Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กรกฎาคม 2530








 
นิตยสารผู้จัดการ กรกฎาคม 2530
“ศุภชัย อัมพุช จากเด็กนับขวดเหล้ามาเป็นเจ้าของอาณาจักรพันล้านเดอะมอลล์”             
 

   
related stories

“อัมพุช + ภัทรประสิทธิ์ แบบอย่างของความแน่นแฟ้น”
สองทศวรรษเดอะมอลล์กรุ๊ป

   
www resources

โฮมเพจ The Mall Group (เดอะมอลล์กรุ๊ป)

   
search resources

เดอะมอลล์กรุ๊ป
ศุภชัย อัมพุช
Shopping Centers and Department store




"คงไม่ค่อยมีใครนึกถึงว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของห้างสรรพสินค้าที่เติบโตเร็วที่สุดในยุคนี้ จะเคยเป็นคนที่เรียนจบแค่ ม.6

เริ่มงานครั้งแรกด้วยการเช็คขวดเหล้าและเริ่มตั้งอาณาจักรของตัวเองด้วยเงินเพียง 4 แสนบาท การตัดสินใจแต่ละครั้งของเขา แทบไม่มีใครเห็นด้วย แต่แล้วทุกคนก็ต้องยอมรับว่า เขาตัดสินใจถูก

และที่น่าแปลกใจมาก ๆ ก็คือ ทุกวันนี้เขายังใช้ชีวิตที่สมถะเรียบง่าย แต่งตัวปอน ๆ คุมงานขยายอาณาจักรด้วยตัวเองและนั่งกินข้าวเหนียวไก่ย่างริมถนนเช่นเดียวกับคนงานนับร้อยของเขา….!!!!!"

ปีนี้ "เสี่ยศุภชัย" หรือ ศุภชัย อัมพุช อายุ 60 ปีแล้ว

นามสกุล "อัมพุช" นั้นดูเผิน ๆ ก็น่าคิดว่ามีเชื้อสายคนไทยเต็มตัว

แต่ความจริงแล้ว พ่อของเสี่ยศุภชัยนั้นเป็นคนจีนที่อพยพมาจากเมืองจีนแท้ ๆ เป็นจีนแต้จิ๋วที่ใช้แซ่อื้อ เช่นเดียวกับตระกูลอื้อจือเหลียงในเมืองไทยนั่นเอง

เขาเกิดที่นครสวรรค์ อำเภอพยุหะคีรี โตและเรียนหนังสืออยู่ที่นั่นจนจบชั้น ม. 6

"เขาคงได้เรียนสูงกว่านั้นแน่ ถ้าหากไม่เกเร ไม่งั้นคงได้เรียนถึงมหาวิทยาลัยแล้วละ ตอนนั้นน่ะไม่เบาเลยละ ร้ายที่สุด" ประไพ แย้มสะอาด พี่สาวร่วมท้องเดียวกันกับเขาเล่าชีวิตวัยเด็กของเสี่ยศุภชัยให้ฟัง

สมัยนั้นต้องถือว่าครอบครัวอัมพุชนั้นมีฐานะดีครอบครัวหนึ่ง เพราะพ่อแม่ของเสี่ยศุภชัยทำมาหากินด้วยการเป็น "ยี่กงสี" เหล้าหรือยี่ปั๊วประมูลขายเหล้าในเขตจังหวัดนครสวรรค์ทั้งหมด รวมทั้งเปิดโรงยาฝิ่น

ซึ่งในสมัยนั้นฝิ่นยังไม่เป็นสินค้าต้องห้าม

แต่ชีวิตของศุภชัยก็ต้องหักเหเป็นครั้งแรก เมื่อพ่อแม่ต้องมาเสียชีวิตลงในขณะที่เขายังเด็ก ประกอบกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ระเบิดขึ้นและลุกลามมาถึงประเทศไทย

ช่วงนั้นรัฐบาลมีนโยบายจัดตั้งสหกรณ์กันขนานใหญ่ สิทธิ์ในการขายเหล้าและฝิ่นของเขาก็ถูกผนวกเข้าไปอยู่ในสหกรณ์ด้วย ซึ่งเท่ากับทำให้ครอบครัวอัมพุชต้องถอนตัวจากธุรกิจเหล้าและยาฝิ่นไปโดยปริยาย

ช่วงปี 2487 นั้นศุภชัยยังเป็นหนุ่มเพิ่งแตกพาน ก็เลยต้องระเห็จมาอยู่กับพี่สาวในกรุงเทพฯ อาศัยเรือนไม้เก่า ๆ 2 ชั้นในซอยประสานมิตร ยมราช เป็นที่ซุกหัวนอน

เมื่อไม่คิดเรียนต่อ ด้วยความเป็นคนว่องไว ไม่อยู่เฉย เขาก็เริ่มบทแรกของการทำมาหากิน ด้วยการออกรับจ้างทำงานทั่วไปเท่าที่จะมีคนจ้าง จนไปปักหลักเป็นเด็กเช็คขวดเหล้าอยู่ร้านน่ำอา ย่านหัวลำโพง

ซึ่งเป็นโรงเหล้าที่ผสมเหล้าขายและเป็นยี่ปั๊วขายเหล้าด้วย (ตอนนี้เลิกกิจการไปแล้ว)

ความที่วงจรชีวิตไม่ห่างจากกลิ่นเหล้า หนุ่มศุภชัยเช็คขวดเหล้าอยู่ไม่นานก็ไปได้งานเสมียนที่ร้านประไพสวัสดิ์ย่านพระโขนง ซึ่งเป็นยี่ปั๊วขายเหล้ารายใหญ่รายหนึ่งในแถบนั้น

