Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กุมภาพันธ์ 2548








 
นิตยสารผู้จัดการ กุมภาพันธ์ 2548
บทเรียนครั้งใหญ่ของคน IT             
โดย น้ำค้าง ไชยพุฒ
 

   
related stories

Phuket's Still Alive
World Class Strategy
Turn Grief to Wisdom การเรียนรู้และบทบาทของญี่ปุ่น
Keep on the WATCH! ภารกิจของศูนย์เตือนภัย
บทเรียนจากสหรัฐอเมริกา
Next Threats To Come ภัยจากใต้พิภพ
The Different Wave

   
www resources

AIS Homepage
โฮมเพจ DTAC
โฮมเพจ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

   
search resources

แอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส, บมจ.
โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น, บมจ.
กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
Telecommunications




เหตุการณ์คลื่นยักษ์ถล่มภาคใต้ ไม่เพียงแต่พรากชีวิตคนนับพันให้จากไปเพียงเสี้ยวนาทีเท่านั้น แต่ยังได้เพิ่มบทเรียนหน้าใหม่ให้กับวงการสื่อสารของไทย ในการเตรียมรับมือกับภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้นได้โดยไม่ทันได้ตั้งตัว

ระบบการสื่อสารถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างปฏิเสธไม่ได้ในยามที่เกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิได้ทำลายพื้นที่ของเขตจังหวัดภูเก็ต พังงาและอีกหลายๆ จังหวัดใกล้เคียงในช่วงสายของวันที่ 26 ธันวาคมของปีที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือเพื่อให้คนนอกพื้นที่ และในพื้นที่ได้สื่อสารระหว่างกันว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลานั้นเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อใช้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากความเสียหายของคลื่นยักษ์ในยามที่เส้นทางการเดินทางถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง

ด้วยสาเหตุที่ไม่ซับซ้อนมากนัก คลื่นยักษ์ทำลายสายไฟเบอร์ออปติกซึ่งฝังอยู่ใต้ดินจนเกิดความเสียหาย ไม่สามารถใช้เป็นช่องทางของการสื่อสารผ่านระบบโทรศัพท์มือถือและโทรศัพท์พื้นฐานในพื้นที่นั้นๆ อีกทั้งคลื่นน้ำยังทำลายอุปกรณ์ พื้นฐานต่างๆ ที่ใช้ในการสื่อสารทั้งหมด ตั้งแต่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ โทรศัพท์ในบ้าน ที่หายวับไปกับตาพร้อมตัวบ้าน โดยที่ใครก็ไม่ทันได้เตรียมการกับเหตุการณ์แบบนี้ไว้

จึงไม่แปลกที่ได้เห็น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกมาให้สัมภาษณ์ รายการโทรทัศน์รายการหนึ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์ได้เพียงไม่กี่วันว่า ปัญหาสำคัญมากที่ทำให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างล่าช้า ก็คือ ปัญหาเรื่องการสื่อสาร เพราะในวันแรกๆ นอกจากบางสถานที่จะเหมือนโลกมืด ขาดการสื่อสารติดต่อระหว่างกันอย่างสิ้นเชิง การสั่งการที่ควรจะรวดเร็วกลับล่าช้าอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อบ้านถูกทำลายด้วยคลื่นน้ำสูงท่วมหัว โทรศัพท์พื้นฐานไม่สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารกับคนที่รักและคนรู้จักเหมือนอย่างเคย ความสามารถในการ พกพาติดตัวและสื่อสารได้ทุกที่ที่มีสัญญาณ เข้าถึงทำให้โทรศัพท์มือถือมีบทบาทมากที่สุดในยามที่เกิดเหตุดังกล่าว

