กระทรวงการคลังต้องการให้การบินไทยเข้าตลาดหุ้น เพื่อลดภาระของตัวเองในการค้ำประกันเงินกู้ต่างประเทศ
แต่ผู้บริหารการบินไทยกลับบอกว่าไม่จำเป็น กู้เองได้โดยคลังไม่ต้องค้ำ ก็แปลกดีที่เจ้าของบริษัทต้องการอย่างนี้แล้ว
คนที่เป็นลูกจ้างยังลุกขึ้นมาคัดค้านหัวชนฝาราวกับบริษัทนี้เป็นของตัวเอง
หรือกลัวว่าถ้าเข้าตลาดหุ้นแล้วจะต้องสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป?!……. การประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
18 เมษายน 2532 ได้มีการพิจารณาแผนการลงทุนเร่งด่วนของการบินไทยซึ่งเสนอผ่านกระทรวงคมนาคม
แผนการลงทุนเร่งด่วนนี้ปรับปรุงขึ้นใหม่จากแผนการลงทุนระยะยาว (2531-2535)
ซึ่งคณะรัฐมนตรีชุดเปรม 5 ได้อนุมัติไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน
2531
ความจำเป็นที่ต้องมีการปรับแผนการลงทุนใหม่ทั้งๆ ที่แผนเดิมเพิ่งเริ่มไปได้ไม่ถึงปี
การบินไทยให้เหตุผลโดยอ้างถึงสถานการณ์ด้านการบิน ที่เปลี่ยนแปลงไปจากตอนที่เริ่มทำแผนเดิมเป็นอันมาก
ปริมาณการเดินทางทางอากาศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนเครื่องบินที่มีอยู่ตอนนี้ไม่เพียงพอ
ถึงแม้ว่าจะได้มีแผนการจัดซื้อเพิ่มเติมตามแผนเดิมแล้ว แต่แนวโน้มผู้โดยสารที่มีแต่จะสูงขึ้นๆ
ทำให้ไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะสามารถรองรับจำนวนผู้โดยสารได้ในระยะ 4-5 ปีข้างหน้า
จึงเป็นที่มาของแผนลงทุนเร่งด่วนสำหรับปี 2533-2537
แผนการลงทุนระยะยาว (2531-2535) ได้จัดทำขึ้นและได้รับอนุมัติจากรัฐบาลชุดที่แล้ว
ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในขณะนี้คือ บรรหาร ศิลปอาชา แห่งพรรคชาติไทย
พอมีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ รัฐมนตรีคนใหม่ก็เปลี่ยนเป็นมนตรี พงษ์พานิช จากพรรคกิจสังคม
แผนการลงทุนของการบินไทยนั้นเป็นโครงการใหญ่ที่ต้องเกี่ยวพันใช้เงินทุนมหาศาล
สมควรที่เจ้ากระทรวงผู้มีหน้าที่และฐานะที่ต้องรับผิด รับชอบ รับผลดีและรับผลเสียไม่อาจจะละเลยไปได้
ของเก่าที่ทำไว้เรียบร้อยแล้ว อย่างไรเสียคนมาใหม่ก็ต้องหยิบยกขึ้นมาทบทวน
หารูรั่วและช่องโหว่แล้วจัดการดัดแปลงแก้ไขให้เกิดประโยชน์มากขึ้นที่สุด
ในยุคสมัยที่อำนาจหน้าที่ตกมาอยู่ในมือของตัว
แม้จะเป็นคำอธิบายที่ยังไม่ชัดเจน แต่ก็เป็นอีกแง่มุมหนึ่งที่ทำให้เหตุผลของการเสนอแผนเร่งด่วนนี้กระจ่างชัดยิ่งขึ้น!!!
ตามแผนลงทุนเร่งด่วนนี้ การบินไทยเสนอขอซื้อเครื่องบินใหม่เพิ่มขึ้นอีก
16 ลำ เป็นเงินทั้งสิ้น 20,318 ล้านบาท (รวมค่าเครื่องบินจ่ายล่วงหน้าที่จ่ายในปี
2531/32 ด้วย) ซื้ออะไหล่เครื่องบิน 10,209 ล้านบาท ลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของกิจการสมทบอื่น
8,357 ล้านบาท และขอขายเครื่องบินเก่า 13 ลำ ตามราคาบัญชี 579 ล้านบาท
รวมกับค่าเครื่องบินที่ได้มีการอนุมัติให้ซื้อไปแล้ว 8 ลำ ซึ่งอยู่ในแผนเดิมและแผนเร่งด่วนได้นำเอามารวมไว้
เงินลงทุนในแผนเร่งด่วนสำหรับปี 2533-2537 มีจำนวนทั้งสิ้น 49,409 ล้านบาท
การประชุมในวันนั้น ใช้เวลากว่าสองชั่วโมงกับวาระเรื่องการบินไทย และมีมติออกมาจากถ้อยแถลงของสุวิทย์
ยอดมณี โฆษกรัฐบาล สรุปสาระสำคัญได้ว่า ให้การบินไทยซื้อเครื่องบินได้เพียง
13 ลำจากข้อเสนอขอซื้อ 16 ลำ และให้ระงับการขายเครื่องบินแอร์บัสจำนวน 4
ลำไว้ จากข้อเสนอขอขายเครื่องบินประเภทต่างๆ 13 ลำ
ประมวล สภาวสุ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลังจากการประชุม
ประมวลพูดอย่างชัดเจนว่า ครม. ได้อนุมัติตามข้อเสนอของกระทรวงการคลังในการนำการบินไทยเข้าตลาดหลักทรัพย์
โดยนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายใน 2-3 เดือน และพลเอกชาติชาย
ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และการบินไทยหารือในรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้และเสนอต่อคณะรัฐมนตรีอีกครั้งภายใน
14 วัน
แต่สิ่งที่ประมวลพูดออกมาในวันนั้น ไม่มีปรากฎอยู่ในถ้อยแถลงของโฆษกรัฐบาลและในเอกสารที่แจกจ่ายให้กับสื้อมวลชนแต่อย่างใด
ในข้อที่ 3 ของมติ ครม. ในเรื่องนี้ระบุแต่เพียงว่า ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาแผนการเงินที่จะใช้ในโครงการลงทุนร่วมกัน
แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
แหล่งข่าวในทำเนียบรัฐบาลเปิดเผย "ผู้จัดการ" ว่า ในวาระเรื่องการบินไทยในที่ประชุม
ครม. วันนั้น ทางสภาพัฒนฯ ได้ท้วงติงในเรื่องจำนวนและประเภทของเครื่องบินที่การบินไทยจะซื้อและต้องการขาย
การปรับปรุงแผนการตลาดและการจัดฝูงบิน ซึ่งได้ปรากฎอยู่เป็นมติ ครม. ในข้อ
1
ส่วนกระทรวงการคลังได้พูดถึงการลงทุนขยายงานของการบินไทยว่า มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการลงทุน
จากการกู้เงินมาเป็นการระดมทุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่ง ครม.ก็ให้ความเห็นชอบกับกระทรวงการคลังในเรื่องนี้ด้วย
แต่พอถึงขั้นตอนการบันทึกและการแถลงมติ ครม.อย่างเป็นทางการ กลับปรากฎว่าเป็นคนละเรื่องกับสิ่งที่ประมวลได้พูดและ
ครม. ได้เห็นชอบ กลับกลายเป็นเรื่องว่าจะหาเงินมาซื้อเครื่องบินได้อย่างไร
