Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กุมภาพันธ์ 2548








 
นิตยสารผู้จัดการ กุมภาพันธ์ 2548
ถึงยุครถเล็กครองเมือง             
 


   
search resources

Automotive




ถึงแม้ชาวอเมริกันจะยังคงรักรถใหญ่ แต่เมื่อราคาน้ำมันพุ่งพรวด รถใหญ่ที่กินน้ำมันก็อาจจะถูกรถเล็กที่มีรูปลักษณ์สะดุดตากว่า เบียดตกถนนได้

รถขนาดเล็กที่มีราคาถูกและประหยัดน้ำมันคงจะเป็นสิ่งสุดท้ายในโลกนี้ที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์อยากจะขาย เนื่องจากรถที่จะได้กำไรดีคือรถสปอร์ตอเนกประสงค์ (SUV) และ sedan ที่กินน้ำมันและใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่

ความจริงรถยนต์ขนาดเล็กก็กำลังจะถูกเบียดตกถนนไปแล้ว หลังจากยอดขาย ตกลงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากนักขับ นิยมรถ SUV และ sedan และ minivan ที่กว้างขวางและมีสมรรถนะดีกว่า

แต่เมื่อราคาน้ำมันพุ่งพรวดๆ เกือบ 70% แล้ว นับตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นมา รวมทั้งมาตรการควบคุมการปล่อยไอเสียของรถยนต์ ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ต้องหันกลับ มาเตรียมออกรถรุ่นย่อขนาดของรถประเภทต่างๆ ตั้งแต่รถ 5 ประตูหรือ hatchback, wagon จนถึง minivan แม้กระทั่งรถจี๊ปรุ่นย่อส่วน ก็อยู่ในแผนที่จะผลิตออกมา

นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมรถยนต์ของ J.D. Power & Associates ทำนายว่า ยอดขายรถยนต์ขนาดเล็กจะเพิ่มขึ้นจากระดับ 13.7% ในปัจจุบันเป็น 15% ภายในปี 2008

เห็นได้จากในงานแสดงรถยนต์ที่ Detroit เมื่อเดือนที่แล้ว (ม.ค.) บริษัทรถยนต์ ต่างนำรถรุ่นเล็กของตนมาอวดโฉมประชันกัน เริ่มจาก Audi โชว์รถรุ่น A3 ซึ่งเป็นรถ hatchback ขนาด 200 แรงม้า ที่ขายดีในยุโรป และกำลังจะเข้ามาในสหรัฐฯ ในเดือน พฤษภาคมนี้ ส่วนค่าย Mercedes เปิดตัวรถนำเข้าขนาดเล็กที่สุดคือ รถ wagon sports tourer ซึ่งได้รับฉายาว่า "Baby Benz" ซึ่งคาดว่าจะมีราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 25,000 ดอลลาร์

ด้าน DaimlerChrysler ก็ไม่น้อยหน้า เปิดตัวรถแบรนด์ Smart ในสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในงานนี้ ซึ่งเป็นรถแบรนด์ยอดฮิตในยุโรปมาแล้ว โดยเปิดตัวพร้อมกันหลายรุ่น เช่น รุ่น Fortwo ซึ่งรถเล็ก 2 ที่นั่ง ด้าน Mercedes-Benz ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่าย Smart ให้แก่ DaimlerChrysler ในแคนาดา ยังตั้งเป้าจะเปิดตัวรถ Smart รุ่นใหม่ในสหรัฐฯภายในปี 2006 โดยจับกลุ่มนักขับในเมืองโดยเฉพาะ

ทั้งหมดนี้คือสัญญาณแสดงการเลี้ยวกลับของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ทั้งหลาย ไปสู่ส่วนที่หินที่สุดของธุรกิจรถยนต์ นั่นคือการขายรถยนต์ขนาดเล็ก

