Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน3 กุมภาพันธ์ 2548
ขุนคลังชี้คาลเปอร์สลงทุน เพิ่มความเชื่อมั่นหุ้นไทย             
 


   
search resources

Stock Exchange




หุ้นอสังหาฯกลับมาคึกคัก ขณะที่เม็ดเงินตปท.กระจุกตัวในหุ้นสื่อสารและหุ้นโยงการเมือง ขุนคลังคาดหากกองทุน cal PERS สนใจตลาดหุ้นไทย จะเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้ ด้าน"สศค" ย้ำกองทุนต่างชาติสนลงทุนเมะโปรเจ็กต์ ชี้พึ่งเงินกู้ต่างชาติเกินชาติน้อยที่สุด เพื่อความมั่นคงการคลัง "เกียรตินาคิน" ชี้หุ้นกลุ่มการเมืองส่งผลแค่จิตวิทยา "ยูโอบี"ยกวัสดุก่อสร้างเด่น เปิดตัวหุ้นร้อนเดือนม.ค. BNT แรงสุดพุ่ง 129% ,ECLพุ่ง 68% ,MIDA พุ่ง 47.77%

ทิศทางตลาดหุ้นไทยก่อนการเลือกตั้งแม้จะไม่มีความหวือหวาร้อนแรง หุ้นที่มีความสัมพันธ์กับกลุ่มทางการเมืองจะยังไม่ออกอาการดังที่หลายฝ่ายจับตามองก็ตาม แต่หุ้นบางกลุ่มที่จะได้รับผลดีจากนโยบายของพรรคไทยรักไทย ก็ยังเป็นกลุ่มที่นักลงทุนเข้าซื้อขายอย่างโดดเด่นไม่ว่าจะเป็น กลุ่มสื่อสาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง

วานนี้ (2 ก.พ.) บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.พัฒนสิน ประเมินการลงทุนในตลาดหุ้นไทยไว้ว่า นักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ซื้อสุทธิทำให้ยอดสะสมนับตั้งแต่ต้นปี 2548 มีมูลค่ารวม 4.9 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตามเม็ดเงินลงทุนกระจุกตัวในหุ้นกลุ่มสื่อสารและหุ้นกลุ่มที่มีความเชื่อมโยงกับประเด็นทางการเมือง นักลงทุนคาดว่าภายหลังการเลือกตั้งการลงทุนในตลาดหุ้นจะคึกคักขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะหากพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งอย่างเด็ดขาดมากกว่า 320 เสียง

ขณะที่ดัชนีวานนี้แก่วงตัวอยู่ในกรอบแคบๆก่อนปิดที่ 710.33 จุด เพิ่มขึ้น 1.60 จุดหรือ 0.23% มูลค่าการซื้อขาย 23,434.62 ล้านบาท กลุ่มอสังหาริมทรัพย์กลับมานำทีมคึกคัก ดัชนีปิดที่ 132.01 เพิ่มขึ้น 2.40 จุด หรือ 1.85% มูลค่าการซื้อขาย 4,131.45 ล้านบาท

กลุ่มสื่อสารก็ยังร้อนต่อเนื่อง ดัชนีปิดที่ 113.25 จุด เพิ่มขึ้น 0.18 จุดหรือ 0.16% มูลค่าการซื้อขาย 2,922.07 ล้านบาท และกลุ่มพลังงาน ดัชนีปิดที่ 11,783.95 จุด เพิ่มขึ้น 72.96 จุดหรือ 0.62% มูลค่าการซื้อขาย 2,293.37 ล้าน

นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,566.18 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 409.26 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,156.92 ล้านบาท

นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน เปิดเผยว่า ในช่วงก่อนเลือกตั้งนักลงทุนมองว่าหุ้นกลุ่มที่มีชื่อว่าเป็นกลุ่มการเมืองจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นเป็นเพียงเรื่องของจิตวิทยาเท่านั้น ซึ่งการเลือกตั้งในครั้งนี้ไม่เหมือนกับการเลือกตั้ง 4 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากทุกฝ่ายมองว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาล จึงทำให้หุ้นที่อยู่ในรายชื่อหุ้นกลุ่มการเมืองไม่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมากนัก เช่น ซึ่งหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้จะเป็นหุ้นกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาลมากว่า เช่น บริษัท อิตาเลียนไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ITD ได้ผลประโยชน์ทางด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนหุ้นบริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน)หรือ TT&T บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ที่ปรับขึ้นเนื่องจากมีความชัดเจนในการจัดตั้ง คณะกรรมการโทรคมนาคม ( กทช.)มากว่า

นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการ บล.ยูโอบีเคย์เฮียน กล่าวว่า หุ้นส่วนใหญ่ขณะนี้ที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น จะเป็นกลุ่มกลุ่มวัสดุก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้าง ซึ่งจะได้รับผลประโยชน์ทางด้านโครงการสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐบาลจะมีการลงทุน เช่น ITD ที่ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสิ้นปีที่ผ่านมา20% บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน)หรือ CK ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปลายปี 10% และบริษัท ชิโน-ไทย อินจิเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ STEC ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปลายปี 2547 ถึง 40%

ส่วนหุ้นที่มีการถือของนักการเมืองนั้นอาจจะไม่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมากนัก เพราะต้องการความชัดเจนในการเลือกตั้งว่าจะกลับมาเป็นคณะรัฐมนตรีเหมือนเช่นเดิมหรือไม่

นายกวี ชูกิจเกษม ผู้จัดการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.พัฒนสิน จำกัด กล่าวว่า นักลงทุนเริ่มเน้นการเก็งกำไรค่อนข้างมากโดยเฉพาะหุ้นที่มีความเกี่ยวเนื่องกับการเมืองทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งนี้นักลงทุนมีความคาดหวังว่าหุ้นที่มีผู้ถือหุ้นเป็นนักการเมืองหรือได้รับผลประโยชน์จากนโยบายทางการเมือง โดยคาดว่ารัฐบาลชุดเดิมน่าจะได้รับการเลือกตั้งเป็นรัฐบาล

นอกจากนี้นักลงทุนคาดว่าหุ้นที่เกี่ยวเนื่องกับการบริโภคของประชาชนจะมีการเก็งกำไรมากขึ้น เนื่องจากจะมีภาพการแข่งขันทางการเมืองที่ชัดเจน โดยกลุ่มที่โดดเด่นคือ กลุ่มสื่อสารและกลุ่มวัสดุก่อสร้าง

ในส่วนของภาพลักษณ์ของรัฐบาลในตอนนี้นักลงทุนมั่นใจในทิศทางปัจจัยที่จะเป็นขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ โดยในเรื่องความชัดเจนในกระบวนการจัดตั้ง กทช.ด้วย ส่งผลให้หุ้นกลุ่มสื่อสารได้รับความสนใจอย่างมาก

คาลเปอร์สให้นำหนักหุ้นไทยเด่น

ขณะที่วานนี้กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ แห่งรัฐเคริฟอเนีย หรือ กองทุน cal PERS ซึ่งเมื่อหลายปีก่อนประกาศถอนการลงทุนในตลาดหุ้นไทย จนเป็นข่าวใหญ่ฮือฮา ได้กลับมาแนะนำว่าตลาดหุ้นไทยเป็นหนึ่งในตลาดเกิดใหม่ที่น่าลงทุน

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกระแสข่าวที่กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ แห่งรัฐเคริฟอเนีย หรือ กองทุน cal PERS ให้ไทยเป็นหนึ่งในบัญชีรายชื่อตลาดเกิดใหม่ที่น่าเข้ามาลงทุน ว่า ยังไม่ทราบเรื่อง แต่หากกองทุนดังกล่าวสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยจริง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งที่เคยเกรงกันว่า เหตุการณ์คลื่นยักษ์ สึนามิ จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศนั้น เคยย้ำหลายครั้งแล้วว่า นักลงทุนต่างชาติเข้าใจดี ไม่มีผลกระทบอยู่แล้ว

นายสมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า การแสดงท่าทีว่าจะกลับเข้ามาลงทุนในไทยอีกครั้งของกองทุน cal PERS นับว่า เป็นเรื่องที่ดีมาก ซึ่งหากกองทุนดังกล่าวจะเข้ามาลงทุนจริงเท่ากับมองเห็นความสำคัญของไทยมากขึ้น

