|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"ภัทรลิสซิ่ง -PL" ปันผล 3.50 บาทต่อหุ้นเพิ่ม จากปีก่อน 27% "เกริกชัย" เผยเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิมเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ รอประเมินภาวะตลาด ก่อนกำหนดราคา พร้อมหวังเพิ่มสภาพคล่องให้กับหุ้นเมื่อมีการแตกพาร์จาก 10 บาท เป็น 1 บาท หลังนักลงทุนถือหุ้นไม่ยอมเทรด ชงเรื่องเข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติ 31 ม.ค.นี้ ประเมินดอกเบี้ยขยับขึ้นแต่กระทบต้นทุนธุรกิจไม่มากนัก เตรียมขยายให้เช่าเรือยอชต์อีกครั้ง
นายเกริกชัย ศิริภักดี กรรมการผู้จัดการบริษัท ภัทรลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ PL เปิดเผยว่า บริษัทฯได้อนุมัติให้จ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นที่มีรายชื่อในทะเบียนผู้ถือหุ้นในวันที่ 19 ม.ค.48 ในอัตราหุ้นละ 3.50 บาท จากผลการดำเนินงานงวดปีสิ้นสุด วันที่ 30 ก.ย.47 ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ได้มีการขึ้นเครื่องหมาย XD ของหุ้นบริษัทตั้งแต่วันที่ 14 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยบริษัทจะจัดประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 2548 ในวันที่ 31 ม.ค.นี้ เวลา 10.00 น.
ทั้งนี้ อัตราการจ่ายเงินปันผลดังกล่าวถือเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลสูงที่สุดตั้งแต่บริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยหากเทียบกับปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 27% และเพิ่มขึ้น 75% จากปี 45
นับแต่บริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์มาเป็นเวลา 10 ปี บริษัทมีผลกำไรและจ่ายเงินปันผลมาโดยตลอดยกเว้นช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่บริษัทงดจ่ายเงินปันผล 2 ปี โดยมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในระดับ 50% ของผลกำไรสุทธิ
"ปกติบริษัทจะจ่ายปันผลครึ่งหนึ่งส่วนที่เหลือก็จะนำไปใช้ในการขยายธุรกิจเรื่อยมา และระดมทุนด้วยวิธีการออกหุ้นกู้มาขยายธุรกิจ โดยไม่ได้มีการเพิ่มทุนมาเป็นเวลา 8-9 ปีแล้ว จนกระทั่งต้นปีนี้บริษัทได้ประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียน ซึ่งถือว่าเป็นการเพิ่มทุนครั้งแรกนับแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจไทย"
บริษัทได้เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 300 ล้านบาทเป็น 450 ล้านบาท ด้วยการออกหุ้นสามัญใหม่ จำนวน 150 ล้านหุ้น (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท) ซึ่งจะขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น โดยจะขอให้คณะกรรมการเป็นผู้กำหนดรายละเอียดการจัดสรรหุ้น ซึ่งคาดว่ากระบวนการเพิ่มทุนน่าจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน เนื่องจากต้องรอประเมินสถานการณ์โดยรวมและตลาดหุ้นอีกครั้ง"
ทั้งนี้ คาดว่าเม็ดเงินที่จะได้จากการเพิ่มทุนจะสามารถรองรับการขยายตัวของบริษัทได้ประมาณ 4-5 ปี ส่วนราคาจะที่เสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นนั้นจะเป็นราคาที่มีส่วนลด (discount) โดยจะเสนอขายในช่วงระหว่าง 60-70%