"ดิฉันไม่ได้รู้จักเขามาก่อนเลย แกมาเดินเที่ยวแถบนี้ อยู่ ๆ ก็เดินเข้ามาสมัครงานเห็นหน่วยก้านเขาดีก็เลยรับไว้ทำงานด้วย ดิฉันไว้ใจเขาเพราะเห็นเขาเป็นคนดี งานการก็คล่องแคล่ว นิสัยก็ดี ไม่เกะกะเกเร

แล้วแกก็เก่งเรื่องเหล้ามาก" ประไพ กันเขตต์ วัย 70 กว่าในวันนี้ เจ้าของร้านเหล้าประไพสวัสดิ์ในยุคนั้นเล่า

นั่นเป็นจุดหักเหอีกครั้งหนึ่งของหนุ่มศุภชัย อาจจะเป็นเพราะด้วยเขาคลุกคลีอยู่กับเหล้าตั้งแต่เด็ก ๆ ทำให้เขามีหัวทางด้านนี้ ชั่วเวลาเพียงไม่ถึง 3

ปีที่อยู่กับร้านประไพสวัสดิ์เขาก็เลื่อนตำแหน่งจากเสมียนมาเป็นผู้จัดการร้านกินเงินเดือนพันกว่าบาท ซึ่งในสมัย 30 ปีก่อนนั้นเงินเดือนเป็นหมื่นเดี๋ยวนี้ก็ยังสู้ไม่ได้

ความเก่งกาจในเรื่องธุรกิจเหล้านั้นอาจพิสูจน์ได้จาการที่ ประไพ กันเขตต์ ผู้เป็นเจ้าของร้านตบรางวัลเขาด้วยการแบ่งหุ้นลมให้เขา เพื่อที่เขาจะได้มีกำไรเป็นกอบเป็นกำเป็นทุนรอนของเขาเองได้

เพราะการค้าเหล้าสมัยนั้นมันกำไรดีจะตาย

ก็ดีขนาดที่ตอนที่เขาเดินออกจากร้านประไพสวัสดิ์เมื่อปี 2502 นั้นเขามีเงินเก็บอยู่ 4-5 แสนบาททีเดียว

วันที่เขาเดินออกจากร้านนั้น ศุภชัยให้เหตุผลกับประไพว่า "กิจการที่นี่มันเล็กไปแล้วหละ ทำแล้วไม่พอทำ อยากจะทำงานใหญ่ ๆ กว่านี้" ซึ่งประไพก็บอกว่า "เราก็ตามใจเขา

แต่ก็บอกเขาไปว่าถ้าไม่ดียังไงก็กลับมาทำใหม่ได้ แต่ถ้าเผื่อไปดีก็ทำไป"

ตอนที่เขามาทำงานที่นี่เขามาตัวคนเดียว แต่ตอนที่เขาจากร้านประไพสวัสดิ์นั้นเขาพาสมาชิกในครอบครัวไปด้วยอีก 5 คน

ใช่แล้ว เขาพบรักกับสาวบุญเลี้ยงซึ่งเป็นน้องบุญธรรมของประไพ อายุรุ่นราวคราวเดียวกับศุภชัยนั่นเอง

วันที่เขาแต่งงานนั้น เขาอายุ 25 เขาออกจากร้านนั้นอายุก็กว่า 31 แล้ว ช่วงเวลานี้เขาผลิตสมาชิกที่เกิดกับบุญเลี้ยงได้ถึง 4 คน โดยอาศัยชั้น 2 ของร้านประไพสวัสดิ์นั่นเองเป็นเรือนหอ

ก้าวแรกในการทำธุรกิจของเขานั้น เขามุ่งเข็มไปทำโรงเหล้ากับลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งที่พิจิตร โดยการลงทุนกันคนละครึ่ง แต่ทำได้เพียงไม่กี่ปีก็ต้องย้ายกลับมากรุงเทพฯ

ด้วยเหตุผลที่ภรรยาของเขาป่วยหนักด้วยโรคมะเร็ง

ลูกพี่ลูกน้องที่ทำเหล้ากับเขาคนนั้นก็คือ นงลักษณ์ ภัทรประสิทธิ์

นงลักษณ์ เดิมนามสกุล อัมพุช พ่อของนงลักษณ์นั้นเป็นพี่ชายของพ่อของศุภชัย แล้วทั้งศุภชัยกับนงลักษณ์ก็เกิดปีเดียวกัน เพียงแต่นงลักษณ์อ่อนเดือนกว่าศุภชัยไม่กี่เดือน แต่ลูก ๆ

ของศุภชัยก็ยังเรียกนงลักษณ์ว่า "ป้า" ทุกคนอันเป็นการเรียกตามศักดิ์

นงลักษณ์เองก็ได้เชื้อนักธุรกิจมาเต็มตัว และยิ่งมาแต่งงานกับวิศาล ภัทรประสิทธิ์ด้วยแล้ว ก็ทำมาค้าขึ้นกันทั้งคู่

"ทั้งคู่นี่เขาเป็นนักธุรกิจ ต่างคนต่างทำธุรกิจไม่เกี่ยวกัน เดิมพื้นเพของวิศาลก็เป็นคนทำมาหากินนี่แหละไม่ได้ร่ำรวยอะไรเท่าไร แต่จังหวะเขาดี ตอนแรกก็ทำโรงยาฝิ่น

แล้วมาประมูลทำโรงต้มกลั่นได้ที่พิจิตรกับพิษณุโลก พอหมดสัมปทานเขาก็ประมูลใหม่ทีนี้กวาดสัมปทานแถบภาคเหนือมาได้เกือบหมด ก็เรียกว่ารวยมาจากเรื่องเหล้านี่แหละ"

ผู้ที่ใกล้ชิดวงการเหล้าพูดถึงความเป็นมาของตระกูลภัทรประสิทธิ์

ปัจจุบัน ฐานธุรกิจของภัทรประสิทธิ์คือบริษัทภัทรธุรกิจ ซื้อถือหุ้นใหญ่ในแบงก์เอเชีย และยังมีหุ้นอยู่ในแม่โขงและธุรกิจอื่น ๆ อีกหลายแห่ง เช่นโรงสี, เซรามิค, ทรัสต์, ไฟแนนซ์, อาบอบนวด และศูนย์การค้า

