|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บลจ.ธนชาติเล็งโยกเม็ดเงินกองทุนตราสารหนี้-หุ้น กองเก่า ไปลงทุนในต่างประเทศมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท เผยเตรียมเสนอขออนุมัติจากสำนักงานก.ล.ต.คาดได้ข้อสรุปภายใน 90 วัน หรือสามารถออกไปลงทุนในต่างประเทศได้ภายในเดือนก.พ.หรือมี.ค.นี้ โดยเบื้องต้นจะเข้าไปลุยตราสารหนี้ในภูมิภาคเอเชีย คาดผลตอบแทนงามเมื่อเทียบกับลงทุนในประเทศ
นายกำพล อัศวกุลชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ธนชาติ จำกัด (NASSET) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างยื่นหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขออนุญาตนำเงินจากกองทุนหุ้น หรือตราสารหนี้ที่มีอยู่เดิมไปลงทุนในต่างประเทศ โดยคาดว่าในปีนี้จะมีการลงทุนในต่างประเทศประมาณ 40-50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2 หมื่นล้านบาท
สำหรับการลงทุนต่างประเทศของกองทุนรวมต่างประเทศ (FIF) ของบลจ.ธนชาติ แบ่งเป็นสองส่วนคือ ลงทุนในตราสารหนี้ และกองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นในสัดส่วน 50:50
"สาเหตุที่เราเลือกที่จะขออนุญาตก.ล.ต. เพื่อนำเงินจากกองทุนที่มีอยู่เดิมไปลงทุนต่างประเทศ แทนที่จะออกเป็นกองใหม่ เนื่องจากสามารถดำเนินการได้เร็วกว่า และสามารถโยกเม็ดเงินที่มีในกองทุนไปลงทุนได้ทันที ซึ่งขณะนี้ได้มีการเตรียมความพร้อมร่วมกับพันธมิตรในต่างประเทศเรียบร้อยแล้วW
นายกำพลกล่าวว่า หลังจากที่ยื่นโครงการเสนอให้แก่ ก.ล.ต. คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 90 วัน ในการพิจารณา และจะสามารถไปลงทุนต่างประเทศได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ หรือในช่วงเดือนมีนาคมนี้ โดยจะทยอยออกกองทุนละ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามที่ก.ล.ต.ได้อนุญาต จากนั้นก็จะเปิดไปต่อเนื่องรวม 40-50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนความคืบหน้าในการจัดตั้งกองทุนรวมเพื่อลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ขณะนี้อยู่ระหว่างรอหลักเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะประกาศออกมา ซึ่งขณะนี้ได้มีการเตรียมความพร้อมรองรับไว้เรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ คณะกรรมการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุมัติให้บลจ. สามารถลงทุนในต่างประเทศผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ วงเงิน 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้แก่กองทุนรวม และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะอนุญาตให้กองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ วงเงิน 300 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะจัดสรรให้บริษัทจัดการครั้งละไม่เกิน 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่คณะกรรมการกองทุนเห็นชอบให้ลงทุนในต่างประเทศได้ในวงเงิน 200 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะจัดสรรให้บริษัทจัดการครั้งละไม่เกิน 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับประเภทหลักทรัพย์ต่างประเทศที่อนุญาตให้กองทุนรวมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพลงทุนได้นั้น หากเป็นการลงทุนในตราสารทุนหรือหน่วยลงทุน จะต้องเป็นหลักทรัพย์ในประเทศที่มีองค์กรกำกับดูแลเป็นสมาชิกสามัญของ IOSCO หรือ ตลาดหลักทรัพย์เป็นสมาชิกของ WFE หากเป็นตราสารหนี้ จะต้องได้รับการจัดอันดับระดับ investment grade ทั้งนี้ บริษัทจัดการจะต้องดำรงอัตราส่วนการลงทุนตามเกณฑ์ที่ ก.ล.ต. กำหนด
นายกำพลกล่าวว่า ในเบื้องต้นกองทุนรวมต่างประเทศที่จะออกจะเป็นกองตราสารหนี้ ที่เข้า ไปลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศภูมิภาคเอเชียเป็นหลัก เนื่องจากประเมินว่าแนวโน้มการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศจะเข้ามลงทุนในภูมิภาคเอเชียมากขึ้น ซึ่งจะมีการซื้อเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง เพื่อป้องกันไม่ให้ได้รับผลกระทบจากการผันผวนของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนกองทุนหุ้นที่ลงทุนในต่างประเทศจะให้น้ำหนักกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช่นกัน เนื่องจากคาดว่าจะมีเม็ดเงินจากกองทุนต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากให้ผลตอบแทนในระดับสูง
|
|
|
|
|