"เป็นการพูดกัน มองกันคนละขั้นตอน และในวิสัยใกล้ไกลที่ต่างกัน กระทรวงการคลังศึกษาหาคำตอบให้เสร็จสรรพเลยว่าต้องเข้าตลาดหุ้น
เพื่อหาเงินมาซื้อเครื่องบินและรองรับการลงทุนในอนาคต แต่คมนาคมและการบินไทยมองแค่ว่า
ครม. อนุมัติให้ซื้อเครื่องบินได้ ส่วนจะหาเงินมาจากไหนนั้นไปคุยกันเองในรายละเอียดก่อน"
แหล่งข่าวคนเดิมอธิบาย
จะเป็นความผิดพลาดโดยไม่เจตนาหรือเป็นความจงใจของใครบางคน ที่ต้องการจะดึงเรื่องการบินไทยเข้าตลาดหุ้นให้ล่าช้าเอาไว้ก็ตามแต่
ปัญหาเทคนิคที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เป็นข้ออ้างที่กระทรวงคมนาคมและผู้บริหารระดับสูงของการบินไทย
ซึ่งคัดค้านการเข้าตลาดหุ้น หยิบยกขึ้นมาตอบโต้กระทรวงการคลังว่า ครม.ไม่เคยมีมติให้การบินไทยเข้าตลาดหุ้นแต่อย่างใด
นอกเหนือจากเหตุผลด้านการเงิน ซึ่งการบินไทยอ้างอยู่เสมอว่าไม่มีความจำเป็นต้องเข้าตลาดหุ้น
จนการพิจารณาเรื่องนี้ในการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมาเพื่อหาข้อสรุป
กระทรวงการคลังต้องถอนวาระนี้ออกไปก่อน เพื่อลดความขัดแย้งระหว่างพรรคชาติไทยซึ่งคุมคลัง
กับพรรคกิจสังคมที่ดูแลกระทรวงคมนาคมอยู่
เรื่องที่ทำท่าว่าจะเป็นเรื่องที่ตกลงทำความเข้าใจกันได้ง่ายๆ ในหลักการ
จึงต้องยืดเยื้อออกไปอย่างไม่รู้ว่าเมื่อไรจะจบ และกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบินไทย
คือกระทรวงการคลัง กับกระทรวงคมนาคมและกองทัพอากาศ
ใครๆ ก็คิดว่าการบินไทยนั้นเป็นสมบัติของกระทรวงคมนาคมกับกองทัพอากาศ และข่าวคราวที่เกี่ยวกับการบินไทยที่ปรากฏออกมาก็มักจะเป็นเช่นนั้น
ที่บทบาทมักจะตกอยู่กับคนจากกองทัพอากาศที่มานั่งเป็นผู้บริหารสูงสุดของการบินไทย
หรือไม่ก็คนจากกระทรวงคมนาคมที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องทิศทางนโยบาย
ทั้งๆ ที่กองทัพอากาศและกระทรวงคมนาคมไม่มีหุ้นอยู่ในการบินไทยเลยแม้แต่น้อย
แต่กลับเสียงดังกว่ากระทรวงการคลังที่ถือหุ้นอยู่ถึง 99% ที่นั่งในคณะกรรมการบริษัทการบินไทยเป็นของทหารอากาศถึง
4 ที่นั่ง เป็นของคนจากคมนาคมเสีย 2 ที่นั่ง มีคนจากกระทรวงการคลังเข้าไปนั่งเป็นกรรมการการบินไทยเพียงคนเดียว
ร่วมกับตัวแทนจากหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกแห่งละหนึ่งคน
กระทรวงการคลังนั้นเข้าไปถือหุ้นในฐานะตัวแทนของรัฐบาลผู้เป็นเจ้าของเงิน
ส่วนกระทรวงคมนาคมอยู่ในฐานะที่มีภาระหน้าที่ส่วนหนึ่งเกี่ยวพันกับกิจกรรมของการบินไทย
อันได้แก่การขนส่งประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 128 กำหนดให้กระทรวงการคลังโอนอำนาจในการดูแลควบคุมรัฐวิสาหกิจ
ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกิจการของรัฐวิสาหกิจแห่งนั้น
โดยนัยนี้ กระทรวงคมนาคมจึงอยู่ในฐานะผู้ดูแล ควบคุมนโยบายของการบินไทยโดยตรง
ในขณะที่กองทัพอากาศเข้ามาเกี่ยวข้องก็ด้วยความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์
ตั้งแต่ยุคก่อตั้งการบินไทย ที่จำเป็นต้องพึ่งพาบุคลากรและสิ่งอำนวยความสะดวกของกองทัพอากาศ
สืบทอดกันจนกลายมาเป็นนโยบายในทางปฏิบัติ ว่าอำนาจในการบริหารการบินไทยต้องอยู่ในมือของกองทัพอากาศ
กระทรวงการคลังจะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยก็ในหน้าที่ของคนที่ต้องหาเงินมาให้การบินไทยใช้เท่านั้น!
การบินไทยก็เช่นเดียวกับรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ในเมืองไทย ที่เกิดขึ้นด้วยความจำเป็นของสถานการณ์เฉพาะหน้าในช่วงระยะเวลาที่แน่นอนระยะหนึ่ง
ดังเช่นการเกิดขึ้นของการรถไฟที่เกิดจากความจำเป็นของการขยายการขนส่งทางรถไฟ
การเกิดขึ้นของการท่าเรือเพื่อบริหารกิจการขนส่งทางน้ำ และการเกิดขึ้นของรัฐวิสาหกิจทุกๆ
แห่งที่อยู่บนความจำเป็นเฉพาะหน้า มีแต่รัฐเท่านั้นที่พร้อมที่สุดในการจัดตั้งองค์กรขึ้นรองรับสถานการณ์เหล่านั้น
เฉกเช่นเดียวกับการเกิดขึ้นของการบินไทยที่มีที่มาจากความจำเป็น และความต้องการที่ประเทศไทยจะมีสายการบินแห่งชาติขึ้นมาสักสายหนึ่งเมื่อ
29 ปีที่แล้ว
การบินไทยและรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ดำรงอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
ทั้งในระดับโลกและระดับภายในประเทศที่สืบเนื่องต่อกันเรื่อยๆ มา ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงนี้
ภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลมีมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่งบประมาณรายได้มีอยู่จำกัดและขยายตัวในอัตราที่ไม่ทันกันกับการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่าย
และท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน บทบาทของภาคเอกชนได้รับการพิสูจน์ว่ามีประสิทธิภาพ
เหนือชั้นกว่ารัฐวิสาหกิจของรัฐที่อยู่ในกิจการประเภทเดียวดันเป็นอันมาก
รวมไปถึงความสามารถในการระดมทุนเพื่อการลงทุนและดำเนินกิจการด้วย
จึงเกิดแนวความคิดใหม่ในการบริหารทุนของรัฐ ที่จะลดบทบาท หน้าที่และภาระลงในกิจกรรมที่มิใช่หน้าที่โดยตรงของรัฐ
โดยกระจายบทบาทเหล่านั้นไปให้กับภาคเอกชนมากขึ้น รัฐวิสาหกิจที่มีอยู่รวมๆ
กันเกือบ 60 แห่งคือเป้าหมายของแนวความคิดการบริหารทุนของรัฐแบบใหม่นี้!!