นานมาแล้วที่ Detroit มองว่า รถเล็กคือตัวที่ไม่ได้กำไร และเป็นตลาดของแบรนด์รถราคาต่ำจากญี่ปุ่นและเกาหลี ซึ่งมีลูกค้าหลักคือผู้ที่เกษียณแล้วและนักช็อปรถราคาถูก ซึ่งไม่ได้เป็นกลุ่มลูกค้าที่น่าพิสมัยนักสำหรับบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ นอกจากนี้นักขับอเมริกันมักจะชอบรถที่มีที่ว่างสำหรับใส่สัมภาระที่วางขากว้าง แรงม้า สูง และมักจะคิดว่ารถขนาดใหญ่มีความปลอดภัยมากกว่า ซึ่งยิ่งทำให้การขายรถขนาดเล็กยิ่งยากขึ้นไปอีก นักวิเคราะห์บางคนถึงกับชี้ว่า ลึกลงไปในจิตใจของชาวอเมริกันทุกคนต้องการขับรถขนาดใหญ่อย่าง แบรนด์ Hummer กันทั้งนั้น (ซึ่งก็ถูกย่อขนาดลงในรุ่นใหม่ที่ออกมาเช่นกัน คือรุ่น H3)

แต่ขณะนี้ความคิดเกี่ยวกับรถเล็กดังกล่าวกำลังจะล้าสมัยเสียแล้ว นักขับรุ่นใหม่นิยมตามแฟชั่นและหากผู้ผลิตรถยนต์ไม่หันมาผลิตรถเฉี่ยวๆ ที่มีราคาไม่แพงมาเอาใจพวกเขา ก็เสี่ยงที่จะสูญเสียความภักดีในแบรนด์ รวมไปถึงโอกาสที่จะขายรถที่มีราคาสูงกว่าให้แก่พวกเขาในอนาคต

ความคิดดูถูกรถเล็กยังเปลี่ยนไป เนื่องจากขณะนี้บริษัทรถสามารถผลิตรถรุ่นเล็กด้วยค่าใช้จ่ายที่ถูกลง ซึ่งทำให้ราคารถยิ่งถูกลงไปอีก ด้วยการดัดแปลงรถที่ขายในยุโรปและเอเชีย ให้เข้ากับรสนิยมคนอเมริกัน กล่าวคือใช้สถาปัตยกรรมเดิม แต่เปลี่ยนรูปลักษณ์ได้หลายอย่าง และตกแต่งภายในห้องโดยสารใหม่ รวมทั้งจับตลาดกลุ่มเฉพาะ เช่นคนโสดที่อาศัยอยู่ในเมือง และผู้เกษียณอายุที่มีรายได้สูง โดย หวังจะทำกำไรจากยอดขายเพียง 30,000 คันต่อปี

เห็นได้จากในงานแสดงรถยนต์ Detroit เมื่อเดือนก่อน Mazda ได้เปิดตัวรถ compact minivan ที่ดัดแปลงมาจาก platform ของ Mazda3 ซึ่งก็เป็น platform ให้แก่ Volvo S40 และ Ford Focus ด้วยเช่นกัน (เนื่องจาก Ford เป็นเจ้าของ Volvo และมีหุ้นใหญ่อยู่ใน Mazda)

ความสำเร็จของรถรุ่น Scion ของ Toyota ซึ่งช่วยดันให้ ยอดขายของ Toyota Motor Sales ทะลุ 2 ล้านคันเป็นครั้งแรก เมื่อปีที่แล้ว (2004) ทำให้ทุกคนต้องหันมาจับตามอง Scion ซึ่งมีรูปลักษณ์ที่เตะตา (โดยออกแบบมาเพื่อเอาใจวัยรุ่น MTV โดยเฉพาะ) และขายในราคาต่ำกว่า 15,000 ดอลลาร์ แต่มีรายการอุปกรณ์เสริมให้เลือกมากมายตามแต่ใจของผู้ซื้อ (ซึ่งสามารถเพิ่มส่วนต่างกำไรให้แก่บริษัทรถยนต์ได้ หาก พวกเขาเลือก option อย่างเช่น turbo-charger)

หลายค่ายคิดจะเดินตามรอย Toyota แล้ว ทั้ง Ford, Honda และ Nissan ซึ่งกำลังพัฒนารถขนาดจิ๋ว (subcompact) ที่มีห้องโดยสารกว้าง และรูปลักษณ์ภายนอกที่โฉบเฉี่ยว รวมถึงค่ายรถที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง GM

เดิมที Chevy ของ GM ได้ทอดทิ้งรถรุ่นเล็ก Cavalier มานานถึง 15 ปี ส่วนรถ Saturn ของ GM ก็ผลิตเพียงรุ่น Ion ซึ่งไม่มีอะไรสะดุดตาออกมา และยอดขายร่อแร่นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2002 แต่ขณะนี้ผู้บริหาร GM เริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อรถเล็กแล้ว และประกาศจะแย่งส่วนแบ่งตลาดรถเล็กคืน ด้วยรุ่น Cobalt ซึ่งเป็นรถ Chevy รุ่นยกเครื่องใหม่หมดที่จะมาแทนที่ Cavalier