แต่ด้วยเพราะสถานีฐานของโทรศัพท์มือถือในท้องที่ แม้จะถูกฝังรากของฐานลึกลงไปใต้ดินหลายเมตร แต่อุปกรณ์ที่ใช้ควบคุมการทำงานของสถานีฐานกลับอยู่ไม่สูงอย่างที่คิด ระดับของคลื่นที่สูงหลายเมตรได้ทำลายแผงควบคุม และพัดพาไปกับสายน้ำในวันนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แม้บางจุดอุปกรณ์ควบคุมการทำงานของสถานีฐานจะไม่ถูกน้ำพัดไปด้วย แต่หัวใจสำคัญของระบบโครงข่ายการสื่อสารทั้งหมดก็คือ "ไฟฟ้า" ที่เสียหายทันทีเมื่อคลื่นพัดมา ก็ทำให้การสื่อสารนั้นใช้งานไม่ได้ไปด้วยในทันทีด้วยเช่นกัน แม้แต่ละสถานีฐานซึ่งใช้ส่งสัญญาณหากันนั้นจะมีระบบสำรองไฟเอาไว้ แต่จำนวนชั่วโมงในการสำรองก็ไม่รองรับระยะเวลาจนกว่าจะมีการกู้ระบบไฟฟ้าให้ใช้งานได้ เหมือนกับว่าคลื่นมือถือในครั้งนี้ได้ถูกกลืนหายลงทะเลไปด้วย ในช่วงที่คลื่นถาโถมเข้าฝั่งแล้วดึงทุกอย่างกลับไปด้วยในเวลาเพียงเสี้ยวนาที

สิ่งแรกที่แต่ละค่ายมือถือจะทำได้ก็คือ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งหมดต้องกู้ระบบการสื่อสารกลับมาอีกครั้ง เพื่อให้การสื่อสารใช้ได้เร็วที่สุดแล้วคอยมองย้อนกลับถึงความเสียหายและวางแผนสำหรับรองรับเหตุการณ์แบบนี้ต่อไป

"ดีแทคมีสถานีฐานใน 6 จังหวัดภาคใต้ที่ได้รับความเสียหายรวมทั้งสิ้น 17 แห่ง จากทั้งหมดรวมแล้ว 200 กว่าแห่ง ความเสียหายส่วนใหญ่เกิดจากการทำลายของน้ำทะเลที่พัดเข้ามาทำลายอุปกรณ์ควบคุมสถานีฐาน, เครื่องปั่นไฟไม่ทำงาน โดยเฉพาะในพื้นที่ของเกาะพีพี, หาดป่าตอง และเขาหลัก ซึ่งความเสียหายนั้นสูงมากเมื่อเทียบกับที่อื่น" สันติ เมธาวิกุล ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจโพสต์เพด บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) บอกกับ "ผู้จัดการ"

สันติบอกว่าเขาเองก็เพิ่งจะทราบจากวิชัย เบญจรงคกุล ซีอีโอของบริษัทในช่วงสายของวันที่เกิดเหตุ โดยทีมวิศวกรที่ประจำพื้นที่ได้ติดต่อเข้ามารายงานส่วนกลางให้ทราบถึงความเสียหายที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นซีอีโอก็ได้เริ่มสั่งการอันดับแรกด้วยการจัดส่งทีมวิศวกรในส่วนกลางลงไปเสริมทีมเพื่อแก้ปัญหา แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นอุปสรรคอย่างหนักก็คือ การเดินทางเข้าไปในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักไม่ได้เลย เพราะในความเป็นจริงทีมวิศวกรนั้นอยู่ในพื้นที่อยู่แล้วบางส่วน แต่ก็ทำงานไม่ได้ เพราะบางพื้นที่เข้าไม่ถึง

ดีแทคสามารถกู้สัญญาณในเขตจังหวัดภูเก็ตให้ใช้งานได้ทันทีในวันนั้น โดยทำการส่งรถ Mobile base station ที่อยู่ในบริเวณจังหวัดต่างๆ รวมทั้งกรุงเทพฯ ลงไปในพื้นที่โดยด่วน ขณะที่เกาะพีพีสามารถกู้คืนได้อีกหนึ่งวันถัดมาโดยใช้เฮลิคอปเตอร์นำทีมงานพร้อมเครื่องปั่นไฟเข้าไปในพื้นที่ ตามมาด้วยพื้นที่ของเขาหลักที่ถือว่าเสียหายมากสุด ดีแทคต้องอาศัยรถเคลื่อนที่ของตนต่อพ่วงเข้ากับรถดาวเทียม D-Sat เพื่อทำการส่งสัญญาณมือถือผ่านดาวเทียมแทนการใช้สายไฟเบอร์ออปติกในแถบนี้ซึ่งเสียหายแทบจะใช้การไม่ได้