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2526 กำหนดให้กระทรวงต่างๆ ที่มีรัฐวิสาหกิจในสังกัดยึดถือนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจภายใต้หลัก
5 ประการคือ การเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร วิธีการบริหาร การตลาด การให้เอกชนร่วมหุ้นและให้เอกชนบริหาร
โดยให้รัฐบาลถือหุ้นแต่เพียงส่วนน้อยและการขายกิจการ
หลัก 5 ประการนี้คือข้อเสนอของ อบ วสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในขณะนั้น
ที่เสนอใช้บังคับกับรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะรัฐมนตรีเห็นดีด้วยที่จะให้กระทรวงอื่นๆ
ยึดถือเป็นนโยบายต่อรัฐวิสาหกิจที่อยู่ในความดูแล
การบินไทยนั้นมีความแตกต่างจากรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่คือ เป็นรัฐวิสาหกิจที่สามารถทำกำไรเลี้ยงตัวเองได้ทุกๆ
ปี ไม่ต้องพึ่งพาเงินอุดหนุนจากรัฐ แต่การบินไทยก็เป็นกิจการที่ต้องมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในวงเงินที่สูง
โดยเฉพาะการซื้อเครื่องบินเพิ่มเติม
แหล่งเงินทุนส่วนใหญ่คือ เงินกู้ต่างประเทศโดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน
ซึ่งนับเป็นภาระอันหนักหน่วงของกระทรวงการคลัง ที่จะต้องรับภาระความเสี่ยงหากการบินไทยมีปัญหา
และการกู้เงินจากต่างประเทศยังมีข้อจำกัดทางกฎหมายในแง่ที่ว่า ในแต่ละปีรัฐบาลจะก่อหนี้ต่างประเทศได้ไม่เกิน
1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ ถ้าสามารถลดจำนวนโครงการการลงทุนที่ต้องใช้เงินกู้ต่างประเทศลงไปได้
ในบางโครงการที่หาแหล่งเงินทุนภายในประเทศได้ รัฐบาลก็สามารถกระจายเงิน 1,200
ล้านเหรียญนี้ไปให้โครงการอื่นๆ ได้ทั่วถึงยิ่งขึ้น
ในแง่นี้การบินไทยจึงยังคงอยู่ในฐานะที่ต้องพึ่งพาการค้ำประกันเงินกู้จากรัฐ
และอยู่ในฐานะที่รัฐยังคงต้องเฉลี่ยจำนวนเงินกู้ต่างประเทศ ที่มีอยู่อย่างจำกัดในแต่ละปีให้สำหรับการลงทุนขยายงาน
การบินไทยจึงเป็นหนึ่งในเป้าหมายของนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ในลักษณะการแปรสภาพการเป็นเจ้าของหรือฐานะการเป็นรัฐวิสาหกิจโดยให้เอกชนเข้ามาร่วมหุ้นด้วย
ดังนั้นเมื่อกระทรวงคมนาคมเสนอโครงการแผนการลงทุนระยะยาว 2528/2529-2532/2533
ของบริษัทการบินไทย จำกัดให้สภาพัฒนฯ พิจารณา สาระสำคัญของโครงการลงทุนดังกล่าวคือ
การขยายฝูงบิน กิจการสมทบ อะไหล่เครื่องบินและอุปกรณ์ เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น
25,000 ล้านบาท โดยมีแหล่งเงินทุนสำคัญๆ คือการกู้เงินระยะยาวจากต่างประเทศ
โดยขอให้รัฐบาลค้ำประกันและการลงทุนจากรายได้บริษัท
การประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ 7/2529 เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2529 วาระที่
..?.. เรื่องโครงการแผนการลงทุนระยะยาว 2528/2529-2532/2533 ของบริษัทการบินไทย
จำกัด มีมติเห็นชอบกับข้อเสนอและอนุมัติวงเงินลงทุนของการบินไทย และยังมีมติให้กระทรวงการคลัง
กระทรวงคมนาคม และบริษัทการบินไทย จำกัด ไปพิจารณาวิธีการและความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มทุนให้แก่บริษัทในอนาคต
และให้บริษัทการบินไทย จำกัด นำรายได้มาลงทุนให้มากขึ้นแทนการใช้เงินกู้ทั้งหมด
รวมทั้งพิจารณาให้การจำหน่ายหุ้นของบริษัทการบินไทย จำกัด บางส่วนให้กับภาคเอกชนต่อไปด้วย
"ตอนนั้นมันเพียงแต่เป็นไอเดียของคุณสุธี สิงเสน่ห์ ยังไม่มีใครเอาจริงเอาจัง
ตอนนั้นถ้านายกเปรมเอาด้วยก็จบตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว" แหล่งข่าวในกระทรวงการคลังผู้หนึ่งพูดถึงสาเหตุที่ไม่ได้มีการดำเนินการตามมติ
ครม. ในครั้งนั้น
จึงตกเป็นภาระหน้าที่ของรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ
ที่จะต้องสานต่อดันการบินไทยให้นำหุ้นบางส่วนขายให้กับเอกชน ประมวล สภาวสุ
ได้พูดออกมาอย่างชัดเจนหลายครั้งว่า ในฐานะรัฐมนตรีคลัง สิ่งที่เขาต้องทำให้ลุล่วงไปให้ได้คือ
การนำการบินไทยเข้าตลาดหลักทรัพย์
ว่ากันว่า แท้ที่จริงแล้ว เรื่องนี้คือนโยบายของ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ
โดยผลักดันผ่านประมวล
ในระดับผู้ปฏิบัติงาน กลุ่มข้าราชการรุ่นใหม่ของกระทรวงการคลังก็มีความเห็นด้วยในเรื่องนี้
และสอดคล้องต้องกันกับความคิดเห็นของพนักงานระดับกลางในแบงก์ชาติ ในหลักการลดภาระและกิจกรรมของรัฐบาล
ส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดินลงให้มากที่สุด เป็นหลักการที่อยู่ในความคิดของทีมที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรีด้วยเช่นกัน
เมื่อทั้งระดับบนระดับล่างไปด้วยกันได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเช่นนี้ แผนการที่จะนำการบินไทยเข้าตลาดหลักทรัพย์
จึงได้รับการดำเนินการอย่างจริงจังในส่วนของกระทรวงการคลัง
"ผมเชื่อว่า คุณประมวลคงมีผลการศึกษาที่จ้างที่ปรึกษาฝรั่งมาทำอยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว
รอให้ตกลงกันได้ แกเซ็นแกร้กเดียวก็เรียบร้อย" แหล่งข่าวในกระทรวงการคลังเปิดเผยและเชื่อกันว่า
ที่ปรึกษาฝรั่งนั้นคือ บริษัทโกลด์แมน แซกจากประเทศอังกฤษ เป็นผู้ศึกษารูปแบบการเอาการบินไทยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
และจัดทำเป็นรายงานเสนอต่อประมวลเรียบร้อยไปแล้ว
รอเพียงจังหวะและเวลาที่จะเสนอเรื่องนี้ต่อ ครม. เท่านั้น!!
"เราต้องการแก้ไขปัญหาวิธีการบริหารการเงิน มากกว่าที่จะมองไปถึงเรื่องของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
ถึงแม้ว่าการเข้าตลาดหุ้นจะเป็นขั้นตอนหนึ่งของการแปรรูป" แหล่งข่าวในกระทรวงการคลังย้ำถึงจุดมุ่งหมายของกระทรวงการคลัง
จังหวะนั้นมาถึงเมื่อการบินไทยเสนอแผนการลงทุนเร่งด่วนให้ ครม.อนุมัติ กระทรวงการคลังถึงแม้จะไม่มีสิทธิมีเสียงในการบังคับบัญชา
ควบคุมการบริหารงาน แต่ก็อยู่ในฐานะผู้ที่ต้องรับผิดชอบการหาเงินมาใช้ตามแผนลงทุนนี้
กระทรวงการคลังจึงใช้โอกาสนี้เสนอแนวความคิดในการปรับรูปแบบการลงทุนของการบินไทย
สำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้วิเคราะห์ฐานะทางการเงินของการบินไทย ในเงื่อนไขที่มีการลงทุนตามแผนเร่งด่วน
ปรากฏว่าการลงทุนดังกล่าวจะมีผลตอบแทนจากการลงทุนโดยเฉลี่ย (IRR) เท่ากับ
10.60 ซึ่งเป็นอัตราที่ค่อนข้างต่ำกว่ามาตรฐานที่ควร
ในด้านความสามารถในการทำกำไร ปรากฏว่า PROFIT MARGIN ลดลงจากร้อยละ 11.29
ในปี 2530-2531 เป็นร้อยละ 5.88 ในปีสุดท้ายของแผน หรือมีอัตราเฉลี่ยเพียงร้อยละ
4.75 ในช่วงแผนการลงทุน
สัดส่วนหนี้สินต่อเงินทุน (TOTAL DEBT/SHARE CAPITAL) เพิ่มขึ้นจาก 16.06
ในปี 2530-2531 เป็น 19.25 ในปี 2536-2537 โดยมีอัตราเฉลี่ยในช่วงการลงทุน