ทั้งนี้ โดยส่วนตัวมองว่า cal PERS อาจจะเห็นว่า ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องใช้เม็ดเงินลงทุนจำนวนมาก ในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจ็กต์) ซึ่งหากรัฐบาลชุดนี้ หรือ รัฐบาลชุดใดก็ตามเข้ามาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศสมัยหน้า การลงทุนทั้งภาครัฐและภาคเอกชนยังสิ่งที่ประเทศไทยต้องสนับสนุนอย่างแน่นอน"เขาคงมองว่า ต่อไปภาครัฐจะมีการลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในเมกะโปรเจ็กต์ ซึ่งในส่วนนี้ก็จะมีผลต่อทั้งตลาดทุนและตลาดเงินบ้านเราเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามไม่ได้หวังว่า cal PERS จะเข้ามาลงทุนกับเราในวงเงินเท่าใด แค่แสดงท่าทีว่าจะเข้ามาลงทุนจริง ก็ส่งผลดีแล้วเพราะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงมุมมองของสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่อเศรษฐกิจของเราด้วย" นายสมชัย กล่าว

นายสมชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ไม่ห่วงผลกระทบ กรณีที่เกรงว่า หากมีเม็ดเงินจากกองทุนต่างประเทศ เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก อาจจะส่งผลให้ตลาดเกิดการผันผวนได้ หากเม็ดเงินลงทุนเหล่านั้น ถูกถอนออกไป เพราะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เป็นการลงทุนระยะยาว จึงไม่ต้องกังวลเรื่องความผันผวนที่อาจจะเกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในแง่ของเม็ดเงินกู้จากต่างประเทศที่จะใช้ในลงทุนใน เมกะโปรเจ็กต์ จะพยายามให้มีน้อยที่สุด เพราะจะเป็นภาระหนี้สาธารณะ ซึ่งทางเลือกในการใช้แหล่งเงินสำหรับลงทุนนั้นจะมาจากหลายทาง ทั้งในรูปของเงินกู้ ทุน เงินของรัฐวิสาหกิจเอง หรือ งบประมาณแผ่นดิน ซึ่งทั้งหมดจะต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ และอยู่ภายใต้กรอบการคลังที่ยั่งยืน

5 หุ้นพุ่งแรงเดือนม.ค.

ด้านรายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แจ้งถึงหลักทรัพย์ที่ราคาปรับตัวสูงสุด 5 อันดับแรกภายใน 1 เดือนนับตั้งแต่วันที่4 มกราคม- 1 กุมภาพันธ์ 2548โดยไม่นับรวมใบสำคัญแสดงสิทธิ(วอร์แรนท์)ปรากฏว่าหุ้นบริษัทบีเอ็นพี เอ็นเตอร์เทนเม้นท์(BNT) ราคาปรับตัวขึ้นมากสุด โดยราคาปิด ณวันที่ 1 มกราคม ราคาปิดที่ 0.47 บาทเพิ่มขึ้น 129.79%ซึ่งสาเหตุที่ราคาปรับตัวขึ้นมาแรงเนื่องจากช่วงที่ผ่านมาได้มีกระแสข่าวเกี่ยวกับผลประกอบการของปี2547 รวมถึงกระแสข่าวว่านักลงทุนรายใหญ่ได้เข้ามาซื้อหุ้นและข่าวการเจรจาควบกิจการกับบริษัทแชนแนล(วี)ประเทศไทยจนทำให้ตลาดหลักทรัพย์ได้สั่งห้ามการซื้อขายมาแล้ว 2 ครั้ง

นอกจากนี้การที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมากและมีมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นผิดปกตินั้นได้ส่งผลทำให้ตลาดหลักทรัพย์ได้สั่งห้ามซื้อขายหุ้นในลักษณะเน็ตแซทเทิ้ลเม้นท์และห้ามซื้อขายด้วยมาร์จิ้นนักลงทุนที่ซื้อขายหุ้นบีเอ็นทีจะต้องซื้อขายด้วยเงินสดเท่านั้นสำหรับอันดับรองลงมาได้แก่หุ้นบริษัทตะวันพาณิชย์ลิสซิ่ง(ECL)ราคาปิดล่าสุด 4.00 บาทเพิ่มขึ้น 68.75% ,บริษัทไมด้าแอสเซท(MIDA) ราคาปิด 7.85 บาทเพิ่มขึ้น47.77% ,หุ้นบริษัทชิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์คอนสตรัคชั่น(STEC) ราคาปิดล่าสุด 8.45 บาทเพิ่มขึ้น 46.75%และหุ้นบริษัทยูนิ เวนเจอร์ (UV) ราคาปิด 1.72บาทเพิ่มขึ้น 44.19%   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us