แม้จะมีแผนสำรองเอาไว้รองรับความเสียหายอันเนื่องจากภัยพิบัติอยู่แล้วก็ตาม แต่สันติก็ยอมรับว่าเหตุการณ์แบบนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นในเมืองไทยมาก่อน การตัดสินใจจากซีอีโอโดยตรง แม้จะทันท่วงทีแต่ความเสียหายของกระแสไฟฟ้าและปัญหาเรื่องการเดินทางก็สร้างความลำบากให้กับดีแทคเป็นอย่างมาก สันติเชื่อว่าดีแทคก็คงต้องประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่ยังเชื่อว่าแผนสำรองที่มีอยู่ยังใช้ได้อยู่ แต่ประสบการณ์ที่พบในครั้งนี้จะเป็นบทเรียนให้ได้เรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาแบบนี้ได้ดียิ่งขึ้น

ขณะที่เอไอเอส ซึ่งระบุว่าลูกค้ากว่า 70-80 เปอร์เซ็นต์ในพื้นที่จังหวัดที่ได้รับความเสียหายใช้เครือข่ายของตนแทบทั้งหมด หากสถานีฐานของเอไอเอสใช้ไม่ได้ นั่นหมายถึงผู้มีมือถือกว่าครึ่งค่อนจะใช้การไม่ได้โดยปริยายด้วยเช่นกัน

แต่สถานีฐานของเอไอเอสกลับเสียหายจากกระแสน้ำเพียงแค่แห่งเดียว เหตุผลเช่นเดียวกันกับดีแทคคือตัวอุปกรณ์ที่ติดกับสถานีฐานถูกพัดพาไปด้วยกับคลื่น แต่ที่เหลือ อีกกว่า 13 แห่งเสียหายจากกระแสไฟฟ้าใช้การไม่ได้ ทำให้สัญญาณโทรศัพท์มือถือในเขตจังหวัดภูเก็ตและพังงาใช้การไม่ได้ การแก้ไขปัญหาแทบจะไม่แตกต่างกันเลย คือการส่งทีมวิศวกรในท้องที่ และจากกรุงเทพฯ เข้าเสริมในพื้นที่ที่เสียหาย เพื่อกู้ระบบคืน

เอไอเอสส่งรถ Mobile base station เข้าไปประจำจุดสำคัญๆ เช่น ศาลาว่าการ จังหวัดภูเก็ต, อำเภอตะกั่วป่า และเขาหลัก ส่วนพื้นที่ที่เข้าถึงลำบาก เอไอเอสอาศัยทหารในพื้นที่ช่วยขนส่งอุปกรณ์ส่งสัญญาณเคลื่อนที่ แทนแรงงานของชาวบ้าน ซึ่งขณะนั้นต่าง เดินทางออกจากพื้นที่เพื่อเอาชีวิตรอด

"เราเองก็ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งแรก แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เราเองก็ต้องแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าก่อนอย่างอื่น กู้ระบบคืนให้ได้เร็วที่สุด และก็ต้องเรียนรู้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อวางแผนในการแก้ไขปัญหาในลักษณะแบบนี้ แม้จะมีแผนสำรองอยู่แล้วก็ตาม" กฤษณัน งามผาติพงศ์ รองกรรมการ ผู้อำนวยการ สายงานการตลาด บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส เปิดเผยกับทีมงานระหว่างร่วมงานแถลงข่าวเป็นครั้งแรกของเอไอเอสในช่วงต้นปี หลังงดเว้นกิจกรรมทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์สึนามิตั้งแต่ปลายปี

ขณะที่บางพื้นที่ที่การสื่อสารยังไม่เสียหายมากนัก กลับเกิดการจราจรของการสื่อสารแน่นขนัด ไม่ต่างอะไรกับรถนับล้านๆ แน่นขนัดอยู่บนถนนไม่กี่เส้น แม้จะเพิ่มถนนเท่าไร แต่รถกลับเพิ่มมากขึ้นจนไม่เพียงพอกับความต้องการ แม้รายการโทรทัศน์ต่างๆ จะประกาศขอความร่วมมือให้ผู้ที่ไม่มีธุระจำเป็นจริงๆ งดสื่อสารด้วยโทรศัพท์มือถือในพื้นที่นั้นๆ แล้วก็ตามที

แต่ด้วยจำนวนของผู้ประสบเหตุนั้นมากมายนับหมื่นรายการติดต่อสื่อสารระหว่างญาติ เพื่อนฝูง หรือคนรู้จักจากต่างถิ่นมา ยังพื้นที่จังหวัดที่เกิดเหตุจึงแน่นหนาเกินกว่าช่วงปกติของช่องสัญญาณที่เตรียมไว้ให้ เอไอเอสเองได้เปิดเผยตัวเลขของอัตราการใช้โทรศัพท์จากเครือข่ายของตนเองในช่วงของวันที่เกิดเหตุว่ามากถึง 33 ล้านครั้งต่อวัน เมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติที่มีคนใช้เพียง 3 ล้าน ครั้งต่อวันเลยทีเดียว