ฯลฯ

หนึ่งในหลาย ๆ แห่งนั้นก็คือธุรกิจที่ทำร่วมกับตระกูลอัมพุชนั่นเอง

ช่วงที่เขาย้ายเข้ากรุงเทพอีกครั้งหนึ่งนั้น ศุภชัยมีลูกคนที่ 5 กับบุญเลี้ยงแล้วและเป็นคนสุดท้ายด้วย

บุญเลี้ยงป่วยหนักอยู่ที่ศิริราชถึง 5-6 เดือน ช่วงนั้นศุภชัยเฝ้าไข้ทุกวัน โดยได้รับความเอาใจใส่ด้วยดีจากหัวหน้าพยาบาลประจำตึกไข้ตึกนั้น ที่มีชื่อว่า อำนวย

"ตอนนั้นทั้งคุณศุภชัยและคุณอำนวยสนิทกันมาก เพราะคุณศุภชัยไปเฝ้าไข้เขาก็ดูแลให้อย่างดี พอคุณบุญเลี้ยงเสียชีวิตลงหลังจากป่วยมานาน ทั้ง 2 คนก็คงเห็นใจและเข้าใจกันเขาก็เลยแต่งงานกัน

และอยู่กันมาจนทุกวันนี้โดนที่คุณอำนวยก็มีลูกกับคุณศุภชัย 2 คน เป็นผู้หญิงทั้งคู่" ป้าประไพ แย้มสะอาดเล่าเหตุการณ์ช่วงนั้น

"แต่ฉันว่าถ้าแม่บุญเลี้ยงยังอยู่มาถึงวันนี้ คุณศุภชัยจะต้องรวยกว่านี้อีก เพราะแม่บุญเลี้ยงนั้นเป็นคนละเอียดลออรอบคอบมาก" ป้าประไพ กันเขตต์ พูดถึงน้องบุญธรรมที่จากไปกว่า 20 ปีแล้ว

พอเสียบุญเลี้ยงไปแล้ว ศุภชัยก็เริ่มเบนเข็มธุรกิจของตัวเองทันที คราวนี้มาจับมือกับพี่สาวคนโตที่ชื่อประไพ แย้มสะอาด ลงทุนทำโรงหนังชั้นสองเป็นโรงแรกในปี 2507 ให้ชื่อว่า "เฉลิมรัตน์"

อยู่แถวเชิงสะพานพระโขนงฝั่งตรงข้ามตลาดพระโขนงในขณะนี้ แต่เดี๋ยวนี้เฉลิมรัตน์ก็กลายเป็นโรงน้ำชาและเปลี่ยนเจ้าของไปนานแล้ว

"ตอนนั้นเขาก็หมุนเงินกันเต็มที่เหมือนกัน ทำกับพี่สาว 2 คน ก็ลงทุนกันประมาณ 4-5 ล้านเห็นจะได้ พอทำไปได้โรงหนึ่งทีนี้เขาก็ตะลุยสร้างใหญ่เลย ในช่วง 6-7 ปีนี่เขาสร้างโรงหนังได้ถึง 7 โรง

เพราะเขาบอกว่าถ้าทำแล้วก็ต้องทำให้เต็มที่ แล้วโรงหนังสมัยนั้นมันยังต้องอาศัยบารมีในการมีโรงในเครือข่ายมาก ๆ ถึงจะได้หนังดี ๆ เข้ามาฉายเพราะที่เขาทำนี่เป็นโรงหนังชั้น 2

ทั้งนั้นยกเว้นโรงหนังบางกอกที่ครั้งแรกทำเป็นชั้นหนึ่ง" คนที่อยู่ในวงการโรงหนังชั้น 2 พูดถึงพี่น้องตระกูลอัมพุชคู่นี้ให้ฟัง

โรงหนังทั้ง 7 นั้นก็มีเฉลิมรัตน์ที่พระโขนง แล้วก็ที่บางนา สำโรง ตรอกจันทน์ ศรีย่าน เจ้าพระยา (พระโขนง) และบางกอก เรียกว่าเป็นเจ้าพ่อของโรงหนังชั้นสองคนหนึ่งในยุคนั้นทีเดียว

ทำโรงหนังอยู่ 7 ปีก็เริ่มเบื่อและเริ่มเห็นทางตัน เพราะใคร ๆ ก็แห่กันมาทำโรงหนังชั้น 2 กันเต็มไปหมด ศุภชัยก็ประกาศขายโรงหนังไปทีละโรง จนหมด

ช่วงปี 2513-14 นั้น ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ยังเป็นแถบชานเมือง แต่ก็เริ่มมีร้านอาหารและอาบอบนวดเล็ก ๆ และสถานบันเทิงอยู่บ้างแล้ว ศุภชัยก็เลยหันมาบุกเบิกทำไนท์คลับและห้องอาหารขึ้นมา 2

แห่งในแถบนั้น คือดาราไนท์คลับ กับโซซีห้องอาหารและไนท์คลับ โดยหุ้นกับพี่สาวลูกพี่ลูกน้องคนที่ชื่อ นงลักษณ์ ภัทรประสิทธิ์

ทำไนท์คลับอยู่ 2 ปี จนเขาสนิทสนมเป็นอันดีกับเสี่ยเม้ง เจ้าพ่ออาบอบนวดย่านเพชรบุรีตัดใหม่ในปัจจุบันคนนั้น จนกระทั่งเสี่ยเม้งได้เป็นหุ้นส่วนกับเขาในดาราและไซซี