นายเกริกชัยกล่าวว่า นอกจากนี้บริษัทยังได้อนุมัติให้มีการแตกพาร์(มูลค่าที่ตราไว้ต่อหุ้น) จากเดิมหุ้นละ 10 บาท เป็นหุ้นละ 1 บาท โดยในการเพิ่มทุนและแตกพาร์มาจาก 2 สาเหตุหลัก คือ 1. เพื่อเป็นการปรับโครงสร้างทางการเงิน เพื่อขยายเงินกองทุนจากระดับประมาณ 1 พันล้านเป็น 1.5 พันล้านบาท 2.เพื่อขยายจำนวนผู้ถือหุ้น และสร้างสภาพคล่องให้กับหุ้นของบริษัท
แต่อย่างไรก็ตาม การเพิ่มทุนและการแตกพาร์จะต้องให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติ
"ความจริงเรามีการศึกษาการแตกพาร์มาพอสมควร ซึ่งตลาดหลักทรัพย์เองก็ประสงค์อยากให้มีการใช้กลไกเหล่านี้ และมีตัวอย่างให้เห็น ว่ามี 30 กว่าบริษัทที่ได้มีการแตกพาร์ไปแล้ว เราก็อยากเห็นหุ้นมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น ให้ราคาหุ้นได้สะท้อนปัจจัยพื้นฐานของบริษัท" นายเกริกชัยกล่าว
นายเกริกชัย กล่าวว่า สาเหตุที่หุ้นของบริษัทไม่ค่อยมีการซื้อขายมากนักเนื่องจากนักลงทุนที่เข้าลงทุนจะเป็นลักษณะการถือเพื่อรอรับเงินปันผลเพราะที่ผ่านมาบริษัทมีการจ่ายเงิน ปันผลอย่างต่อเนื่องและจ่ายในระดับสูง ฐานะทางการเงินของบริษัทก็ค่อนข้างเข้มแข็งและเติบโตมาตลอด โดยการเติบโตของบริษัทในปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตประมาณ 20% ซึ่งโตสูงกว่าอุตสาหกรรม เพียงแต่ไม่สามารถเทียบกับใครได้ เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีบริษัทที่ทำธุรกิจในรูปแบบเดียวกับบริษัท
"ของเราเป็นโอเปอเรติ้งลีสซิ่ง ส่วนรายอื่นในตลาดหุ้นเป็นเช่าซื้อของเราเน้นการให้เช่ากับนิติบุคคลมากกว่าประชาชนทั่วไป โดยปัจจุบันบริษัทมีรถยนต์เพื่อให้เช่าประมาณ 6 พันคัน ซึ่งใช้งานเต็มจำนวนทั้งหมด ทั้งนี้ในอนาคตบริษัทอาจจะมีการขยายไปในส่วนของการให้เช่าเรือยอชต์ขนาดเล็ก และกลางหลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยหยุดให้เช่าเรือไปเมื่อหลายปีก่อน"
"บุ๊กแวลูอยู่ที่ 33 บาท เป็นบริษัทที่มีมาร์เกต แคปขนาดกลาง 1.5 พันล้านบาท และจะเป็น 2 พันล้านบาท หลังจากเพิ่มทุนจดทะเบียน และเมื่อมีการแตกพาร์ ราคาหุ้นก็จะลดลงไป ก็หวังจะให้นักลงทุนเข้ามาซื้อขายเพิ่มขึ้น เป็นการเพิ่มสภาพคล่องให้กับหุ้น"
นอกจากนี้นายเกริกชัย ยังกล่าวถึงภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยว่า ราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยหลายบริษัทราคายังอยู่ในระดับต่ำมาก เมื่อเทียบกับราคาหุ้นบริษัทจดทะเบียนในต่างประเทศ
ในส่วนของภาพรวมหรือทิศทางเศรษฐกิจไทยในปีนี้ต้องถือว่าประมาทไม่ได้ มีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นและยังต้องจับตามอง
"โดยส่วนตัวเชื่อว่า อัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวขึ้น การขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจจะลดลง ราคาน้ำมันในตลาดโลกน่าจะปรับลดลงบ้าง ซึ่งในส่วนของอัตราดอกเบี้ยจะกระทบต้นทุนของบริษัท แต่ก็เป็นปัจจัยกระทบไม่มากนัก" นายเกริกชัยกล่าว
|
|
|
|
|