"บิ๊กศุภาลัย" ระบุปี 48 ตั้งเป้ายอดขาย 6,200 ล้านบาท จากยอดขายบ้าน 2,200 ยูนิต เน้นลงทุนทุกเซกเตอร์ ทุกราคา หวังกระจายความเสี่ยง จ่อเปิดใหม่ 4 โครงการ 4 ทำเล รัชดา-บางใหญ่-อ่อนนุช-บางแขน ชี้อสังหาฯเติบโตต่อเนื่องในอีก 1-2 ปี ด้านผลประกอบการปี 47 ยอดขาย 4,100 ล้านบาท รับรู้รายได้ 2,200 ล้านบาทโต 28%
นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัทศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวทางในการพัฒนาโครงการอสังหาฯของบริษัทว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทเริ่มกระจายการลงทุนให้ครอบคลุมทุกเซกเตอร์ ทั้งบ้านเดี่ยว, ทาวน์เฮาส์, คอนโดมิเนียม และอาคารสำนักงาน เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงในด้านการลงทุน อาทิ พัฒนาคอนโดมิเนียมจะมีกำไรมาก แต่ความเสี่ยงสูงเพราะต้องก่อสร้างที่เดียวแม้ว่าจะขายไม่หมดก็ตาม นอกจากนี้การรับรู้รายได้จะช้ากว่าบ้านจัดสรร ส่วนการพัฒนาบ้านจัดสรรจะมีความเสี่ยงน้อยกว่า เพราะสามารถสร้างไปที่ละเฟสได้ ในขณะที่อาคารสำนักงานจะมีรายได้จากการให้เช่าที่เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ
"แม้ว่าตลาดบ้านระดับกลางยังคงเป็นฐานที่กว้างที่สุด ส่วนตลาดบ้านราคาแพงจะมีการชะลอตัวเนื่องจากมีสินค้าเก่าเหลืออยู่ในตลาดจำนวนมาก ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งในการระบายออก แต่บริษัทอยู่ในตลาดมาเป็นเวลานาน มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ทั้งที่อยู่อาศัยแนวราบและแนวสูง ทำให้มีความพร้อมที่จะพัฒนาในทุกเซกเตอร์ยกเว้นตลาดล่างที่เป็นหน้าที่ของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) อยู่แล้ว นอกจากนี้การกระจายการลงทุนดังกล่าวนอกจากกระจายความเสี่ยงแล้ว ยังทำให้บริษัทสามารถเพิ่มอัตราการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง" นายประทีป กล่าว
นายประทีป กล่าว่า สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ได้ตั้งเป้ายอดขายประมาณ 6,200 ล้านบาท หรือจำนวน 2,000 ยูนิต จากจำนวน 22 โครงการ ซึ่งมีทั้งโครงการใหม่และเก่า แบ่งเป็น โครงการอาคารชุด 5 โครงการ, ทาวน์เฮาส์ 4 โครงการ, บ้านเดี่ยว 8 โครงการและโครงการในต่างจังหวัดอีก 5 โครงการ ในปีนี้บริษัทได้ตั้งงบในการซื้อที่ดินไว้ 1,000 ล้านบาท ขณะนี้วงเงินจำนวนดังกล่าวยังใช้ไม่หมด สามารถซื้อที่ดินเพิ่มได้อีก
โดยขณะนี้มีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่ 4 โครงการ กระจายในทุกทำเล ซึ่งแบ่งเป็นอาคารชุด 1 โครงการ ย่านรัชดา ซ. 10 บนเนื้อที่ 14 ไร่ พัฒนาคอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น 10 อาคาร จำนวน 1,460 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท ราคาขายยูนิตละ 9.5 แสน - 2 ล้านบาท