ถึงจุดนี้ความคิดในการทำธุรกิจของเขาก็หยุดไม่อยู่เสียแล้ว เมื่อเขามองเห็นว่าทำเลย่านนี้เหมาะจะทำเป็นสถานบันเทิงให้สมบูรณ์แบบไปเลย เขาก็ตัดสินใจทำสิ่งที่นักธุรกิจอีกมากไม่กล้าทำ

นั่นคือการตะลุยสร้างอาบอบนวดขนาดใหญ่เป็นรายแรกซึ่งมีห้องเป็นร้อย ๆ ห้องขึ้นไป พร้อมไนท์คลับและห้องอาหารโดยใช้ชื่อว่าแนนซี่อาบอบนวดและไนท์คลับ

ต่อจากนั้นก็ไปทำที่เมรีอาบอบนวดและไนท์คลับ, แฟลตฉิมพลีซึ่งเป็นโรงแรมม่านรูดชื่อดังย่านพัฒนาการ, ห้องอาหารซีซ่าพาเลซ, มิวสิค วิลล่า, โมแกมโบ (ที่นี่เริ่มด้วยการเช่าแล้วก็ซื้อซึ่งเป็นการหุ้นกับสุนีย์รัตน์

เตลานด้วย) ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ไดอิจิและวาเลนติโนในปัจจุบัน ต่อมาก็ฮูหยินและบีวา เป็นที่สุดท้าย

สำหรับผู้ชายนักเที่ยวด้วยกันแล้ว เมื่อเอ่ยถึงชื่อเหล่านี้ก็ไม่ต้องอธิบายกันมาก เพราะทั้งหมดนี้อยู่แถบถนนเพชรบุรีตัดใหม่ จากแยกเอกมัยถึงแยกคลองตันทั้งหมด (ยกเว้นแฟลตฉิมพลีแต่ก็ไม่ห่างไปมากนัก)

ในรัศมีที่ไม่เกิน 1 กม. ก็สามารถเดินเข้าทุกที่ได้หมด

ต้องเรียกว่า ยุคนั้นเขาก็คือเจ้าพ่ออาบอบนวด นั่นเอง เพราะคงไม่มีใครอีกแล้วที่บ้าระห่ำในการลงทุนได้ขนาดนี้

"ที่เลือกทำเลติดกันอย่างนี้ เป็นความคิดของพ่อคนเดียว พ่อมองว่าคงมีลูกค้าเพียงพอที่จะมาซื้อบริการ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีแบบนี้มาก่อน ก็คงต้องเรียกว่าเป็นยุคใหม่ของอาบอบนวดในเมืองไทย

ตอนนี้บางแห่งก็เป็นของคุณพ่อคนเดียว บางแห่งก็หุ้นกับป้านงลักษณ์ อย่างแนนซี่ก็หุ้นกับป้า" สุรัตน์ อัมพุล ลูกชายคนหัวปีของศุภชัยพูดถึงพ่อของตัวเอง

แต่เดี๋ยวนี้ ศุภชัยรามือจากการบริหารอาบอบนวดทั้งหมดแล้ว คงให้เสี่ยเม้งเพื่อนรักเป็นผู้บริหารแทน จึงไม่น่าแปลกที่นักเที่ยวรุ่นใหม่จะรู้กันว่าเสี่ยเม้งคุมอาบอบนวดย่านนั้นโดยหารู้ไม่ เจ้าของและผู้บุกเบิกที่แท้จริงนั้นเป็นใคร?

ศุภชัยสไตล์

ผู้รู้จักฉวยจังหวะและโอกาสในทุกสถานการณ์

เห็นจะสรุปสไตล์การบริหารและการทำงานของศุภชัย อัมพุช ได้อย่างที่จั่วหัวไว้นั่นเอง

ศุภชัยเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาก ๆ คนหนึ่งของเมืองไทยโดยที่ไม่เคยร่ำเรียนวิชาการบริหารมาจากที่ไหน ทุกครั้งที่ตัดสินใจเป็นผลมาจากการสั่งสมประสบการณ์ในการทำงานมาโดยตลอด

ที่เด่นมาก ๆ ก็คือการสร้างธุรกิจใหม่ ๆ ที่ไม่มีใครทำ ไม่ว่าจะเป็นโรงหนังเฉลิมรัตน์ ที่สร้างเป็นแห่งแรกในย่านพระโขนง จนเวลานี้มีโรงหนังย่านนั้นร่วม 10 โรงเข้าไปแล้ว

ทำดาราไนท์คลับก็เป็นไนท์คลับแห่งแรกที่อยู่เพชรบุรีตัดใหม่ ทำแนนซี่ก็เป็นอาบอบนวดแห่งแรกที่ใหญ่ที่สุด ทำเมรีก็เป็นอาบอบนวดแห่งแรกที่มีทั้งห้องอาหารและไนท์คลับอยู่ด้วยกัน

ทำเดอะมอลล์ราชดำริก็เป็นแห่งแรกที่มีศูนย์การค้าอยู่ด้วย ทำเดอะมอลล์ 2 ที่รามคำแหงก็เป็นรายแรกที่ทำใหญ่โตขนาดนี้ในย่านนั้น

ที่น่าสังเกตก็คือเมื่อเริ่มรู้สึกว่าธุรกิจที่ทำมีคนทำตามจนเริ่มเฟ้อจะขายทิ้งอย่างไม่ใยดีทันที ไม่ว่าจะเป็นโรงหนัง อาบอบนวด แล้วไปเริ่มทำอย่างอื่นในที่ใหม่ที่ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ในเรื่องนั้น ๆ

มาก่อนเลย

"ตัวเสี่ยนี่แกเป็นคนที่ชอบเป็นหัวหน้าครอบครัวแล้วให้ผู้บริหารเป็นผู้ตาม อันนี้เป็นสไตล์ของแก แกชอบเป็นคนให้กำเนิด แล้วต้องมีคนมาเลี้ยงให้โต แต่ถ้าจะให้แกเลี้ยงเองนี่แกไม่ถนัด