21.44 และหากนำผลการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่รอตัดบัญชีมาคำนวณด้วย อัตรานี้จะเพิ่มขึ้นมาก
อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน (CURRENT RATIO) และอัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้จะดีขึ้น
กล่าวคือ จาก 1.07 ในปี 2530-2531 เป็น 1.63 ในปี 2536-2537 และจาก 2.58
ในปี 2530-2531 ลดลงเป็น 2.18 ในปี 2536-2537 แต่เป็นเพราะข้อสมมติฐานที่ใช้ประมาณการ
กำหนดให้มีระยะปลอดชำระหนี้ต้นเงินกู้ยาวถึง 4 ปี ซึ่งโดยทั่วไประยะปลอดชำระต้นเงินกู้จะอยู่ในระยะไม่เกิน
2 ปี
และข้อสมมติฐานอีกข้อหนึ่งคือ การบินไทยจะคงไว้ซึ่งกำไรสะสม โดยไม่มีการจ่ายเงินปันผลคืนกระทรวงการคลังตลอดระยะเวลาการลงทุนเลย
ในด้านภาระหนี้สิน ณ วันสิ้นปี 2530-2531 การบินไทยมีหนี้สินรวมทั้งสิ้น
36,147 ล้านบาท เป็นหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน 13,843 ล้านบาท และเป็นเงินกู้ในรูปเช่าซื้อที่ใช้เครื่องบินเป็นประกันที่กระทรวงการคลังจัดหา
โดยมีเงื่อนไขต้องถือหุ้นบริษัทไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 จำนวน 22,304 ล้านบาท
ตามแผนการลงทุนใหม่ การบินไทยจะก่อหนี้เพิ่มขึ้นอีก 29,915 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ
80 ของยอดหนี้เดิม ทำให้ฐานะของบริษัทมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก
ในด้านค่าใช้จ่ายต่อหน่วย ผลการลงทุนดังกล่าวเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายแก่บริษัทในอัตราที่สูง
กล่าวคือ อัตราค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหน่วย (COST / ATK) เพิ่มขึ้นจาก 9.29
บาท ต่อ ATK ในปี 2530-2531 เป็น 12.20 บาทต่อ ATK ในปี 2536-2537
และหากฐานะภาระการชำระคืนต้นเงินกู้ใหม่ตามมาตรฐานที่ควรเป็นแล้ว ค่าใช้จ่ายต่อหน่วยจะต้องสูงกว่านี้อีก
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การคาดการณ์อัตราส่วนทางการเงินออกมาในรูปนี้คือ การใช้เงินกู้ต่างประเทศถึงร้อยละ
80 ในการลงทุนครั้งนี้ ซึ่งมีต้นทุนทางด้านดอกเบี้ย และยังมีระยะเวลาที่แน่นอนในการใช้คืนเช่นกัน
"อัตราสัดส่วนการทำกำไรแค่ 5.88 มีผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณร้อยละ
10.58 ถึงจะคุ้มอัตราดอกเบี้ยที่จะต้องเสียเฉลี่ยร้อยละ 10 ก็ตาม แต่อย่าลืมนะครับว่ากิจการด้านการบินเป็นกิจการที่มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง
หากรายได้ที่ประมาณการไว้ลดลงเพียงร้อยละ 1 และค่าใช้จ่ายโดยเฉพาะน้ำมันเพิ่มขึ้นกว่าที่ประมาณการไว้เพียงเล็กน้อย
การบินไทยขาดทุนทันทีครับ" แหล่งข่าวย้ำให้เห็นถึงความเสี่ยงของการลงทุนโดยใช้เงินกู้
จึงเป็นความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงวิธีการลงทุนใหม่ เพื่อลดต้นทุนและภาระความเสี่ยงจากการกู้เงิน
"เท่าที่คุยกันที่กระทรวงการคลัง บอกว่าควรจะใช้วิธีเพิ่มทุน ซึ่งเป็นวิธีการหาเงินที่ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยและไม่ต้องใช้คืนเงินต้น"
นอกจากนั้นยังเป็นการลดภาระของรัฐในการลงทุนหรือค้ำประกันการลงทุนดังกล่าวด้วย
"การบินไทยคงไม่หยุดกู้เงินเพียงแค่นี้ จะหยุดแค่นี้หรือเปล่า จะหยุดซื้อเครื่องบินกันหรือ
และการก่อหนี้ต่างประเทศก็ไม่ได้มีแต่การบินไทยเพียงแห่งเดียว ยังมีรัฐวิสาหกิจแห่งอื่นๆ
อีก" ประมวล เคยพูเอาไว้อย่างนี้เมื่อกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ในเอกสารประกอบการประชุมวาระเรื่องแผนลงทุนเร่งด่วนของการบินไทยเมื่อวันที่
18 เมษายน 2532 นอกเหนือจากความเห็นต่อแผนการลงทุนโดยตรงแล้ว กระทรวงการคลังยังได้เสนอการปรับโครงสร้างการระดมทุนของการบินไทยต่อคณะรัฐมนตรี
สรุปเป็นสาระสำคัญได้ดังนี้คือ
1. กำหนดเป็นนโยบายให้การบินไทยแปลงสภาพจากรัฐวิสาหกิจ ที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นในนามของรัฐแต่ฝ่ายเดียว
เป็นรัฐวิสาหกิจที่รัฐถือหุ้นใหญ่และมีผู้ร่วมทุนจากภาคเอกชนเป็นส่วนน้อย
หรือแปลงสภาพเป็นวิสาหกิจเอกชนที่รัฐเป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อย แต่มีอำนาจการบริหารและสิทธิออกเสียง…เดียว
และมีอำนาจยับยั้งการดำเนินการใดๆ ที่ขัดกับประโยชน์ หรือนโยบายของรัฐ
2. ให้กระทรวงการคลังและบริษัทการบินไทยจัดทำแผนเพิ่มทุน หรือระดมทุนจากภาคเอกชนในรูปแบบต่างๆ
แทนการกู้เงินจากต่างประเทศ สำหรับวงเงินลงทุนที่จะต้องใช้ในการจัดซื้อเครื่องบินและกิจการสมทบ
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติแล้ว
3. ให้กระทรวงการคลังและบริษัทการบินไทยว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญมาทำการศึกษา
วิเคราะห์โครงสร้าง ระบบ วิธีการ และขั้นตอนที่จำเป็นในการจำหน่ายหุ้นหรือระบบวิธีการอื่นที่เหมาะสม
และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบโดยเร็วที่สุด สำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อการนี้
ให้การบินไทยเป็นผู้รับภาระ
ถึงแม้จะไม่ได้ระบุออกมาตรงๆ ว่าจะระดมทุนด้วยวิธีใด แต่เป็นที่รู้กันว่าแหล่งเงินทุนในประทศที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดคือตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
"เราช่วยตัวเองได้ เราไม่ต้องรบกวนให้รัฐบาลค้ำประกัน เราไม่ต้องรบกวนให้กระทรวงการคลังหาแหล่งเงินกู้ให้เรา"
คือเหตุผลที่พลอากาศเอก วีระ กิจจา …กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของการบินไทย
อ้างขึ้นเป็นข้อคัดค้านต่อข้อเสนอนำการบินไทยเข้าตลาดหุ้น
แน่นอนว่าย่อมเป็นเสียงสะท้อนความคิดเห็นของพลอากาศเอกวรนาถ อภิจารี ผู้บัญชาการทหารอากาศ
ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการบริษัทการบินไทยด้วย
และเป็นเสียงเดียวกันกับ มนตรี พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ยืนยันว่าการบินไทยสามารถพึ่งตัวเองได้ในเรื่องการเงิน
โดยระเบียบการก่อหนี้ต่างประเทศของรัฐวิสาหกิจ จะต้องได้รับความเห็นชอบและให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน
เพราะการก่อหนี้ต่างประเทศนั้นจะมีผลกระทบต่อการเงินของประเทศ และมีเพดานการก่อหนี้ต่างประเทศในภาครัฐบาลได้สูงสุดไม่เกินปีละ
1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ
การบินไทยเคยเสนอขอยกเว้นเงินกู้ต่างประเทศของตนจากเพดานเงินกู้ต่างประเทศ
แต่ถูกตีกลับด้วยความเห็นจากกระทรวงการคลังว่า จะกระทำได้ต่อเมื่อบริษัทการบินไทย
แปลงสภาพเป็นวิสาหกิจเอกชนที่รัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือพ้นสภาพจากการเป็นรัฐวิสาหกิจเท่านั้น
ข้อเสนอการบินไทยเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่า การบินไทยเองก็คงจะตระหนักในข้อจำกัดการกู้เงินต่างประเทศอยู่เหมือนกัน!?
