Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน3 กุมภาพันธ์ 2548
ศุภาลัย"ลุยเปิด4โครงการใหม่ ตั้งเป้ายอดขาย 6,200 ล้าน-มั่นใจอสังหาฯ 2 ปีโตได้อีก             
 


   
www resources

โฮมเพจ ศุภาลัย

   
search resources

ศุภาลัย, บมจ.
Real Estate




"บิ๊กศุภาลัย" ระบุปี 48 ตั้งเป้ายอดขาย 6,200 ล้านบาท จากยอดขายบ้าน 2,200 ยูนิต เน้นลงทุนทุกเซกเตอร์ ทุกราคา หวังกระจายความเสี่ยง จ่อเปิดใหม่ 4 โครงการ 4 ทำเล รัชดา-บางใหญ่-อ่อนนุช-บางแขน ชี้อสังหาฯเติบโตต่อเนื่องในอีก 1-2 ปี ด้านผลประกอบการปี 47 ยอดขาย 4,100 ล้านบาท รับรู้รายได้ 2,200 ล้านบาทโต 28%

นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัทศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวทางในการพัฒนาโครงการอสังหาฯของบริษัทว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทเริ่มกระจายการลงทุนให้ครอบคลุมทุกเซกเตอร์ ทั้งบ้านเดี่ยว, ทาวน์เฮาส์, คอนโดมิเนียม และอาคารสำนักงาน เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงในด้านการลงทุน อาทิ พัฒนาคอนโดมิเนียมจะมีกำไรมาก แต่ความเสี่ยงสูงเพราะต้องก่อสร้างที่เดียวแม้ว่าจะขายไม่หมดก็ตาม นอกจากนี้การรับรู้รายได้จะช้ากว่าบ้านจัดสรร ส่วนการพัฒนาบ้านจัดสรรจะมีความเสี่ยงน้อยกว่า เพราะสามารถสร้างไปที่ละเฟสได้ ในขณะที่อาคารสำนักงานจะมีรายได้จากการให้เช่าที่เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ

"แม้ว่าตลาดบ้านระดับกลางยังคงเป็นฐานที่กว้างที่สุด ส่วนตลาดบ้านราคาแพงจะมีการชะลอตัวเนื่องจากมีสินค้าเก่าเหลืออยู่ในตลาดจำนวนมาก ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งในการระบายออก แต่บริษัทอยู่ในตลาดมาเป็นเวลานาน มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ทั้งที่อยู่อาศัยแนวราบและแนวสูง ทำให้มีความพร้อมที่จะพัฒนาในทุกเซกเตอร์ยกเว้นตลาดล่างที่เป็นหน้าที่ของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) อยู่แล้ว นอกจากนี้การกระจายการลงทุนดังกล่าวนอกจากกระจายความเสี่ยงแล้ว ยังทำให้บริษัทสามารถเพิ่มอัตราการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง" นายประทีป กล่าว

นายประทีป กล่าว่า สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ได้ตั้งเป้ายอดขายประมาณ 6,200 ล้านบาท หรือจำนวน 2,000 ยูนิต จากจำนวน 22 โครงการ ซึ่งมีทั้งโครงการใหม่และเก่า แบ่งเป็น โครงการอาคารชุด 5 โครงการ, ทาวน์เฮาส์ 4 โครงการ, บ้านเดี่ยว 8 โครงการและโครงการในต่างจังหวัดอีก 5 โครงการ ในปีนี้บริษัทได้ตั้งงบในการซื้อที่ดินไว้ 1,000 ล้านบาท ขณะนี้วงเงินจำนวนดังกล่าวยังใช้ไม่หมด สามารถซื้อที่ดินเพิ่มได้อีก

โดยขณะนี้มีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่ 4 โครงการ กระจายในทุกทำเล ซึ่งแบ่งเป็นอาคารชุด 1 โครงการ ย่านรัชดา ซ. 10 บนเนื้อที่ 14 ไร่ พัฒนาคอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น 10 อาคาร จำนวน 1,460 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท ราคาขายยูนิตละ 9.5 แสน - 2 ล้านบาท