เรื่องการบริหารก็ไม่ถนัด แล้วแกก็ไม่ค่อยอยากยุ่งกับคนมาก ๆ เวลาประชุมฝ่ายบริหารนี่แกไม่เคยเข้าร่วมเลย" ผู้บริหารคนหนึ่งที่เคยร่วมกับเดอะมอลล์พูดถึงศุภชัย

"ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าของโครงการ แต่ก็จะใช้วิธีจ้างคนเข้ามาบริหาร ซึ่งจะต้องทำงานร่วมกับลูก ๆ ของเขาได้ด้วย แต่เมื่อไม่ได้ทำงานร่วมกันโดยตรง

โอกาสที่จะมีข้อขัดแย้งกันระหว่างฝ่ายบริหารที่จ้างมากับเจ้าของโครงการก็เกิดขึ้นได้ นี่เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้กลุ่มนี้ได้ชื่อว่าเปลี่ยนผู้บริหารบ่อยพอสมควร

ผู้บริหารจากที่นี่โยกย้ายไปทำงานอยู่ตามห้างสรรพสินค้าอีกหลายแห่ง เช่นพันธุ์ทิพย์ เมอรี่คิงส์ และนิวเวิลด์ เป็นต้น" ผู้ที่เคยทำงานร่วมกับกลุ่มนี้อีกคนหนึ่งคอมเมนต์

แต่เรื่องความสมถะนั้นเห็นจะเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเสี่ยศุภชัยเลยทีเดียว เรื่องการแต่งตัวปอน ๆ สวมรองเท้าแตะเดินคุมงานนั้นเป็นเรื่องปกติที่พนักงานส่วนใหญ่รู้กันดีอยู่แล้ว

แต่บางครั้งก็สร้างความประหลาดใจให้กับผู้พบเห็นไม่น้อยทีเดียว

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พนักงานขายวัสดุก่อสร้างรายหนึ่งไปขอพบกฤษณา อัมพุชซึ่งเป็นลูกสาวของศุภชัย ซึ่งคุมงานด้านการจัดซื้ออุปกรณ์ก่อสร้างอยู่ ปรากฏว่าไม่พบกฤษณาเพราะไปรับประทานข้าวกลางวัน

แต่เจอแป๊ะแก่ ๆ คนหนึ่งนั่งอยู่หน้าห้อง สวมเสื้อยืดคอกลม ที่หน้าอกโฆษณาสียี่ห้อหนึ่ง กางเกงขาสั้น สวมรองเท้าแตะ

พนักงานขายรายนี้โชคดีมากที่มีสัมมาคารวะอยู่แล้ว จึงเข้าไปถามแป๊ะแก่คนนั้นอย่างสุภาพถึงกฤษณา พอรู้ความว่าทำอะไร เขาก็พูดว่า "พูดกับผมก็ได้ ผมศุภชัย อัมพุช พ่อของกฤษณาเขา"

และบางวันหน้าเดอะมอลล์ 3 ที่กำลังก่อสร้างอยู่เวลานี้ ศุภชัย อัมพุชก็จะนั่งกินข้าวเหนียว ไก่ย่างที่แม่ค้าหาบเร่หาบมาขายอย่างหน้าตาเฉย

พูดถึงการคุมงานก่อสร้างแล้ว ก็มีเรื่องน่าทึ่งเหมือนกัน เมื่อ "ผู้จัดการ" รู้มาว่าศุภชัยเป็นผู้คุมงานก่อสร้างเองทุกขั้นตอน ตั้งแต่สร้างโรงหนังแห่งแรกมาแล้ว ทั้งที่ไม่มีความรู้ด้านช่างเลย

แต่ก็อาศัยประสบการณ์มาตลอด เดอะมอลล์ทุกแห่งที่สร้างนั้นใช้วิธีจ้างคนงานและหัวหน้าช่างมาเท่านั้น ไม่มีการประมูลให้ผู้รับเหมารายไหนได้ไป และผู้ที่คุมงานอย่างใกล้ชิดก็คือ ศุภชัย อัมพุชนี่เอง

"เขาชอบคุมก่อสร้างเองทุกขั้นตอน ยังพูดกันเลยว่าแม้แต่สถาปนิกยังอาย เขาไม่พอใจแบบตรงไหน ก็แก้มันตรงนั้นเลย โดนกรมโยธาบ้าง เทศบาลบ้างปรับไปแล้วไม่รู้เท่าไรเพราะแก้แบบโดยไม่ได้ขออนุญาต"

ผู้ที่ใกล้ชิดศุภชัยคนหนึ่งบอก

ปกติแล้วถึงแม้เขาจะเคยทำด้านธุรกิจบันเทิงเป็นส่วนใหญ่ แต่เขาก็ไม่กินเหล้า บุหรี่สูบบ้าง และมักจะสูบมากในช่วงที่ใช้ความคิดในการบุกเบิกงานส่วนเรื่องผู้หญิงแล้วแทบไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเป็นที่ค่อนข้าง

"เรียบร้อย" คนหนึ่ง

"ก็มีบ้าง อย่างตอนที่ทำไนท์คลับก็ไปชอบนักร้องอะไรอย่างนี้ แต่ก็ชั่วครั้งชั่วคราว เพราะจริง ๆ แล้วเขาเป็นคนที่รักลูกรักเมียเอามาก ๆ ไม่เคยเห็นใครรักลูกรักเมียขนาดนี้เลย" ป้าประไพ แย้มสะอาด พี่สาวแท้ ๆ

ของศุภชัยเล่าให้ฟัง

ความรักเมียของเขานั้น พอจะเห็นได้จากการที่เขาไปสร้างหอระฆังเอาไว้ที่วัดใต้ในซอยอ่อนนุช เพื่อประโยชน์ของทางวัดและบรรจุกระดูกของเมียคนแรก "บุญเลี้ยง" ที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งไปกว่า 20 ปีมาแล้ว