ส่วนข้อยืนยันที่ว่าการบินไทยไม่จำเป็นต้องให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้นั้น
ข้อเท็จจริงที่ปรากฏการกู้เงินของการบินไทยทุกครั้ง กระทรวงการคลังต้องเป็นผู้ค้ำประกันให้
แม้ว่าในระยะหลังจะเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนซื้อเครื่องบิน ไปใช้วิธีเช่าซื้อแล้วเอาเครื่องบินค้ำประกัน
แต่เงื่อนไขที่ผู้ให้สินเชื่อในการเช่าซื้อกำหนดมาก็คือ รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังต้องถือหุ้นในการบินไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ
70
"ถึงจะไม่ได้ค้ำประกันเงินกู้โดยตรง แต่ข้อผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อก็แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่า
คนที่ให้เงินนั้นเขาเชื่อเครดิตของใคร" แหล่งข่าวในกระทรวงการคลังชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนในข้ออ้างของการบินไทย
นอกจากนั้นแล้ว มติ ครม.เมื่อปี 2529 ยังให้รวมเงินที่ต้องจ่ายตามสัญญาเช่าซื้อเข้าไว้ในเพดานเงินกู้ต่างประเทศด้วย
และถ้าการบินไทยจะกู้เงินเองโดยเอาทรัพย์สินอื่นๆ และชื่อเสียงของบริษัทมาค้ำประกันโดยไม่ต้องพึ่งพากระทรวงการคลังแล้ว
เชื่อแน่ว่า คงจะมีผู้ยินยอมให้กู้เป็นจำนวนมาก แต่ "คุณอย่าลืมนะว่า
การบินไทยเป็นของใคร เป็นของกองทัพอากาศหรือเปล่า ไม่ใช่เป็นของกระทรวงการคลังทั้งหมด
คุณมีสิทธิอะไรที่จะเอาทรัพย์สินของคนอื่นไปค้ำประกันโดยที่เจ้าของเขาไม่เห็นชอบด้วย
และถ้าเกิดมีปัญหาขึ้นมา ใครล่ะที่ต้องรับผิดชอบ" แหล่งข่าวที่ยืนข้างกระทรวงการคลังอย่างเต็มตัวผู้หนึ่งให้ข้อคิดเห็น
แหล่งข่าวคนนี้ไม่ใช่ใครแต่กลับเป็นคนในการบินไทยนั่นเอง
ความเชื่อมั่นข้อหนึ่งของพลอากาศเอกวีระ และมนตรีคือ การบินไทยมีความสามารถเพียงพอที่จะชำระหนี้คืนได้ตามกำหนดเวลา
เพราะส่วนของผู้ถือหุ้นทั้งหมดทั้งที่เป็นทุนจดทะเบียนและกำไรสะสมจะเพิ่มขึ้นโดยตลอด
จากผลกำไรในระดับที่สูงและต่อเนื่องในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า
อัตราส่วนแสดงความสามารถในการชำระหนี้ก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก จนทำให้มั่นใจได้ว่าไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน
สามารถกู้เงินต่างประเทศมาใช้ได้โดยไม่มีปัญหา
ข้อเสนอของกระทรวงการคลังในเรื่องนี้มีอยู่สั้นๆ ว่า กำไรสะสมของการบินไทยที่สูงถึง
9,683 ล้านบาท ในปี 2531 นั้น เกิดจากการนำเงินรายได้ของกระทรวงการคลังไปใช้ในการลงทุนโดยไม่เคยปันผลเลย
และได้รับประโยชน์จากการค้ำประกันของกระทรวงการคลังแต่เดิมถึง 13,843 ล้านบาท
"ซึ่งหากกระทรวงการคลังกำหนดให้มีการปันผลคืน บริษัทก็จะไม่มีความสามารถที่จะไปทำกำไร
หรือไปกู้เงินจากต่างประเทศ โดยที่กระทรวงการคลังมิได้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่หรือในฐานะผู้ค้ำประกัน
และหากจะดำเนินการก็จะได้รับเงื่อนไขเงินกู้ที่ด้อยกว่าเงื่อนไขที่ได้รับอยู่
และจะเป็นผลเสียต่อบริษัทการบินไทย จำกัดเองต่อไปในอนาคต" ข้อสรุปของกระทรวงการคลังว่าเอาไว้อย่างนี้
ส่วนการคาดการณ์ว่า การบินไทยอาจจะสามารถทำกำไรได้สูงและต่อเนื่องได้ในอนาคต
ออกจะเป็นการมองอย่างหยุดนิ่งและเป็นเพียงการมองด้านเดียวโดยเชื่อว่า กิจการการบินไทยจะดีเหมือนที่เป็นอยู่ในเวลานี้ตลอดไป
วงจรเศรษฐกิจของโลกนั้นเป็นที่รู้กันว่า มีขึ้นมีลง มีทั้งภาวะที่เศรษฐกิจดีและเศรษฐกิจซบเซาเป็นข้อเท็จจริงที่ประจักษ์ชัดอยู่
ความเชื่อมั่นว่าการท่องเที่ยวและการโดยสารทางอากาศจะดีอย่างนี้ตลอดไป คือการละเลยประสบการณ์ในอดีต
และการมองอนาคตอย่างไม่รอบด้าน
"ตอนนี้คุณมีเงินก็คุยได้ เวลาที่เศรษฐกิจโลกซบเซา ซื้อเครื่องบินมาแล้วไม่มีคนนั่ง
คุณไม่มีเงินผ่อนเขา ถึงเวลานั้นก็ต้องเดือดร้อนเรื่องเงิน" คนของการบินไทยเองก็มีความเชื่อเช่นนี้!
ย้อนหลังไปช่วงวิกฤติการณ์น้ำมันครั้งที่สองราวปี 2524 การบินไทยเคยประสบปัญหารายได้ตกต่ำ
กระทั่งเงินเดือนที่จะมาจ่ายพนักงานก็ยังต้องวิ่งกู้เอาเฉพาะหน้า
การนำการบินไทยเข้าตลาดหุ้นเพื่อระดมเงินในประเทศมาลงทุน มองกันในระยะยาวแล้วก็คือ
การเตรียมรับมือกับความไม่แน่นอนของธุรกิจการบินที่มีโอกาสจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
ถึงเวลานั้นแล้ว แม้เครื่องบินที่ซื้อมาจะไม่มีคนนั่ง การบินไทยก็สามารถลดภาระเรื่องการหาเงินมาชำระเงินต้น
ดอกเบี้ยและค่าผ่อนส่งเครื่องบินได้
คำยืนยันถึงสถานะทางการเงินที่มั่นคงของการบินไทยและกระทรวงคมนาคม จึงเป็นเพียงเหตุผลเพื่อตอบโต้กับข้อเสนอของกระทรวงการคลังเป็นการเฉพาะหน้าเท่านั้น
การบินไทยสนใจแต่เพียงสถานะทางการเงินของตัวเอง ในขณะที่กระทรวงการคลังจำเป็นต้องคำนึงถึงภาวะการเงินโดยรวมของชาติ
การบินไทยพิจารณาทางออก เพียงแค่ขอบเขตของแผนลงทุนในระยะห้าปีข้างหน้าเท่านั้น
ในขณะที่กระทรวงการคลังมองไกลออกไปถึง การพึ่งตัวเองทางการเงินในระยะยาวของการบินไทย
ข้อคัดค้านของการบินไทยและกระทรวงคมนาคมอีกข้อหนึ่งคือ การนำการบินไทยเข้าตลาดหุ้นเป็นโอกาสให้ต่างชาติเข้ามามีสิทธิมีเสียง
ควบคุมการบริหารสายการบินแห่งชาตินี้ได้ โดยเฉพาะสายการบินที่เป็นคู่แข่งที่จะเข้ามาถือหุ้นของการบินไทยซึ่งอาจล่วงรู้ความลับในการบริหารได้
การนำหุ้นของสายการบินเข้าจำหน่ายในตลาดหลักทรัพย์นั้น เป็นเรื่องธรรมดาที่สายการบินต่างประเทศทำกันมานานแล้ว
ด้วยเหตุผลต่างๆ กัน
สายการบินบริติช แอร์เวย์นั้น รัฐบาลอังกฤษต้องการให้เลี้ยงตัวเองได้ และเป็นเครื่องมือสนับสนุนนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลมาร์กาเร็ต
แธตเชอร์ โดยรัฐบาลยังคงถือหุ้นส่วนหนึ่งไว้และนำหุ้นบางส่วนจำหน่ายแก่มหาชน
โดยผ่านกลไกของตลาดหลักทรัพย์
สายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค ถึงแม้จะไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ แต่ก็เป็นสายการบินที่บริษัท
JOHN SWIRE & SONS แห่งอังกฤษเป็นเจ้าของหุ้นทั้งหมด กำหนดการคืนเกาะฮ่องกงให้แก่จีนของอังกฤษในปี
1997 ทำให้คาเธ่ย์ แปซิฟิคต้องกำหนดกลยุทธ์ใหม่เพื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงโดย
JOHN SWIRE & SONS ยอมลดสัดส่วนหุ้นของตนเองจาก 100% เหลือเพียง 54.25%
ส่วนที่เหลือขายให้กับสถาบันการเงิน บริษัทท้องถิ่นในฮ่องกงและผ่านตลาดหลักทรัพย์ของฮ่องกง
เป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงของคาเธ่ย์แปซิฟิคในครั้งนี้คือ ฐานทางการเงินที่มั่นคง
และอำนาจต่อรองสิทธิการบินกับรัฐบาลจีนหลังจากปี 1997 โดยกระจายหุ้นเกือบครึ่งหนึ่งให้กับคนฮ่องกง
สิงคโปร์แอร์ไลน์นั้นมีความจำเป็นต้องใช้เงิน 3.3 พันล้านเหรียญสิงคโปร์เพื่อซื้อเครื่องบินโบอิ้ง
747-400 เป็นจำนวน 20 ลำ บริษัทฯ ต้องรับมอบเครื่องบินในปี 1989-1993 ภาระทางการเงินทำให้สิงคโปร์แอร์ไลน์
ต้องนำหุ้นบางส่วนออกขายในตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุนมาซื้อเครื่องบิน
ทั้งสิงคโปร์แอร์ไลน์และคาเธ่ย์ แปซิฟิค คือคู่แข่งสำคัญของการบินไทยในภูมิภาคนี้
นอกจากจะนำหุ้นออกจำหน่ายในตลาดหลักทรัพย์ภายในประเทศของตัวแล้ว สายการบินทั้งสองยังนำหุ้นไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ลอนดอน
โดยไม่เกรงกลัวว่าจะถูกคู่แข่งหรือต่างชาติเข้ามาควบคุมการบริหาร
เปรียบเทียบผลการดำเนินงานในทุกๆ ด้านแล้ว สายการบินทั้งสองอยู่ในอันดับไม่ด้อยไปกว่าสายการบินแห่งชาติอย่างการบินไทยเลย!!