ส่วนอีก 3 โครงการ พัฒนาเป็นบ้านจัดสรร ได้แก่ โครงการศุภาลัย ดิ เอ็กเซลเลนท์ อ่อนนุช-สุวรรณภูมิ เป็นบ้านเดี่ยว ราคา 5 ล้านบาทขึ้นไปจำนวน 250 หลัง มูลค่าโครงการ 1,740 ล้านบาท ซึ่งจากเดิมมีแผนที่จะเปิดในช่วงปลายปี 2547 แต่เนื่องจากต้องขออนุญาตก่อสร้างสะพานข้ามคลองที่มีความยาวมากทำให้การเปิดโครงการเลื่อนออกมาในปีนี้แทน อีกโครงการอยู่ที่บางใหญ่ และล่าสุดได้ซื้อที่ดินที่บางแขนเนื้อที่ 30 ไร่ คาดว่าจะพัฒนาเป็นบ้านเดี่ยว ระดับกลาง-บน มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีโครงการศุภาลัย แกรนด์ทาวเวอร์ ริมถนนพระราม 3 พัฒนาเป็นอาคารสำนักงานให้เช่า เป็นอาคารสูง 33 ชั้น บนเนื้อที่ 4 ไร่ มีเนื้อที่รวม 43,000 ตารางเมตร มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาทจะก่อสร้างเสร็จในไตรมาส 4 ปี 2548 ซึ่งบริษัทได้เตรียมแผนย้ายสำนักงานอยู่ที่อาคารดังกล่าวด้วย
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2547 ยอดขายจำนวน 4,100 ล้านบาท ยอดรับรู้รายได้ 2,200 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตจากปีที่ผ่านมา 28% ซึ่งสาเหตุที่บริษัทมีอัตราการเติบโตอยู่ในระดับดังกล่าว เนื่องจากในปี 2547 โครงการของบริษัทส่วนใหญ่เป็นโครงการคอนโดมิเนียม มีเกณฑ์การรับรู้รายได้ที่ช้ากว่าขายบ้านจัดสรร ดังนั้นยอดขายส่วนใหญ่ในปี่ที่ผ่านมาจะมารับรู้รายได้ในปี 2548 ซึ่งจะทำให้รายได้ของบริษัทในปีนี้มีอัตราการเติบโตที่ดีขึ้น
สำหรับผลกระทบทางด้านต้นทุนการพัฒนาโครงการที่ปรับเพิ่มขึ้นจากหลายสาเหตุ อาทิ ราคาน้ำมัน ราคาวัสดุ ฯลฯ นายประทีป กล่าวว่า การปรับขึ้นของต้นทุนการผลิตนั้น อาจส่งผลให้ต้องมีการปรับราคาสินค้าขึ้นได้ แต่เนื่องจากบริษัทมีสต๊อกสิ้นค้าเก่าอยู่ในมือส่วนหนึ่ง ทำให้ยังคงราคาเดิมไว้ได้ นอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับบริษัทวัสดุก่อสร้างในการตรึงราคาวัสดุเอาไว้ นอกจากนี้ยังได้ร่วมกับบริษัทปูนในการนำแพลนปูนเข้าไปตั้งไว้ในพื้นที่ก่อสร้างโครงการ
นายประทีป ได้กล่าวถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯว่า จากจำนวนที่อยู่อาศัยที่ผู้ประกอบการผลิตออกสูตลาดในปัจจุบันมีประมาณ 65,000 ยูนิต ซึ่งไม่ถึงครึ่งของช่วงพีคที่สุดในปี 2537 ที่มีมากถึง 170,000 ยูนิต ในขณะที่ความต้องการยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงเชื่อว่าในช่วง 1-2 ปีนี้ ตลาดอสังหาฯจะสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องอย่างไม่มีปัญหา
นอกจากนี้การพัฒนาที่อยู่อาศัยถือเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงน้อยมาก เมื่อเทียบกับอสังหาฯประเภทอื่นๆ เช่น อาคารพาณิชย์ อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า เพราะประชาชนมีความต้องการที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงก็ตาม แต่หากเศรษฐกิจดี ประชาชนก็จะมีกำลังซื้อมากขึ้น
ส่วนปัจจัยลบที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภาคอสังหาฯ ในช่วงปีที่ผ่านมา อาทิ คลื่นสึนามิถล่ม 6 จังหวัดภาคใต้, ปัญหาความไม่สงบ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้, ไข้หวัดนกและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้น จะส่งผลกระทบให้ยังทำให้เศรษฐกิจโดยรวมขยายตัวชะลอตัว โดยจากเดิมที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 6-7% จะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 5% นอกจากนี้ยังทำให้ภาคอสังหาฯลดความร้อนแรงลงจากที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตโดยรวม 20% ก็อาจจะปรับลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 15%
|