กรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎรไล่บี้เอไอเอสปลดล็อกอีมี่ตามหลังแทคและออเร้นจ์
เพื่อให้ประชาชนผู้ใช้มือถือได้รับประโยชน์สูงสุด เผยหากไม่ทำจะยื่นฟ้องต่อศาลปกครองต่อไป
"วันนอร"ตอบกระทู้ยืนยัน ประชาชนจะไม่ได้รับความเดือดร้อนกรณีปัญหาทศท.กับแทค
พร้อมสั่งทศท.เดินหน้าทวงหนี้ค่าเชื่อมสัญญาณอีกครั้งวันนี้ ไม่ใช่ไปเจรจารับเงื่อนไขใหม่ๆ
ที่แทคเสนอมา ด้าน "แทค"
เปิดเกมรุกอีกครั้ง คราวนี้เปิดเสรีส่งข้อความสั้น SMS เพื่อแสดงความซื่อสัตย์
จริงใจ และอยู่เคียงข้างผู้บริโภค
นับตั้งแต่เกิดปัญหากรณีองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยจะทำการตัดโครงข่ายเชื่อมโยงสัญญาณกับบริษัท
โทเทิ่ล แอคเซส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือแทค ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ
"ดีแทค"
และเรื่องนี้ยังอยู่ระหว่างการหารือเพื่อหาทางออกของฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และแทคได้แก้เกมเพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมเอาไว้โดยได้ประกาศปลดล็อกอีมี่เครื่องโทรศัพท์มือถือตั้งแต่วันที่
1 เมษายน 2545 ที่ผ่านมา
โดยการเดินเกมของแทคในลักษณะดังกล่าว ถือเป็นการเปิดเกมไปสู่การค้าเสรีโทรศัพท์มือถืออย่างแท้จริง
เพราะหลังจากนั้น บริษัท ทีเอ ออเร้นจ์ จำกัด ก็ได้มีการปลดล็อกอีมี่ตามมา
แต่ก็ยังเหลือปราการด่านสุดท้าย คือ ค่ายมือถือยักษ์ใหญ่อย่างบริษัท แอดวานซ์
อินโฟร เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอสที่ยังคงสงวนท่าทีในการดำเนินการจนกระทั่งบัดนี้
กมธ.สคบ.บี้เอไอเอสปลดอีมี่
วานนี้ (4 เม.ย.) ที่รัฐสภา นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ
การคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ขณะนี้แทค และออเร้นจ์ ได้ทำการปลดล็อกอีมี่แล้ว
แต่ในส่วนของเอไอเอส
ยังไม่ได้ตอบกลับมาว่าจะทำการปลดล็อกอีมี่หรือไม่ ซึ่งทางคณะกรรมาธิการฯ
ได้เร่งรัดให้องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.) ไปดำเนินการสอบถามแล้ว
ทั้งนี้
หากเอไอเอสยืนยันที่จะไม่ทำการปลดล็อกอีมี่ จะถือว่าเอไอเอสทำผิดตามพ.ร.บ.
ประกอบกิจการโทรคมนาคม ที่ระบุว่าห้ามล็อกเครื่อง เพราะการอ้างว่าต้องรอให้มีคณะกรรมการ
กิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
(กทช.) ขึ้นมาก่อน นั้น ฟังไม่ขึ้น เพราะกฎหมายระบุไว้ชัดเจนอยู่แล้ว "ถ้าเอไอเอสยังไม่ปลดล็อกอีมี่โดยเร็ว
ทางคณะกรรมาธิการฯ จะพิจารณายื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เพราะถือว่าทำให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบ
ส่วนที่เกรงกันว่าหากปลดล็อกอีมี่แล้วจะมีการลักลอบนำเข้าเครื่องโทรศัพท์มือถือจากต่างประเทศโดยไม่เสียภาษี
ซึ่งเรื่องนี้กรรมาธิ-การฯ เห็นว่าไม่เกี่ยวกับบริษัทที่ได้รับสัมปทาน
แต่เป็นเรื่องของกรมศุลกากรที่จะตรวจจับมากกว่า" นายสุรพงษ์กล่าว ส่วนประเด็นเรื่องการคืนเงินค่าประกันมือถือนั้น
ทางทศท.และการสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.)