หอระฆังแห่งนี้หมดเงินไป 6 แสนบาทเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ไปเอาแบบจากกรมศิลปากรมาทำกันทีเดียว โดยมีลูกสาว ศุภลักษณ์ เป็นผู้คุมการก่อสร้าง

ส่วนเรื่องความรักลูกนั้นก็คงเห็นได้จากการส่งลูก ๆ ทุกคนให้เรียนในระดับสูงสุดเท่าที่แต่ละคนจะเรียนได้ และเมื่อจบในประเทศแล้วก็ส่งต่อเมืองนอกทุกคน "เขาพูดเสมอว่าตัวเขาโง่ เพราะเรียนมาน้อย

ต้องให้ลูก ๆ ฉลาด ด้วยการส่งเรียนให้มาก ๆ" เขามักจะพูดว่าเป้าหมายการทำงานแต่ละชิ้นนั้นก็เพื่อลูก ๆ ต้องการสร้างธุรกิจที่เป็นปึกแผ่นไว้ให้ลูก ๆ นั่นเอง

"แล้วลูกแกก็แบ่งเบาได้เยอะ ก็เริ่มเป็นงานกันแล้ว และมีความสามารถกันตามอัตภาพ ข้อสำคัญคือมีความรับผิดชอบและทำงานเป็น เก่งไม่เก่งนั้นมันอีกเรื่องหนึ่ง แต่มันก็เริ่มดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากแล้ว"

คนที่เคยใกล้ชิดกับศุภชัยกล่าว

จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของศุภชัยก็คือการเริ่มทำงานมาด้วยตัวคนเดียว จึงทำให้ไม่ค่อยไว้วางใจคนภายนอกในการร่วมลงทุนอะไร มักจะทำกับพี่น้องเป็นหลัก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ทำโรงหนังเฉลิมรัตน์ ร่วมทุนกันถึง 7

คน แต่ก็ปรากฏว่าทะเลาะกันไปตามระเบียบ ตั้งแต่นั้นก็ไม่เคยร่วมทุนกับใครอีกเลยนอกจากพี่น้อง

จากการที่ทำงานคนเดียวเป็นหลัก และมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงประกอบกับไม่ชอบสังคมกับใคร ทำให้ศุภชัย อัมพุชในวันนี้มีคนรู้จักเขาน้อยเต็มที นอกจากคนในวงการที่เคยทำงานร่วมกับเขามาเท่านั้น

แม้แต่การออกไปตีกอล์ฟ ซึ่งเป็นกีฬาที่เขาเพิ่งเริ่มเล่นเอาในวัยร่วม 60 แล้วก็ยังออกไปตีกับภรรยา คนที่ชื่ออำนวยเพียง 2 คนเท่านั้น ส่วนการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์นั้นก็ปิดตายเช่นกัน

คงให้แต่ลูกสาวลูกชายออกหน้ามาตลอด

แต่ถ้าหากเป็นงานกุศลหรืองานบุญ หรืองานศพของคนเก่าแก่ที่เคยรู้จักกันมา ศุภชัยไม่เคยขัด อย่างครอบครัวของผู้การสวัสดิ์ - ประไพ

กันเขตต์เจ้าของร้านประไพสวัสดิ์ที่ศุภชัยเคยคุมขายเหล้าอยู่ในวัยหนุ่มนั้นก็ยังไปมาหาสู่กันเสมอเมื่อมีวาระสำคัญ ๆ

"ในขณะที่อีกด้านหนึ่งนั้น เท่าที่คบเขาไม่ชอบคนดังเพราะลงไป (หนังสือพิมพ์) ก็มีแต่เสียหาย อย่างภาษีนี่ถึงแม้จะเสียให้ครบ เขาก็จะเรียกเก็บอีก อย่างผมนี่เพิ่งโดนเรียกย้อนหลังมาเมื่อไม่นานนี้เอง

เขาบอกว่าคุณเปิดมา 5 ปีแล้วไม่เสียภาษี ผมบอกเพิ่งเปิดไม่นานนี้ แค่นั้นแหละเขาเอาหนังสือพิมพ์เมื่อ 5 ปีที่แล้วมาให้ดูเลย บอกแล้วทำไมหนังสือถ่ายรูปคุณเปิดร้านมาลงได้ล่ะ แค่นี้ก็เสร็จเขาแล้ว

ถ้าคุณสังเกตคุณจะเห็นว่าทุกแห่งที่เขาทำอยู่จะไม่ใช้ชื่อเขาเลย ทั้งที่เขามีการค้ามากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นหน้าเขาเลย" เจ้าพ่อสถานบันเทิงกลางคืนคนหนึ่งระบายกับ "ผู้จัดการ"

ก็เลยไม่แน่ใจเหมือนกันว่าที่ศุภชัยเก็บตัวนั้นเพราะอะไรกันแน่

เมื่อเสี่ยศุภชัยของเราเบื่อธุรกิจบันเทิงเสียแล้วนั้น ความเป็นคนไม่หยุดนิ่งทำให้เขาเริ่มสอดส่ายสายตา หาธุรกิจใหม่ ๆ ทำ ก็พอดีไปเห็นที่ดินผืนงามในย่านจตุรัสทองคำที่ราชประสงค์เข้า เป็นที่ของแนบ

พหลโยธิน ซึ่งเคยเป็นอดีตลูกหม้อแบงก์ชาติ เท่านั้นเองสมองของเสี่ยศุภชัยก็ดีดลูกคิดรางแก้วทันที มองเห็นทะลุปรุโปร่งว่าถ้าทำห้างสรรพสินค้าพร้อมส่วนของศูนย์การค้าขึ้นที่นี่แล้วก็คงมีแต่กำไรกับกำไร