ส่วนอีก 3 โครงการ พัฒนาเป็นบ้านจัดสรร ได้แก่ โครงการศุภาลัย ดิ เอ็กเซลเลนท์ อ่อนนุช-สุวรรณภูมิ เป็นบ้านเดี่ยว ราคา 5 ล้านบาทขึ้นไปจำนวน 250 หลัง มูลค่าโครงการ 1,740 ล้านบาท ซึ่งจากเดิมมีแผนที่จะเปิดในช่วงปลายปี 2547 แต่เนื่องจากต้องขออนุญาตก่อสร้างสะพานข้ามคลองที่มีความยาวมากทำให้การเปิดโครงการเลื่อนออกมาในปีนี้แทน อีกโครงการอยู่ที่บางใหญ่ และล่าสุดได้ซื้อที่ดินที่บางแขนเนื้อที่ 30 ไร่ คาดว่าจะพัฒนาเป็นบ้านเดี่ยว ระดับกลาง-บน มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีโครงการศุภาลัย แกรนด์ทาวเวอร์ ริมถนนพระราม 3 พัฒนาเป็นอาคารสำนักงานให้เช่า เป็นอาคารสูง 33 ชั้น บนเนื้อที่ 4 ไร่ มีเนื้อที่รวม 43,000 ตารางเมตร มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาทจะก่อสร้างเสร็จในไตรมาส 4 ปี 2548 ซึ่งบริษัทได้เตรียมแผนย้ายสำนักงานอยู่ที่อาคารดังกล่าวด้วย

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2547 ยอดขายจำนวน 4,100 ล้านบาท ยอดรับรู้รายได้ 2,200 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตจากปีที่ผ่านมา 28% ซึ่งสาเหตุที่บริษัทมีอัตราการเติบโตอยู่ในระดับดังกล่าว เนื่องจากในปี 2547 โครงการของบริษัทส่วนใหญ่เป็นโครงการคอนโดมิเนียม มีเกณฑ์การรับรู้รายได้ที่ช้ากว่าขายบ้านจัดสรร ดังนั้นยอดขายส่วนใหญ่ในปี่ที่ผ่านมาจะมารับรู้รายได้ในปี 2548 ซึ่งจะทำให้รายได้ของบริษัทในปีนี้มีอัตราการเติบโตที่ดีขึ้น

สำหรับผลกระทบทางด้านต้นทุนการพัฒนาโครงการที่ปรับเพิ่มขึ้นจากหลายสาเหตุ อาทิ ราคาน้ำมัน ราคาวัสดุ ฯลฯ นายประทีป กล่าวว่า การปรับขึ้นของต้นทุนการผลิตนั้น อาจส่งผลให้ต้องมีการปรับราคาสินค้าขึ้นได้ แต่เนื่องจากบริษัทมีสต๊อกสิ้นค้าเก่าอยู่ในมือส่วนหนึ่ง ทำให้ยังคงราคาเดิมไว้ได้ นอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับบริษัทวัสดุก่อสร้างในการตรึงราคาวัสดุเอาไว้ นอกจากนี้ยังได้ร่วมกับบริษัทปูนในการนำแพลนปูนเข้าไปตั้งไว้ในพื้นที่ก่อสร้างโครงการ

นายประทีป ได้กล่าวถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯว่า จากจำนวนที่อยู่อาศัยที่ผู้ประกอบการผลิตออกสูตลาดในปัจจุบันมีประมาณ 65,000 ยูนิต ซึ่งไม่ถึงครึ่งของช่วงพีคที่สุดในปี 2537 ที่มีมากถึง 170,000 ยูนิต ในขณะที่ความต้องการยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงเชื่อว่าในช่วง 1-2 ปีนี้ ตลาดอสังหาฯจะสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องอย่างไม่มีปัญหา

นอกจากนี้การพัฒนาที่อยู่อาศัยถือเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงน้อยมาก เมื่อเทียบกับอสังหาฯประเภทอื่นๆ เช่น อาคารพาณิชย์ อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า เพราะประชาชนมีความต้องการที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงก็ตาม แต่หากเศรษฐกิจดี ประชาชนก็จะมีกำลังซื้อมากขึ้น

ส่วนปัจจัยลบที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภาคอสังหาฯ ในช่วงปีที่ผ่านมา อาทิ คลื่นสึนามิถล่ม 6 จังหวัดภาคใต้, ปัญหาความไม่สงบ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้, ไข้หวัดนกและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้น จะส่งผลกระทบให้ยังทำให้เศรษฐกิจโดยรวมขยายตัวชะลอตัว โดยจากเดิมที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 6-7% จะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 5% นอกจากนี้ยังทำให้ภาคอสังหาฯลดความร้อนแรงลงจากที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตโดยรวม 20% ก็อาจจะปรับลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 15%   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us