"ทุกวันนี้ธุรกิจการบินไม่มีความลับ" เจ้าหน้าที่บริหารระดับกลางของการบินไทยผู้หนึ่งอธิบายกับ
"ผู้จัดการ" ว่า เรื่องราคาตั๋วเครื่องบินนั้นเป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่า
ราคาของสายการบินเป็นอย่างไร การแข่งขันกันทุกวันนี้แข่งกันที่การบริการ
และจุดที่บินไปลงว่าเป็นจุดที่จะเชื่อมต่อกับจุดหมายปลายทางอื่นๆ ได้สะดวกเพียงใด
การบินไทยยังสามารถสร้างหลักประกัน เพื่อป้องกันการเข้ามามีสิทธิมีเสียงครอบงำการบริหารของต่างชาติ
ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในความคิดของกระทรวงการคลังเหมือนกัน วิธีการคือการกำหนดให้ต่างชาติถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละ
25 และการที่รัฐบาลยังคงถือหุ้นไว้อย่างน้อย 70% รวมทั้งการกำหนดให้หุ้นที่นำออกขายในตลาดเป็นหุ้นประเภทที่ไม่มีสิทธิออกเสียง
คือเกราะคุ้มกันอำนาจการบริหารของการบินไทยได้เป็นอย่างดี
หลักประกันขั้นสุดท้ายคือ สิทธิการบินซึ่งอยู่ในมือกรมการบินพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม
ที่รัฐบาลมีสิทธิยกเลิกได้ทุกเมื่อ หากสายการบินใดทำในสิ่งที่เป็นการเสียประโยชน์ของประเทศ
กรณีตัวอย่างจากสายการบินคู่แข่งและการสร้างหลักประดันด้วยข้อกำหนดต่างๆ
ข้างต้น น่าจะทำให้พลอากาศเอกวีระ และมนตรีวางใจได้ว่าการบินไทยจะยังคงความเป็นสายการบินแห่งชาติเหมือนเดิมทุกประการ
ข้อคัดค้านประการสุดท้าย คือเหตุผลทางด้านความมั่นคง ในกรณีที่เกิดสงคราม
กองทัพมีความจำเป็นต้องใช้เครื่องบินของการบินไทยในการสงคราม หากปล่อยให้เอกชนเข้ามามีส่วนเป็นเจ้าของแล้ว
อาจจะทำให้มีปัญหาไม่ยินยอมให้นำเครื่องบินไปใช้
"ผมเชื่อว่าคนไทยทุกคนรวมทั้งผู้ที่จะเป็นผู้ถือหุ้นของการบินไทยในอนาคต
มีความรักชาติไม่น้อยไปกว่าผู้บัญชาการทหารอากาศหรอกครับ ถ้ามีสงครามแล้วต้องการใช้เครื่องบินเมื่อไร
ไม่มีใครหรอกที่จะไม่ให้ความร่วมมือ เราเป็นเจ้าของประเทศพอๆ กับกองทัพอากาศ"
คำพูดเช่นนี้ของเจ้าหน้าที่การบินไทยคนเดิม ทำให้เหตุผลเรื่องความมั่นคงกลายเป็นข้ออ้างครอบจักรวาลที่ใช้กันอย่างฟุ่มเฟือยไปในทันที
ด้วยเหตุและผลที่ชัดเจนอย่างนี้แล้ว จนแล้วจนรอดเรื่องการนำการบินไทยเข้าตลาดหุ้นก็ยังไม่มีข้อยุติว่าจะเอาอย่างไรกัน
คนในการบินไทยเองที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่บริหารระดับสูง จากการสอบถามของ "ผู้จัดการ"
ไม่มีใครคัดค้านในเรื่องนี้แม้แต่น้อย
"คุณฉัตรชัย ถ้าไปถามตอนนี้ แกเห็นด้วย 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่พูดออกมาเท่านั้น"
ผู้ใกล้ชิดอดีตผู้ยิ่งใหญ่แห่งการบินไทยเปิดเผยกับ "ผู้จัดการ"
ถ้าหากการบินไทยยอมเข้าตลาดหุ้นจริง ประโยชน์ที่พนักงานการบินไทยจะได้รับก็คือ
ได้สิทธิซื้อหุ้นในราคาพิเศษ ต่ำกว่าราคาที่นำออกจำหน่าย ตรงนี้เป็นผลประโยชน์ที่คงจะเป็นเหตุที่ทำให้พนักงานการบินไทยไม่คัดค้านในครั้งนี้
แม้กระทั่งสหภาพแรงงานก็นิ่งเฉยไม่แสดงท่าทีอะไรออกมาแม้แต่น้อย
"เพราะเขาไม่มีผลประโยชน์ที่จะได้เสียกับเรื่องนี้ พนักงานการบินไทยพวกที่กินเงินเดือนปกติอย่างพวกผมนี่ไม่มีใครโวย
เพราะไม่มีผลประโยชน์หรือส่วนได้ส่วนเสียแต่อย่างใด" คนของการบินไทยคนหนึ่งอธิบายว่า
ไม่ใช่เพราะผลประโยชน์จากการได้ซื้อหุ้นในราคาพิเศษหรอก ที่ทำให้พวกเขาไม่คัดค้านการนำการบินไทยเข้าตลาดหุ้น
เช่นนั้นแล้วจะหมายความว่ากลุ่มที่คัดค้านในครั้งนี้ คือพวกที่จะสูญเสียผลประโยชน์หากต้องนำการบินไทยเข้าตลาดหุ้นกระนั้นหรือ????
การนำการบินไทยเข้าตลาดหุ้น มองในแง่ของการระดมทุนแล้วคือการแสวงหาเงินลงทุนเพิ่ม
ด้วยวิธีการเพิ่มทุนจากการขายหุ้นในตลาด ซึ่งเป็นเงินทุนที่ไม่มีต้นทุนทางด้านดอกเบี้ย
และไม่มีภาระที่จะต้องใช้คืนนอกจากการจ่ายเงินปันผล ซึ่งขึ้นอยู่กับผลประกอบการในแต่ละปี
และไม่มีความเสี่ยงในเรื่องอัตราการแลกเปลี่ยนเหมือนกรณีการใช้เงินกู้ต่างประเทศ
สิ่งนี้คือเจตนาของกระทรวงการคลัง!!
แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นภายหลังที่การบินไทยเข้าตลาดหุ้นแล้วเป็นสิ่งที่สำคัญ
และมีความหมายมากกว่าการมีแหล่งเงินทุนในประเทศเพิ่มขึ้น สิ่งนี้ไม่ใช่ความตั้งใจของใครที่จะทำให้เกิดขึ้น
แต่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อันเนื่องมาจากกฎเกณฑ์และกลไกการทำงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
การเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ประชาชนเข้ามาเป็นเจ้าของการบินไทยได้ส่วนหนึ่ง
จากเดิมที่การบินไทยเป็นของประชาชนในนามของเจ้าของประเทศ กลายมาเป็นสายการบินของประชาชนโดยตรง
ประชาชนผู้ถือหุ้นรายย่อยมีสิทธิที่จะตรวจสอบ ซักถามการบริหารงานของผู้บริหารการบินไทยได้โดยตรง
ในฐานะเจ้าของเงินทุนส่วนหนึ่ง
การประชุมผู้ถือหุ้นการบินไทยก็จะต้องเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่ผู้บัญชาการทหารอากาศในฐานะประธานคณะกรรมการแถลงผลการดำเนินงาน
กำไรที่ได้ในปีนั้นแล้วจบลงด้วยเสียงปรบมือแสดงความชื่นชมยินดีจากผู้เข้าร่วมประชุม
โดยใช้เวลาสำหรับการประชุมประมาณ 10-15 นาทีเท่านั้น มาเป็นการประชุมที่คณะกรรมการจะต้องมีการชี้แจงรายละเอียดการดำเนินงานอย่างรอบด้านต่อผู้ถือหุ้น
คนอย่างนายพลจากกองทัพอากาศและข้าราชการผู้ใหญ่ของกระทรวงคมนาคม ที่เคยชินกับการเคารพนอบน้อมของบริวารคนใกล้ชิด
จะต้องลุกขึ้นตอบคำถามของประชาชนที่บังเอิญอยู่ในฐานะเจ้าของเงินเดือนและโบนัสที่ตนได้รับ
คนที่เคยมีแต่คนให้ความเคารพยำเกรงแสดงความพินอบพิเทา คงจะต้องปรับตัวอย่างมากต่อการต้องมาถูกคนธรรมดาๆ
อย่างนายสมศักดิ์และนางสมศรีซักถามข้อข้องใจ
การดำเนินงานและการตัดสินใจทางการบริหารจะต้องรอบคอบ และรับผิดชอบต่อเงินของผู้ถือหุ้นมากขึ้น
เพราะต้องเปิดเผยข้อมูลและถูกตรวจสอบอย่างใกล้ชิดจากผู้ถือหุ้น ซึ่งผู้บริหารของการบินไทยไม่มีสิทธิที่จะปกปิดหรือหลีกเลี่ยง
เหมือนตอนที่มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐอย่างเต็มตัวได้เลย
และผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ ที่บรรดากรรมการและผู้บริหารระดับสูงของการบินไทยเคยได้รับ
จะต้องถูกตรวจสอบเช่นกันว่ามีเงื่อนงำและสมเหตุสมผลหรือไม่
เรื่องการจัดซื้อเครื่องบินมูลค่ามหาศาลในแต่ละครั้ง ที่เคยมีข่าวลับลมคมนัยมาโดยตลอด
จะจริงเท็จประการใดก็แล้วแต่ จะเป็นเรื่องหนึ่งที่ผู้ถือหุ้นต้องให้ความสนใจอย่างแน่นอน
ผลประโยชน์อย่างอื่นที่พอจะเห็นได้ชัดเจนโดยเฉพาะในระดับกรรมการก็คือเรื่องตั๋วฟรี
ที่มีสิทธิใช้กันอย่างไม่อั้น และไม่จำกัดว่าจะใช้ไปในการใดได้บ้าง
"พวกกรรมการนี่นะ เวลาไปเมืองนอก นอกจากจะได้บินฟรีแล้ว ก่อนไปทางนี้จะโทรศัพท์
โทรเลขไปให้คนมารอรับ จองโรงแรมให้ พอลงจากรถมีคนมาดูแล พาไปเที่ยวทุกอย่างฟรีหมด"
แหล่งข่าวในการบินไทยยกตัวอย่างผลประโยชน์พิเศษของกรรมการให้ฟัง
รวมไปถึงเรื่องการฝากลูกฝากหลานจากกองทัพอากาศ เข้ามานั่งทำงานในการบินไทยได้อย่างไม่มีโควตา
เป็นตัวอย่างเล็กๆ ของผลประโยชน์ ที่อาจจะต้องมีการทบทวนเงื่อนไขและลักษณะในการใช้ผลประโยชน์เหล่านี้เสียใหม่
หากเข้าตลาดหุ้นแล้ว
ยังไม่รวมถึงผลประโยชน์จากการจัดซื้ออีกมากมายมหาศาล ที่คงต้องทำกันอย่างรัดกุมมากขึ้นกว่าเดิม
เพราะเสียงของผู้ถือหุ้นนั้น ถึงแม้จะมีสัดส่วนน้อยกว่าหุ้นที่เป็นของรัฐบาล
และถึงแม้อาจจะถูกจำกัดไม่ให้มีสิทธิออกเสียง แต่ถ้านับกันเป็นจำนวนคนแล้ว
เสียงเหล่านี้ก็คือ มติมหาชน ที่ไม่อาจจะวางเฉยไม่ให้ความสนใจได้
การบินไทยนั้นเป็นรัฐวิสาหกิจเพียงแห่งเดียว ที่พอจะเป็นศักดิ์ศรีและหน้าตาของกองทัพอากาศ
และกองทัพอากาศก็มีสิทธิเต็มที่ในการควบคุมอำนาจการบริหารมาโดยตลอด โดยการส่งคนมาเป็นประธานและผู้อำนวยการใหญ่
จนกลายเป็นที่รับรู้และหลงเข้าใจกันว่า การบินไทยคือสมบัติของกองทัพอากาศ????
เมื่อสมบัติที่อยู่ในความครอบครองมาช้านาน ต้องมาถูกแบ่งสันปันส่วนให้คนข้างนอกเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
จึงเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ในความรู้สึก
คนอย่างพลเอกวรนาถและพลเอกวีระนั้นได้ชื่อว่ามือสะอาด มีวัตรปฏิบัติตรงเป็นไม้บรรทัด
คงจะไม่ข้องเกี่ยวกับผลประโยชน์นอกแบบของการบินไทยเป็นแน่ แต่กับผลประโยชน์นามธรรมที่ชื่อว่า
"อำนาจ" นั้น ถ้าต้องถูกลดทอนลงไปบ้าง แม้จะเพียงน้อยนิด อย่างเช่น
การแต่งตั้งกรรมการผู้อำนวยการ การบินไทยที่เคยอยู่ในอำนาจของตนแต่เพียงผู้เดียว
หากจะต้องมาขออนุมัติต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเสียก่อน ก็เท่ากับเป็นการสูญเสียอำนาจของตัว
ถึงจะเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น และอาจจะไม่มีโอกาสเป็นอย่างนั้นเลย หากหุ้นที่นำออกขายในตลาดหลักทรัพย์นั้นเป็นหุ้นประเภทที่ไม่มีสิทธิออกเสียง
แต่เพียงแต่คิดเท่านั้นลูกทัพฟ้าก็รู้สึกหวั่นไหวเสียแล้ว
เสียงคัดค้านที่ดังที่สุดจึงออกมาจากกองทัพอากาศ!!
สำหรับกระทรวงคมนาคม เสียงคัดค้านจากมนตรี พงษ์พานิช เจ้ากระทรวงประสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเสียงจากกองทัพอากาศ
เมื่อเจ้ากระทรวงไม่เห็นด้วย ผู้สนองนโยบายอย่างศรีภูมิ ศุขเนตร ปลัดกระทรวงก็จำต้องพูดออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
"เป็นเรื่องการเมืองมากกว่าเรื่องหลักการ" แหล่งข่าวในสำนักปลัดกระทรวงคมนาคมคนหนึ่งพูดสั้นๆ
ถึงเบื้องหลังการคัดค้านของมนตรี
การเมืองที่ว่านี้คือ การเมืองระหว่างพรรคกิจสังคมที่มนตรีสังกัดอยู่ กับพรรคชาติไทยที่คุมกระทรวงการคลังโดยประมวล
เป็นที่รู้กันว่าทั้งสองพรรคนี้ ถึงแม้จะร่วมรัฐบาลเดียวกันก็มีความขัดแย้งปีนเกลียวกันตลอด
ในเมื่อข้อเสนอจากกระทรวงที่พรรคชาติไทยคุมอยู่ คือการเอารัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงที่เป็นของพรรคกิจสังคมเข้าตลาดหุ้น
จะถูกผิดตามหลักการนโยบายอย่างไร ก็ต้องค้านไว้ก่อน
"อย่างน้อย ถ้าการบินไทยต้องเข้าตลาดหุ้น คนก็จะพูดได้ว่าในสมัยที่พรรคกิจสังคมคุมกระทรวงนี้อยู่
ต้องสูญเสียรัฐวิสาหกิจที่ดีที่สุดในสังกัดไป" เป็นข้อวิเคราะห์ตบท้ายจากแหล่งข่าวรายเดิม
การผลักดันการบินไทยเข้าตลาดหุ้น หากทำได้สำเร็จก็จะเป็นโครงการตัวอย่าง
หรือหัวหอกที่จะนำไปสู่การนำรัฐวิสาหกิจแหล่งอื่นๆ เข้าตลาดหุ้นในระยะต่อไปด้วย
ซึ่งเท่ากับนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่กำหนดกันมาช้านาน แต่ยังไม่เคยมีการทำให้เป็นจริงเป็นจัง
จะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในขั้นต้น