การแก้ปัญหาเรื่องการสำรองคลื่นมือถือเอาไว้ยามฉุกเฉินจึงเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายตระหนักและให้ความสำคัญในอันดับต่อมา เมื่อเหตุการณ์สงบลง

คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช. คือหน่วยงานแรกที่ใช้สิทธิ์ในการเป็นผู้ควบคุมและดูแลการประกอบกิจการโทรคมนาคมในประเทศ เรียกประชุมหารือผู้เกี่ยวข้องกับโทรคมนาคม ทั้งภาครัฐและเอกชน กว่า 100 คน เพื่อเตรียมความพร้อมด้านโทรคมนาคมในภาวะฉุกเฉินหรือภัยพิบัติเป็นการด่วนในวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา

ในงานประชุมได้ข้อสรุปแน่ชัดสองข้อคือ จากเหตุการณ์สึนามิในภาคใต้ ทำให้ได้เรียนรู้ว่าในยามที่เกิดภัยพิบัติส่วนใหญ่การโทรศัพท์เข้าพื้นที่นั้นๆ สูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงปกติ ดังนั้นกระบวนการอำนวยความสะดวกเพื่อไม่ให้การโทรศัพท์เข้าพื้นที่มากเกินไป หรือนานเกินไปควรจะชัดเจนกว่านี้ นอกจากนี้การจัดทำสายด่วนหรือสายฉุกเฉินสำหรับบุคคลสำคัญ ทั้งนายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรี, สภาความมั่นคงแห่งชาติ, กรมอุตุนิยมวิทยา, กรมการปกครอง, หน่วยงานราชการ, หน่วยบรรเทาสาธารณภัย และสภากาชาด เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการแก้ไขสภาวะฉุกเฉินต่างๆ

ประเด็นสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ การสำรองคลื่นความถี่ ทั้งดาวเทียม, ไฟเบอร์ออปติก, เลขหมายฉุกเฉิน, โครงข่ายโทรศัพท์พื้นฐานและมือถือ ก็ไม่ควรจะมองข้ามไปในการเตรียม ความพร้อมในการแก้ไขการสื่อสารเมื่อเกิดภัยพิบัติ

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะร่วมกันจัดทำแผนแม่บท โครงข่ายโทรคมนาคมสำรองที่สามารถปฏิบัติงานหรือใช้งานได้ ทันทีกรณีเกิดภัยพิบัติ โดยยกประเด็นทั้งสองอย่างมาจัดลำดับ ว่าควรจะขอความร่วมมือจากเอกชนและรัฐบาลจากส่วนใดบ้าง

เช่น การขอสำรองเครือข่ายโทรศัพท์มือถือจากภาคเอกชน ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์จากทั้งเครือข่ายในช่วงที่จำเป็นโดยกัน ส่วนการใช้ปกติออกมาใช้ในยามฉุกเฉินได้ทันที การขอความร่วมมือทุกค่ายมือถือเพื่อส่งข้อความเอสเอ็มเอสเข้ามือถือกลุ่มผู้ใช้มือถือทั้งหมดเพื่อเตือนภัยก่อนเกิดภัยพิบัติล่วงหน้า หากมีการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้แล้ว

หรือแม้แต่การขอใช้สัญญาณดาวเทียมใหม่อย่างไอพีสตาร์ ที่มีกำหนดยิงขึ้นบนฟ้าในปีนี้ เพื่อใช้เป็นช่องทางการสื่อสารหนึ่ง ตาม พ.ร.บ.ประกอบการกิจการโทรคมนาคม มาตราที่ 61 ที่เอื้อให้ กทช.สามารถใช้เครือข่ายนี้ได้ในยามที่ฉุกเฉินหรือความมั่นคงของชาติ

การสำรองคลื่นความถี่วิทยุ, โทรทัศน์ ซึ่งเข้าถึงประชาชนได้มากกว่าโทรศัพท์มือถือ ในการกระจายข้อมูลเตือนภัยล่วงหน้า และประชา สัมพันธ์เหตุการณ์ต่างๆ การสำรองคลื่นความถี่วิทยุสมัครเล่นหรือตัวอุปกรณ์ในยามจำเป็น โดยผ่านการขอความร่วมมือจาก กสช. ซึ่งจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้

