"ทีพีไอโพลีน" ตั้งเป้าปีนี้รายได้โตเพิ่ม 10-15% หลังประเมินความต้องการใช้ปูนภายในประเทศแตะ 35 ล้านตัน ขยายตัวเพิ่ม 10% และราคามีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกตันละ 200-300 บาท รวมทั้งรับรู้รายได้จากธุรกิจปูนมอลต้า ที่ขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นในก.พ. นี้ เผยค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น ส่งผลดีทำให้มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน คาดจะบันทึกรับรู้กำไรได้ในไตรมาส 1/48 นี้
นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัททีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) (TPIPL) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทคาดว่ายอดขายจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 10-15% จากปีก่อนที่มียอดขาย 2.2 หมื่นล้านบาท เนื่องจากความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ จะขยายตัวอีก 10% จาก 32 ล้านตัน เพิ่มเป็น 35 ล้านตันตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยภาครัฐมีการขยายการลงทุนสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เช่น ถนน รถไฟฟ้าใต้ดิน และมีโครงการหมู่บ้านจัดสรรรอบบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งล้วนแต่ต้องใช้ปูนซีเมนต์จำนวนมาก
ขณะที่ราคาปูนซีเมนต์ในปีนี้ น่าจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอีกตันละ 200-300 บาท หลังจากปลายปีที่แล้ว ปูนซีเมนต์นครหลวงได้เข้ามาดัมป์ตลาดทำให้ราคาปูนซีเมนต์ต่ำลง และในปีนี้บริษัทจะสามารถผลิตปูนซีเมนต์ได้เพิ่มมากขึ้นจากปีก่อน ที่มีการหยุดเครื่องจักรเพื่อซ่อมบำรุงในช่วงไตรมาส 3/2547 รวมทั้งจะรับรู้รายได้จากธุรกิจปูนมอลต้าที่ได้มีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 1.5 ล้านตันในช่วงเดือนก.พ.นี้
ส่วนการส่งออกปูนซีเมนต์ในปีนี้คาดว่าจะอยู่ในระดับเดียวกับปีก่อน คือ 12 ล้านตัน เนื่องจากบริษัทปูนซีเมนต์นครหลวงได้เพิ่มกำลังการผลิตขึ้นอีก 3 ล้านตัน ซึ่งทีพีไอโพลีนมีแผนจะส่งออกปูนซีเมนต์ในปีนี้ใกล้เคียงกับปีก่อนอยู่ที่ 1 ล้านตัน ลดลงเมื่อเทียบจากช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่เคยส่งออกปูนถึงปีละ 4.5 ล้านตัน
นายประชัย กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการขยายโรงปูนไลน์ 4 ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาขออนุมัติจากเจ้าหนี้เพื่อลงทุนในโรงปูนซีเมนต์ไลน์ 4 มีกำลังการผลิต 3 ล้านตัน ใช้เงินลงทุนเพิ่มเติมอีก 6,000 ล้านบาท เชื่อว่าเจ้าหนี้จะเห็นชอบ เนื่องจากศาลได้มีคำสั่งให้บริษัทชำระค่าเครื่องจักรที่ยังค้างอยู่ หากไม่นำเครื่องจักรมาใช้ก็เท่ากับเป็นเศษเหล็ก
"หากเจ้าหนี้ยินยอมให้ขยายโรงปูนไลน์ที่ 4 คาดว่าจะเริ่มผลิตปูนซีเมนต์ได้ในต้นปี 2550 เนื่องจากต้องเวลาในการติดตั้งเครื่องจักรประมาณ 1 ปี ซึ่งปัจจุบันโรงปูนทีพีไอได้มีการผลิตเต็มที่ 100% อยู่แล้ว"
นายประเสริฐ อิทธิเมฆินทร์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายบัญชีและการเงิน บมจ. ทีพีไอโพลีน กล่าวว่า จากการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าทำให้ทีพีไอ โพลีน ซึ่งมีเงินกู้ 670 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนทันที คาดว่าจะมีการบันทึกกำไรอัตราแลกเปลี่ยนหลายร้อยล้านบาทในไตรมาส 1/2548 เนื่องจากสิ้นปี 2547 ค่าเงินบาทปิดที่ 39.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ปัจจุบันเงินบาทแข็งค่าอยู่ที่ 38.50 บาท
ปัจจุบันหนี้สินสกุลเงินต่างประเทศของทีพีไอโพลีน แบ่งเป็นหนี้สินสกุลดอลลาร์สหรัฐ 45% สกุลเงินยูโร 20% สกุลบาท 34-35% ที่เหลือเป็นสกุลเงินเยน 1-2%
ส่วนความคืบหน้าการรีไฟแนนซ์หนี้ทีพีไอโพลีนว่า บริษัทได้เปิดกว้างในเรื่องการรีไฟแนนซ์อยู่ เนื่องจากเงินที่จะรีไฟแนนซ์เป็นเงินก้อนใหญ่ 2.7 หมื่นล้านบาท ทำให้ต้องใช้เวลาในการเจรจาและดูเงื่อนไขที่ดีที่สุด โดยจะต้องมีอัตราดอกเบี้ยต่ำ ช่วยลดภาระความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนในปัจจุบันได้
ส่วนเรื่องการเจรจากับคณะกรรมการเจ้าหนี้ มีหลายเรื่องที่จะต้องเจรจา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นประโยชน์ในการลดค่าใช้จ่ายของบริษัท โดยเฉพาะเจรจาปรับลดดอกเบี้ยจ่าย เนื่องจากบริษัทได้รับการจัดอันดับเครดิต BBB- จึงไม่ควรที่จะจ่ายอัตราดอกเบี้ยในฐานะบริษัทที่ย่ำแย่
สำหรับผลการดำเนินงานงวดปี 2547 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขาย และรายได้รวมจากการดำเนินธุรกิจจำนวน 20,843 ล้านบาท และ 22,395 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.61% และ 8.19% ตามลำดับ โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และรายการตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 5,900 ล้านบาท ในปี 2547 ลดลง 2.98% และมีกำไรจากการดำเนินธุรกิจปกติจำนวน 3,052 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 8.53%
ในปี 2547 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 4,193 ล้านบาท ลดลง 12.01% เนื่องจากการรับรู้กำไรจากรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจลดลง 813 ล้านบาท เนื่องจากปี 2547 บริษัทบันทึกขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 170 ล้านบาท กำไรจากการกลับรายการด้อยค่าของสินทรัพย์ 22 ล้านบาทและกำไรจากการซื้อหนี้คืน 1,290 ล้านบาท ดังนั้น มูลค่าหุ้นตามบัญชีเท่ากับ 44.76 บาท
ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น TPIPL วานนี้ ค่อนข้างผันผวน โดยราคาดีดขึ้นไปแตะสูงสุดที่ 35.75 บาท ก่อนมีแรงเทขายทำกำไรออกมา จนปิดตลาด ราคาอยู่ที่ 34.75 บาท ลดลง 1.25 บาท เปลี่ยนแปลงลดลง 3.47% มูลค่าการซื้อขายรวม 390.79 ล้านบาท
|