ธนาคารพาณิชย์ไทย โชว์ผลงานปี 2547 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถ้วนหน้า ไทยพาณิชย์กำไรสุทธิกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท สูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งธนาคาร เพราะส่วนใหญ่มาจากการขายธุรกิจรองและการปรับโครงสร้างหนี้ ขณะที่แบงก์กรุงศรีอยุธยา กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นกว่า 53% "กสิกรไทย" กำไรสุทธิปีนี้ 1.5 หมื่นล้าน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนไม่ถึง 4% ด้านราคาหุ้นในกระดานไม่ขานรับ ราคาปรับลดลงจากวันก่อนหน้าทั้ง 3 แบงก์
คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB กล่าวถึงผลการดำเนินงานประจำปี สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2547 ว่า ธนาคารมีกำไรสุทธิ 18,488.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 6,028.95 ล้านบาท หรือคิดเป็น 48.39% เมื่อเทียบกับปี 2546 ที่มีกำไรสุทธิ 12,459.79 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นปีที่มีกำไรสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งธนาคารมา
โดยกำไรที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากการขายธุรกิจตามนโยบายของธนาคารที่จะขายหุ้นในธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักและบางส่วนมาจากการปรับโครงสร้างหนี้ ขณะที่ผลการดำเนินงานในธุรกิจหลักก็ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสินเชื่อขยายตัวสูงถึง 11.4% ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและส่วนแบ่งรายได้จากบริษัทในเครือเติบโตอย่างต่อเนื่อง
สำหรับในไตรมาสที่ 4 ที่ผ่านมา ธนาคารได้ตั้งสำรองเพิ่มขึ้นตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในส่วนหนี้ที่ค้างชำระเกิน 24 เดือน ขณะเดียวกันธนาคารได้ตั้งสำรองเป็นการทั่วไปเพิ่มขึ้นด้วยจนมีสำรองส่วนนี้ครบตามเป้าหมาย 2% ของสินเชื่อที่ไม่ใช่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ทำให้ธนาคารมีสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ ณ สิ้นปี 2547 สูงถึง 69,866 ล้านบาท คิดเป็น 87% ของเอ็นพีแอลทั้งหมดที่มีจำนวน 80,340 ล้านบาท หรือคิดเป็น 14% ของสินเชื่อรวม ถือเป็นระดับสำรองที่เพียงพอกับการรองรับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นและความเสียหายจากคลื่นยักษ์สึนามิทางภาคใต้ด้วย
ด้านฐานะการดำเนินงาน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2547 ธนาคารมียอดสินเชื่อ 563,872 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57,579 ล้านบาท หรือคิดเป็น 11.4% แต่ลดลง 1,258 ล้านบาท หรือ 0.2% จากไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา โดยสามารถแบ่งออกเป็น สินเชื่อบุคคล เพิ่มขึ้น 39,075 ล้านบาท หรือ 33.5% สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ เพิ่มขึ้น 20,542 ล้านบาท หรือ 10.4% และสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) เพิ่มขึ้น 18,651 ล้านบาท หรือ 23.5%
กรุงศรีฯกำไรสุทธิพุ่ง 53%
นายจำลอง อติกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY กล่าวถึง ผลการดำเนินงานประจำปี สิ้นสุดณ วันที่ 31 ธันวาคม 2547 ว่า ธนาคารมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจ สามารถแสดงผลกำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก ปี 2546 โดยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและภาษีจำนวน 7,681 ล้านบาท เมื่อหักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ 3,000 ล้านบาท ทำให้มีกำไรสุทธิ 4,673 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.64 บาท เทียบกับปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3,025 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.39 บาท หรือกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 53%
โดยสาเหตุหลักที่ทำให้ผลการดำเนินงานของธนาคารปรับตัวดีขึ้น สืบเนื่องจากรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิเพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 55% ขณะที่ค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นประมาณ 7% แม้รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยโดยรวมจะลดลงจากปีก่อน เนื่องจากในปี 2546 ธนาคารได้รับรู้กำไรจากเงินลงทุนไปก่อนแล้วถึง 2,500 ล้านบาท