โดยทั้งหมดจะรวมอยู่ในแผนแม่บทดังกล่าว ซึ่งเมื่อเสร็จสิ้นในอีกสองเดือนข้างหน้า กทช.จะจัดส่งไปยังกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที รวมถึงจัดส่งไปยังปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อใช้ประกอบหรือส่งมอบให้แก่ ผู้มีอำนาจตัดสินใจสั่งการทั้งหมด และอาจจะทำการซักซ้อมแผนสำรองระบบโทรคมนาคมได้ในวันที่ 26 ธันวาคม 2549

แม้ กทช.จะไม่ใช่เจ้าภาพหลักของการแก้ปัญหาด้านการสื่อสารในครั้งนี้อย่างชัดเจน แต่ก็แทบไม่ต่างอะไรกับการใช้สิทธิ์ของคลื่นต่างๆ ก่อนโยนลูกไปให้เจ้าภาพที่ออกตัวชัดเจนอย่างกระทรวงไอซีที ซึ่งเข้ามามีส่วนในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย โดยเฉพาะ การเป็นเจ้าภาพในการสร้างฐานข้อมูลผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว

ไอซีทีมิเพียงแต่หวังจะนำเทคโนโลยีมาช่วยจัดการอะไรหลายๆ อย่างกับเหตุการณ์นี้เท่านั้น แต่ยังหวังสร้างความมั่นใจให้ผู้ประกอบการที่จะเข้ามาลงทุนในจังหวัดภูเก็ตดังเช่นเคย พอๆ กับการยืนยันความพร้อมของการจัดตั้ง ICT City ในจังหวัดภูเก็ต อย่างที่เคยหมายมาดไว้ก่อนหน้านี้

ไอซีทีตัดสินใจจัดประชุมครั้งใหญ่ว่าด้วยเรื่องบทบาทไอซีทีในการบริหารจัดการฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เพื่อนำมาช่วยในภาวะวิกฤติต่างๆ โดยไอซีทีดึงเอาบุคคลในวงการไอทีจากทั่วโลกเข้าร่วมประชุม เช่นเดียวกันกับความหวังในการสร้างสีสันในงานด้วยการเชิญบิล เกตต์ ผู้บริหารของค่ายยักษ์ไมโครซอฟท์เข้าร่วมงานซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ณ จังหวัดภูเก็ต

ขณะที่ใครหลายคนบอกว่าความหวังของการเชิญบิล เกตต์มาร่วมงานออกจะริบหรี่ หากเชิญในนามของกระทรวงไอซีที เนื่องจากก่อนหน้านี้ไทยเคยพยายามอยู่หลายครั้งที่จะเชิญผู้บริหารคนนี้มาเข้าร่วมงานใหญ่ต่างๆ ในประเทศแต่ก็ไม่เคยสำเร็จสักครั้ง ด้วยเหตุผลที่ไทยเองมีปัญหาเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ของไมโครซอฟท์ และกลายเป็นข้อต่อรองกันมาโดยตลอด เช่นเดียวกันกับการให้เครดิตกับประเทศเพื่อนบ้าน ในการให้เป็นศูนย์กลางไอซีทีของเอเชีย ดังนั้นการเดินทางมาเยือนไทยอาจจะกระทบความสัมพันธ์และความหวังที่ว่านี้ไปด้วยในทันที

ข้อสรุปที่ได้ทั้งหมดจะเป็นเช่นไร หลายคนก็หวังว่าท้ายที่สุดแล้ว ระบบการสื่อสารที่ขาดหายไปจากช่วงภัยพิบัติในครั้งนี้ จะได้สร้างบทเรียนสำคัญในการแก้ไขให้กับหน่วยงานทุกแห่ง เพราะไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า การสื่อสารถือเป็นหัวใจสำคัญอย่างหนึ่งในการแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงไปได้ด้วยดีและรวดเร็วที่สุด

แม้คลื่นสึนามิครั้งนี้จะซัดเข้าฝั่ง ถาโถม และดึงเอาทุกสิ่งกลับลงทะเล แต่เมื่อคลื่นมือถือไม่หาย หลายคนก็หวังว่ามันจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ช่วยชีวิตคนที่เหลืออีกมากมายเอาไว้ด้วย หากเกิดสิ่งที่ไม่สามารถคาดหมายได้ขึ้นอีกในอนาคต   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us