"ที่เอาการบินไทยเข้าไปก่อนเพราะมีผลประกอบการดี เป็นแรงจูงใจให้คนมาซื้อหุ้น
และถ้าเข้าไปแล้วไม่มีปัญหาในเรื่องอำนาจบริหาร เรื่องพนักงาน ก็เป็นตัวอย่างให้รัฐวิสาหกิจอื่นเห็นว่าควรจะเข้าตลาดหุ้น"
นี่เป็นข้อสังเกตของแหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง
และรัฐวิสาหกิจที่น่าจะตกเป็นเป้าหมายต่อไป ก็อาจจะเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคม
อย่างเช่น องค์การโทรศัพท์ การสื่อสารแห่งประเทศไทย ที่มีโครงการลงทุนเป็นมูลค่าสูงๆ
และส่วนใหญ่ใช้เงินกู้ต่างประเทศ
ความกลัวว่าจะสูญเสียอำนาจ ผลประโยชน์และความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างพรรค
คือคำอธิบายที่ชัดเจนที่สุด ว่าทำไมการผลักดันการบินไทยเข้าตลาดหุ้นจึงต้องยืดเยื้อ
และทำท่าว่าจะกลายเป็นความขัดแย้งที่ใหญ่โตอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้
หลังจากที่กระทรวงการคลังยอมถอนวาระเรื่องการบินไทยเข้าตลาดหุ้น ออกจากการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
9 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ก็มีการตอบโต้ยืนยันเหตุผลทั้งจากฝ่ายกระทรวงการคลัง
และกระทรวงคมนาคมร่วมกับกองทัพอากาศ จนกระทั่งพลเอกชาติชาย ต้องออกมาพูดให้ทั้งสองฝ่ายเงียบเอาไว้ก่อน
ทั้งประมวล มนตรี และพลอากาศเอกวีระ ต่างโยนเรื่องนี้ให้เป็นการตัดสินใจของคณะรัฐมนตรี
โดยนัยนี้ เข้าใจกันได้ว่าเรื่องการบินไทยเข้าตลาดหุ้นเดินมาถึงทางตันแล้วในยกที่หนึ่ง
การบินไทยเสนอทางออกเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าตลาดหุ้น โดยการตั้งบริษัทขึ้นใหม่
เพื่อซื้อเครื่องบินให้การบินไทยเช่า โดยที่รัฐบาลและการบินไทยถือหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัทใหม่นี้
และนำหุ้นส่วนที่เหลือขายในตลาดหุ้น
อีกรูปแบบหนึ่งคือตั้งบริษัทโฮลดิ้ง คัมปะนี ขึ้นมาเพื่อซื้อหุ้นการบินไทย
30% และนำหุ้นของโฮลดิ้งไปขายในตลาดหุ้นอีกทีหนึ่ง
ทั้งสองรูปแบบนี้เป็นวิธีที่กระทรวงการคลังก็เสนอเป็นทางเลือกเหมือนกัน
ในกรณีที่ไม่สามารถนำตัวบริษัทการบินไทยเข้าตลาดได้
แต่ทั้งการตั้งบริษัทลิซซิ่ง หรือโฮลดิ้ง คัมปะนีนั้นก็คือ การตั้งรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้นมาอีกแห่งหนึ่ง
ที่รัฐจะต้องหาเงินมาลงทุนและอาจจะเป็นภาระต่อไปอีก และการตั้งลิซซิ่ง คัมปะนี
แล้วเอาหุ้นส่วนที่เหลือขายในตลาดหุ้นก็จะไม่ได้รับความสนใจจากประชาชน เพราะกิจการของลิซซิ่ง
คัมปะนีนั้นคือ ซื้อเครื่องบินมาให้การบินไทยเช่า มีรายจ่าย รายรับที่มองเห็นกันได้ชัด
เป็นหุ้นที่ไม่หวือหวา
ในขณะที่การตั้งโฮลดิ้ง คัมปะนี ก็คือ การที่รัฐบาลเอาเงินมาตั้งรัฐวิสาหกิจแห่งใหม่เพื่อไปซื้อหุ้นของรัฐบาลเองในการบินไทย
"ถ้าคลังเขาไม่จนใจ ก็คงจะไม่มีทางที่จะใช้วิธีการสองแบบนี้แน่"
เป็นความเห็นสั้นๆ จากผู้สันทัดกรณี
ความเคลื่อนไหวล่าสุดเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมของการบินไทยคือ พลเอกวรนาถผู้บัญชาการทหารอากาศและประธานกรรมการการบินไทย
เสนอให้ว่าจ้างสถาบันที่เป็นกลางอย่างนิด้า เข้ามาทำการศึกษาผลดีผลเสียและขั้นตอนการนำการบินไทยเข้าตลาดหุ้น
"เป็นการซื้อเวลาและหวังจะเอาผลการศึกษามายันกับข้อมูลจากกระทรวงการคลัง"
ผู้สันทัดกรณีเผยไต๋ของการบินไทย
ผู้สันทัดกรณีอธิบายต่อไปว่า ถึงอย่างไรพลเอกชาติชายก็ต้องดันการบินไทยให้เข้าตลาดหุ้นให้ได้
เพื่อลดภาระทางการเงินของรัฐบาล และเป็นจุดเริ่มต้นที่จะเอารัฐวิสาหกิจแห่งอื่นๆ
เข้าตลาดตามในระยะต่อไป
ยุทธศาสตร์นั้นได้กำหนดไว้ชัดเจนแล้ว เหลืออยู่แต่ยุทธวิธีที่ต้องปรับกระบวนแถวกันใหม่!!!
ผู้สันทัดกรณีให้อรรถาธิบายถึงความล้มเหลวในชั้นแรกนี้ว่า ความผิดพลาดประการแรกคือ
ความตั้งใจในการเสนอเรื่องนี้ในวาระเดียวกับเรื่องซื้อเครื่องบินตามแผนเร่งด่วนเมื่อวันที่
18 เมษายน โดยหวังว่าจะเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับคมนาคมและการบินไทย
แต่ทั้งสองหน่วยงานนี้พอใจที่ได้ซื้อเครื่องบินแต่อิดออดที่จะให้การบินไทยเข้าตลาดหุ้น
ความผิดพลาดประการต่อมาคือ ไม่ได้บันทึกให้ชัดเจนว่า มีมติให้เข้าตลาดหุ้น
แต่กลับบันทึกว่าให้กระทรวงการคลัง คมนาคม และการบินไทยไปศึกษาพิจารณารูปแบบที่จะหาเงินมาซื้อเครื่องบิน
13 ลำ ที่อนุมัติให้ซื้อในวันนั้น
และมติที่ให้สามหน่วยงานไปศึกษาวิธีการซื้อเครื่องบินคือความผิดพลาดประการสุดท้าย
เพราะเมื่อกระทรวงคมนาคมและการบินไทยมีจุดยืนเดียวกันเสียแล้ว ข้อเสนอเรื่องวิธีการหาเงินโดยเพิ่มทุนจากตลาดหุ้นจึงกลายเป็นเสียงส่วนน้อยไปโดยปริยาย
ผู้สันทัดกรณีเชื่อว่า เวลาและวิธีการคือสิ่งสำคัญที่จะทำให้เรื่องนี้ลุล่วงไปได้
ช่วงเวลาที่เหมาะวมที่สุดคือหลังจากเดือนกรกฎาคมไปแล้วซึ่งเป็นช่วงปิดประชุมสภา
เพื่อไม่ให้ความขัดแย้งระหว่างพรรคมีผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลในทันทีทันใด
ส่วนวิธีการที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดนั้นคือ การตั้งคณะกรรมการพิจารณาขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อพิจารณาข้อดี
ข้อเสียของการนำการบินไทยเข้าตลาดหุ้นและเสนอต่อคณะรัฐมนตรีตัดสินใจชี้ขาด
โดยที่คณะกรรมการชุดนี้จะประกอบด้วยตัวแทนจากหลายๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
มีผู้แทนกระทรวงการคลังเป็นประธาน และมีตัวแทนจากสภาพัฒน์ แบงก์ชาติ กระทรวงคมนาคม
การบินไทย รัฐมนตรีที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย และตัวแทนจากอีกบางหน่วยงานเป็นกรรมการ
"เพื่อกดดันและทำให้เสียงคัดค้านของคมนาคมกับการบินไทยเป็นเสียงส่วนน้อยให้ได้"
ผู้สันทัดกรณีเปิดเผยถึงภารกิจด้านปิดของคณะกรรมการชุดนี้
เรื่องที่ต้องทำพร้อมๆ กันไปคือ การ "คุยนอกรอบ" ระหว่างพลเอกชาติชายและพลเอกวรนาถ
ผู้บัญชาการทหารอากาศซึ่งเป็นตัวแปรที่สำคัญในเรื่องนี้
"ยังไงๆ ก็ให้ท่านมั่นใจได้ว่าตำแหน่งประธานกรรมการการบินไทยจะต้องมาจาก
ผบ. ทอ. และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ต้องเป็นคนของ ทอ. แน่" ผู้สันทัดกรณีตอกย้ำในท้ายสุด
สิ่งสำคัญที่สุดที่จะต้องทำความเข้าใจกันให้ได้คือ การบินไทยนั้นเป็นสมบัติของชาติ
ของประชาชน การบินไทยอยู่ในความดูแลของหน่วยงานของรัฐมาเป็นเวลาช้านาน จนเติบใหญ่มั่นคงมาจนถึงทุกวันนี้
เป็นความดีที่ใครๆ ก็มองเห็นและยอมรับกันอยู่ แต่ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนจะเข้าไปเป็นเจ้าของการบินไทยโดยตรงบ้าง!!!