เพราะไม่เคยมีใครทำมาก่อน

วันที่ 18 กันยายน 2522 ศุภชัยก็จับมือกับนงลักษณ์ ภัทรประสิทธิ์ ลงขันกันคนละครึ่งวางเงิน 5 ล้านบาทตั้งบริษัทราชประสงค์ ช้อปปิ้งมอลล์ ขึ้นมาเพื่อสร้างเป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่มีทั้งเดอะมอลล์สรรพสินค้า

และส่วนของศูนย์การค้าทันสมัย พรั่งพร้อมด้วยสินค้านานาชนิด ประจัญหน้าประกบกับห้างไดมารูเจ้าถิ่นเดิมและห้างเซ็นทรัลชิดลม ที่มายึดหัวหาดย่านนี้มาก่อนหน้านานแล้ว

2 ฝ่ายตกลงกันว่า ทางตระกูลอัมพุชจะเป็นคนบริหารงานศูนย์การค้าเอง ส่วนของนงลักษณ์นั้นจะต้องเป็นผู้จัดหาด้านไฟแนนซ์ ซึ่งก็ได้ธนาคารทหารไทยเทคแคร์เป็นอย่างดี เพราะทั้งภัทรประสิทธิ์และประยูร

จินดาประดิษฐ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ของแบงก์ทหารไทยนั้นก็สนิทสนมกันเป็นอันดีมานานแล้ว

นี่คือเหตุผลที่ทำไมกลุ่มของเดอะมอลล์ไม่ใช้บริการของแบงก์เอเชีย ซึ่งวิศาล ภัทรประสิทธิ์และนงลักษณ์เองต่างก็เป็นรองประธานกรรมการและกรรมการอยู่ในแบงก์พร้อมทั้งถือหุ้นใหญ่อันดับ 2

เบ้อเร้อเบ้อร่าทีเดียว

ความสัมพันธ์ของแบงก์ทหารไทยกับกลุ่มเดอะมอลล์นั้น คงจะดูได้จากการที่แบงก์ทหารไทย สาขาคลองจั่นต้องส่งเจ้าหน้าที่ไปช่วยนับเงินและเคลียร์เงินเข้าบัญชีในทุกเย็นที่เดอะมอลล์ รามคำแหง

และแบงก์ทหารไทยสาขาราชประสงค์ก็ปฏิบัติเช่นเดียวกันกับ เดอะมอลล์ราชดำริ ก็เงินสด ๆ ทั้งนั่นแหละ วันละกี่ล้านก็ลองคำนวณดูเอาเองก็แล้วกัน

งานนี้ แบงก์อื่นไม่มีสิทธิ์แหยมว่างั้นเถอะ

ด้วยเหตุผลที่เดอะมอลล์ราชดำริประสบความสำเร็จเกินคาดในการขาย (เซ้ง) พื้นที่ศูนย์การค้า 100 ยูนิตได้หมดภายในเวลาแค่ 3 วัน หลังกำหนดเปิดให้จอง

ทำให้เงินลงทุนที่ลงไปในเดอะมอลล์ราชดำริในส่วนที่เป็นห้างสรรพสินค้าเกือบจะได้มาฟรี เหตุนี้เองที่ทำให้เครดิตของกลุ่มเดอะมอลล์ดีมาตลอดในสายตาของแบงก์ที่ให้สินเชื่อ

เมื่อการแข่งขันในราชดำริเริ่มเข้มข้นขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาซึ่งมีโครงการศูนย์การค้าเกิดขึ้นมายิ่งกว่าดอกเห็ด ตั้งแต่โรบินสันราชดำริ บิกเบลล์ อัมรินทร์พลาซ่า เพนนินซูล่าพลาซ่า มาบุญครองเซ็นเตอร์

พันธ์ทิพย์พลาซ่า ซิตี้พลาซ่า เมื่อรวมกับเจ้าเก่าอย่างเซ็นทรัลชิดลม ไดมารูราชดำริ เดอะมอลล์ สยามสแควร์ เมโทร พาต้า เพลินจิตอาเขต พื้นที่ที่ใครคิดว่าเป็นทำเลทองก็กลายเป็นทำเลหิน

ที่ต่อให้แน่ขนาดไหนก็ยากที่จะประสบความสำเร็จได้ อย่างมากแค่ให้อยู่รอดได้ก็เก่งมากแล้ว

ศุภชัย อัมพุชเองก็ออกหาทำเลใหม่ทันทีด้วยสัญชาตญาณของคนทำมาหากินแล้วก็มาเห็นทำเลย่านรามคำแหง แค่เห็นทำเลเสี่ยศุภชัยก็ตัดสินใจสร้างเดอะมอลล์ 2 ขึ้นที่นี่ทันที

ท่ามกลางสายตาที่ดูถูกดูแคลนของนักการตลาดห้างสรรพสินค้าทั้งหลาย ที่ไม่เชื่อว่าทำเลนี้จะไปรอด เพราะอยู่ชานเมืองและไม่มีศูนย์การค้าในย่านนี้มาก่อนเลย

"พ่อมองเห็นว่า โพเทนเชียลที่นี่ดีมาก เพระไม่เคยมีศูนย์การค้าที่นี่มาก่อน แล้วคนแถวนี้ก็มีกำลังซื้อสูง ที่เคยทำกันมานั้นก็ทำกันเล็ก ๆ มันก็เลยไม่ดึงดูดคน เราก็เลยทำใหญ่ซะเลย ให้มีทุกอย่าง คนก็จะมาที่เรา

เพราะเขาไม่อยากเข้าไปเสียเวลาในเมือง" ศุภลักษณ์ อัมพุช ลูกสาวคนโตของเสี่ยศุภชัยพูดถึงพ่อ