ทั้งนี้ ธนาคารคาดการณ์แนวโน้มดอกเบี้ยระยะยาวจะปรับตัวขึ้น รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยของธนาคารในปีนี้จึงเกิดจากธุรกรรมพื้นฐานเป็นหลักและมีรายได้เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ โดยรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้น 14% ส่วนแบ่งกำไร จากเงินลงทุนในบริษัทย่อย-ร่วมเพิ่มขึ้น 102%
นายจำลอง กล่าวว่า ธนาคารสามารถบรรลุเป้าหมายด้านต่างๆ ตามแผนธุรกิจที่ได้ตั้งไว้ นอกจากความสามารถในการขยายรายได้จากธุรกรรมพื้นฐานคือ การขยายสินเชื่อเพิ่มสุทธิได้ตามเป้าหมาย คือสินเชื่อเพิ่มขึ้นประมาณ 7% หรือเพิ่มขึ้นสุทธิ 27,000 ล้านบาท แล้ว ธนาคารยังดำเนินการลดต้นทุนทางการเงินระยะยาวเป็นผลสำเร็จตามแผนที่ตั้งไว้ด้วยการไถ่ถอน SLIPs จำนวน 26,000 ล้านบาท ซึ่งมีต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายเฉลี่ย 11% ไปเรียบร้อยแล้วเมื่อเดือนมีนาคม 2547
ด้านของเงินฝาก ปี 2547 ธนาคารมีเงินฝากเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 71,700 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 17% รวมทั้งธนาคารสามารถล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ได้หมดในไตรมาส 3 สิ้นสุด 30 กันยายน 2547
สำหรับด้านคุณภาพสินทรัพย์นั้น หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL อยู่ที่ระดับ 9.9% ของสินเชื่อรวม หรือประมาณ 4.2 หมื่นล้านบาท ลดลงจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ระดับประมาณ 15% และในส่วนของสำรองต่อ NPL ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 44.8%
ส่วนของสินทรัพย์รอการขาย หรือ NPA นั้น ปี 2547 ธนาคารและ AMC ของธนาคารสามารถจำหน่าย NPA ได้อีกประมาณ 7,200 ล้านบาท ทำให้มีกำไรเบื้องต้นประมาณ 670 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขาย NPA มีกำไรติดต่อกันเป็นปีที่ 4 ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2547 ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (Capital Adequacy Ratio-CAR) ที่ระดับประมาณ 10.7%
"กสิกรไทย" กำไรเพิ่มขึ้นไม่ถึง 4%
ด้านธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) แจ้งผลการดำเนินงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ธนาคารมีกำไรสุทธิ 15,340.46 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 6.49 บาท เทียบกับปีก่อนกำไรสุทธิ 14,755.97 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 6.27 บาท หรือมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 584.49 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.96%
ทั้งนี้ ธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลรวม 32,999.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.65% รายได้ที่มีใช่ดอกเบี้ย 12,095.33 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 11.67% ขณะที่หนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ณ สิ้นปีอยู่ที่ 56,869.99 ล้านบาท หรือคิดเป็น 9.81% ของสินเชื่อรวมทั้งหมด
สำหรับความเคลื่อนไหวของหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์วานนี้ (19 ม.ค.) ราคาหุ้นไม่ได้ขานรับกับผลประกอบการที่ประกาศออกมามากนัก เนื่องจากเป็นไปตามคาดการณ์ของนักลงทุนอยู่แล้ว โดยมีธนาคารกรุงเทพเพียงแห่งเดียวที่มีราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยดัชนีกลุ่มธนาคารพาณิชย์ปิดที่ 255.03 จุด เพิ่มขึ้น 0.05 จุด หรือ 0.02% มูลค่าการซื้อขายรวม 2,877.33 ล้านบาท
ขณะที่หุ้นธนาคารทั้ง 3 แห่งที่ประกาศผลการดำเนินงาน ประกอบด้วย BAY ราคาปิดที่ 13.40 บาท ลดลง 0.74% มูลค่าการซื้อขาย 123.71 ล้านบาท KBANK ปิดที่ 57.50 บาท ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อน มูลค่าการซื้อขาย 627.58 ล้านบาท และ SCB ปิดที่ 50.50 บาท ลดลง 0.98% มูลค่าการซื้อขายรวม 418.30 ล้านบาท
|