีนี้ไม่น่าต่ำ กว่านี้เนื่องจากความแข็งแกร่งของกำไรและความเสี่ยงทางการเงินน้อย
หุ้นสามัคคีประกันภัย (SMG) เป็นธุรกิจในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ มีความน่าสนใจจากผลกำไรดีและจ่ายปันผลอย่างต่อเนื่องตลอด
4 ปีที่ผ่านมา ล่า สุดประกาศจ่าย 10 บาทต่อหุ้น มีอัตรา ผลตอบแทน 8.7% ส่วนจรัญประกันภัย
(CHARAN) เป็นบริษัทขนาดเล็กที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลค่อนข้างไว้ใจได้แม้อัตราอยู่ที่ระดับ
10%
"เราคาดหวังราคาเคลื่อนไหวขึ้นไปและเป็นหุ้นเงียบๆ มีการเติบโตค่อยเป็นค่อยไป"
วันชัยกล่าว "เช่นเดียวกับหุ้นโรงพยาบาลนนทเวช หรือ NTV ที่จ่ายปันผลต่อเนื่อง
ย้อนหลังไป 3 ปีก่อนจ่าย 14 บาท และคาดว่าปีนี้ตัวเลขอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน"
ด้านเจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) เป็นหุ้นที่น่าสนใจทุกครั้งที่ราคาอ่อนตัวอันเนื่องมาจากการเติบโตที่ต่อเนื่อง
เช่นเดียวกับลีพัฒนาผลิตภัณฑ์ (LEE) แต่ข้อเสียคือ ไม่มีสภาพคล่อง ทางด้านสหยูเนี่ยน
(SUC) นโยบายจ่ายปันผลทุกปี แม้ในปี 2540 ที่ขาดทุนสุทธิยังจ่าย 1 บาท แต่เฉลี่ยแล้วจ่าย
1.50 บาทต่อปี
"ข้อดีของสหยูเนี่ยน คือ ราคาไม่หวือหวาซึ่งนักลงทุนสามารถกำหนด ทิศทางได้
อีกทั้งยังมีมูลค่าทางบัญชีประมาณ 16 บาท แต่ราคายังไปไม่ถึง" ถนอมศักดิ์บอก
ขณะที่ไทยยูเนี่ยนโฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF) แม้จะจ่ายปันผลระดับต่ำแต่การเติบโตของธุรกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
เช่นเดียวกับน้ำมันพืชไทย (TVO) ที่มีโอกาสการดำเนินกิจการมาก ที่สำคัญผู้บริหารดูแลการจ่ายเงินปันผลดี