และในที่สุดเดอะมอลล์ 2 ที่รามคำแหง ก็เป็นผู้เปิดประตูศูนย์การค้าในย่านรามคำแหงให้เกิดตามมาอีกมากรายนับตั้งแต่ บางกะปิสรรพสินค้าที่กำลังเปลี่ยนเป็นอิมพีเรียลสาขาบางกะปิ เวลโก้, ลัคกี้แฟมิลี่ สโตร์,

รามสรรพสินค้า จนกระทั่งมาถึงเซ็นทรัล สาขารามคำแหงที่เปิดตัวไปไม่นานมานี้

ในฐานะที่เป็นผู้บุกเบิกมาก่อน เมื่อเดอะมอลล์ 2 ประสบความสำเร็จเกินคาดเสี่ยศุภชัยก็ไม่รอช้า มองหาทำเลเพิ่มเติมในย่านเดียวกันเพื่อสร้างอาณาจักรเดอะมอลล์ให้ยิ่งใหญ่ที่สุดในย่านนี้ จนไปได้เดอะมอลล์ 3

ซึ่งอยู่ตรงข้ามเดอะมอลล์ 2 และเดอะมอลล์ 4 ที่อยู่ถัดเดอะมอลล์ 3 ไปอีกประมาณ 80 เมตร

เดอะมอลล์ 3 หรือเดอะมอลล์ช้อปปิ้งเซนเตอร์มูลค่า 600 ล้านบาทนี้นอกจากจะทำให้เป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่สุดในย่านรามคำแหงแล้ว ยังเพิ่มความแปลกใหม่ด้วยการจัดพื้นที่ 6,000 ตารางเมตร

ชั้นใต้ถุนปรับเป็นตลาดสดติดแอร์ที่ใหญ่ที่สุดพร้อมด้วยระบบการจัดการตลาดแบบญี่ปุ่น ที่สุรัตน์ อัมพุช ผู้รับผิดชอบส่วนนี้บอกว่า "รับรองว่าไม่มีใครเหมือนแน่"

ส่วนเดอะมอลล์ 4 หรือ เดอะมอลล์ฟู้ดสตรีท แอนด์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์ ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงนั้น ก็ตั้งใจจะให้เป็นศูนย์เอนเตอร์เทนที่มีทั้ง ไอซ์สเก็ตขนาดมาตรฐานโอลิมปิค ในพื้นที่ 3,500

ตารางเมตร พร้อมกิจกรรมต่อเนื่องครบครัน

ส่วนดิสโกเธคที่ดึงมาร่วมนั้นก็เป็นเครือข่ายของชัยรัตน์ เศวตจินดา เจ้าพ่อดิสโกเธคคนหนึ่งที่ทำดิสโกเธคมาตั้งแต่รุ่นบุกเบิกจนเดี๋ยวนี้ก็ยังทำอยู่ที่คอลเลจดิสโกเธค บางกอกบาร์ซา

มีโรงภาพยนตร์ชั้น 1 ที่ผูกขาดกันมาตั้งแต่เอ็มจีเอ็ม 1 และ 2 ส่วนโบวลิ่งนั้นก็เป็นขนาด 30 เลน โดยดึงเอา 35 โบว์มาลงทุน ก็เห็นคุยว่าเป็นลานโบว์ลิ่งระบบคอมพิวเตอร์คอนโทรลซะด้วย

มีสถานบริการร่างกายของเวิล์ดคลับมาอยู่ด้วย

ที่เหลือก็เป็นคอกเทลเลานจ์ คอฟฟี่ช้อป ฟาสต์ฟู้ด พร้อมทั้งร้านอาหารดัง ๆ อีกหลายรายเฉพาะโครงการ 4 นี่ก็ลงไปอีก 100 ล้านบาท

ส่วนเดอะมอลล์ 2 ที่เป็นฐานที่มั่นสำคัญนั้นก็มีการขยายพื้นที่ด้านขวาออกไปอีก 6,000 ตารางเมตร เพื่อรับกับการเติบโตของทั้งกลุ่ม

ศุภชัย อัมพุชตั้งใจจะให้ที่นี่เป็นอาณาจักรเดอะมอลล์ที่แท้จริง และเป็นเจ้ายุทธจักรในย่านนี้อย่างสมบูรณ์แบบ เป็นการดักคนเข้าเมืองอย่างที่เซ็นทรัลพลาซ่าทำได้ผลมาแล้วที่ลาดพร้าว

เป็นการดักเซ็นทรัลสาขารามคำแหงได้อย่างเจ็บปวดที่สุด และเป็นการวางเครือข่ายที่ยากจะหาใครมาแข่งได้ในย่านหรือทำเลเดียวกันนี้

และเมื่ออาณาจักรแห่งนี้เสร็จเรียบร้อยลง เสี่ยศุภชัยก็ลอยตัวอีกเช่นเคย เพราะพื้นที่แทบทั้งหมดได้ขายไปแล้ว เงินที่ลงไปก็ได้คืนหมดแล้ว ต่อจากนี้ไป เสี่ยศุภชัย ก็คงจะต้องตระเวนหาแหล่งทำมาหากินต่อไป

เมื่อได้ที่ดินผืนงาม ๆ ที่ไหนก็ค่อยมาพิจารณาอีกทีว่าควรจะทำอะไรถึงจะเหมาะ เมื่อสร้างเสร็จก็จะเป็นการบุกเบิกธุรกิจลักษณะนี้ในย่านนั้นอีกครั้งหนึ่ง

คงต้องคอยดูกันว่าในปีหน้านี้ เสี่ยศุภชัยจะคิดทำธุรกิจอะไรอีก เพื่อให้คนอื่นแห่ตามอย่างจนเริ่มเบื่อ แล้วก็ไปจับทำอย่างอื่นต่อไป

นี่แหละคือวิถีของคนชื่อ "ศุภชัย อัมพุช"

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us