นักวิเคราะห์ให้คะแนน Cobalt ด้านคุณภาพการผลิตและ การออกแบบห้องโดยสาร และ GM ตั้งเป้าจะวางตลาดรถเล็กรุ่นใหม่อีก 4 รุ่น โดยใช้ platform เดียวกัน เริ่มด้วย small wagon รุ่นย้อนยุคที่เรียกว่า HHR ในปีนี้ ตามด้วยการอัดฉีดเงิน 3 พันล้านในการยกเครื่อง Saturn และออกแบบภายในของ Ion ใหม่หมด

ด้านค่าย Chrysler Group จะเปิดตัวรถเล็กรุ่นใหม่ของ Dodge ในปีหน้า นอกจากนี้ DaimlerChrysler ยังจับมือกับ Mitsubishi และ Hyundai ร่วมกันพัฒนาเครื่องยนต์ขนาดเล็กไฮเทคที่ไม่กินน้ำมัน ซึ่งทำให้ Chrysler ประหยัดเงินในการพัฒนา รถรุ่นใหม่ไปได้ถึง 100 ล้านดอลลาร์ต่อปี

ขณะเดียวกัน รถเล็กยังทำให้ผู้ผลิตรถมองเห็นโอกาสใหม่ ที่จะขายรถเล็กระดับหรู ซึ่งจะสามารถขายได้ในราคาสูงกว่า อย่าง เช่น Mini ของ BMW ซึ่งสามารถเอาชนะใจนักขับรถใหญ่หรูอย่าง Porsche และ Hummer ได้ด้วยรูปลักษณ์ที่กินขาด Mini รุ่นเปิดประทุนขายดีมากทั้งๆ ที่ราคาสูงเกือบ 30,000 ดอลลาร์

ส่วน Pontiac และ Saturn ก็กำลังเล็งตลาดรถเล็กระดับหรูและหวังจะดึงดูดใจ นักขับด้วยระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ด้าน Audi และ Mercedes-Benz มีแผนจะนำเข้ารถเล็ก ระดับหรูในปีนี้ ส่วน BMW เจ้าของ Mini ก็ยังไม่พอใจกับความสำเร็จเพียงแค่นี้ และได้เปิดตัวรถเล็ก 1-Series ที่ยุโรปไปเมื่อปีที่แล้ว นอกจากนี้ยังมีแผนจะเปิดตัว Beemer รถเล็กรุ่นประหยัดในสหรัฐฯ ในปี 2006 ด้วย

อย่างไรก็ตาม การผลิตรถเล็กจะทำกำไรให้บริษัทรถยนต์ได้จริงหรือไม่ ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ สิ่งที่บริษัทรถยนต์ Detroit กลัวที่สุดคือ ผู้ซื้อ จะเลิกซื้อ SUV ดังนั้น หลังจากยอดขายรถ SUV ตกลงเมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น Ford ถึงกับหยุดผลิต Excursion ซึ่งเป็นรถ SUV ที่ใหญ่ที่สุด กินน้ำมันมากที่สุด และแพงที่สุดของ ตน และผู้ผลิตรถยักษ์ใหญ่จึงจำใจต้องหันกลับมาขายรถเล็กซึ่งครั้งหนึ่งพวกเขาเคยดูถูก

แต่นี่อาจเป็นสวรรค์ของผู้นิยมรถยนต์ราคาย่อมเยา เพราะ นอกจากจะมีรถเล็กประมาณ 300 ชื่อมาให้เลือกกันอย่างจุใจแล้ว คุณภาพของรถยังดีขึ้นอย่างมาก โดยที่คุณสมบัติอย่าง power window และ antilock brake กำลังจะกลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของรถเล็กราคาถูกเหล่านี้ นอกจากนี้รถรุ่นใหม่ทุกรุ่นยังถูกพัฒนาให้มีห้องโดยสารที่กว้างขวางขึ้น และมีความเร็วที่มากขึ้นอีกด้วย

แปลและเรียบเรียงจาก Time, January 17, 2005
โดย เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us