แจ้งว่าบริษัทผู้ที่ได้รับสัมปทานจะคืนเงินค่าประกันให้กับผู้ใช้บริการตั้งแต่เดือนเมษายน
2545 เป็นต้นไป และจะคืนให้เสร็จภายใน 3 เดือน หรืออาจเลือกเป็นการหักเงินค่า
บริการรายเดือนแทน
รวมถึงค่าประกันโทรศัพท์ บ้าน ซึ่งทศท.แจ้งว่าได้ส่งแบบสอบถามให้ประชาชนสิ้นสุดไปแล้ว
31 มีนาคม และมีตัวเลขผู้ตอบกลับมาว่าต้องการให้คืนเงินอย่างไร 40% อีก 60%
ยังไม่ได้ตอบกลับมา
ทางคณะกรรมาธิการฯจึงให้ทศท.ส่งหนังสือสอบถามไปอีกรอบว่าจะให้คืนเงินเดือนละ
100 บาทอย่างไร ห้ามทศท.ตัดสัญญาณ นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู ประธานคณะกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค
สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องที่ทศท.จะตัดสัญญาณเชื่อมโยงโครงข่ายของแทค
โดยเชิญตัวแทนกสท. ทศท. และแทคมาชี้แจง
ซึ่งจากการดูสัญญาแล้วพบว่าการที่ทศท.จะตัดสัญญาณเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
เพราะในสัญญาระบุว่าหากเกิดปัญหาไม่สามารถตกลงกันได้จะต้องใช้กระบวนการทางศาลเป็นผู้ตัดสิน
ดังนั้นคณะกรรมาธิการฯ
เห็นว่าทางทศท.จะต้องดูแลและคุ้มครองผู้บริโภคไม่ให้ได้รับความเดือดร้อน
และหากการเจรจาของทั้งสองฝ่ายตกลงกันไม่ได้ ทางแทคก็จะเป็นผู้รับภาระในการจ่ายเงินค่าสัญญาณเชื่อมโยง
โดยผู้ใช้บริการจะไม่เดือดร้อนอย่างแน่นอน ยืนยันประชาชนไม่เดือดร้อน อย่างไรก็ตาม
ในวันเดียวกันนี้ ในการประชุมวุฒิสภา ที่ประชุมได้พิจารณากระทู้ถามด่วนเรื่องกรณีข้อขัดแย้งระหว่างดีแทคและทศท.
ของนายสมพงษ์ สระกวี ส.ว.สงขลา ถามนายกรัฐมนตรี ว่า กรณีที่ทศท.จะตัดการเชื่อมต่อสัญญาณโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของแทคในวันที่
28 เมษายนนี้ กรณีทางคณะกรรมการ (บอร์ด)
ทศท.มีแต่ข่มขู่ผู้ประกอบการ ทั้งๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อประชาชนนับ 10 ล้านคน
และทางรัฐบาลจะดำเนินการตั้ง กทช. ให้เสร็จเมื่อใด นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา
รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงคมนาคม
ชี้แจงแทนนายกรัฐมนตรีว่า ทศท.และกระทรวงคมนาคมไม่ได้มีท่าทีข่มขู่ดีแทคแต่อย่างใด
พร้อมทั้งระบุว่าหลังจากที่กฎหมายการประกอบกิจการโทรคมนาคมมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่
17 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา
ทางดีแทคได้มีหนังสือถึงทศท.จะไม่จ่ายค่าเชื่อมโยง เครือข่าย ตั้งแต่เดือนธันวาคม
2544 โดยอ้างถึงมาตราต่างๆ ในกฎหมายดังกล่าว โดยหลังจากได้รับหนังสือจากดีแทค
ทศท.
ได้ไปพิจารณากฎหมายแล้วเห็นว่ามาตราที่อ้างถึงนั้นยังใช้ไม่ได้ ดังนั้น
ทศท.จึงได้มีหนังสือทวงถามไปโดยตลอดกว่า10 ครั้ง ล่าสุดวันที่ 15 มีนาคม
2545
แต่ทางดีแทคมีหนังสือตอบยืนยันที่จะไม่จ่ายและขอยกเลิกสัญญาที่ทำไว้ทั้ง
2 ฉบับ และในขณะเดียวกันดีแทคยังเรียกเก็บค่าบริการเชื่อมต่อสัญญาณจากประชาชนผู้ใช้บริการ
ทั้งนี้ เมื่อได้รับทราบปัญหาดังกล่าว
จึงได้เรียก ทศท.และกสท.มาสอบถาม โดยผู้ว่าการ กสท.ชี้แจงว่า แทคได้ยืนยันอย่างแข็งกร้าวว่า
จะไม่จ่าย จึงได้ขอให้บอร์ดทศท.พิจารณา เพราะขณะนี้หนี้ที่ดีแทคต้องจ่ายได้เพิ่มขึ้นเป็น
2,031 ล้านบาทแล้ว
หากทศท.ไม่ทวงถามไปจะเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และหากดีแทคยังไม่จ่ายอีกจนถึงกำหนัดวันที่
28 เมษายน หนี้สินอาจสูงถึง 2,500 ล้านบาทได้ "เวลานี้มีการกำหนดว่า ถ้าประชาชนไม่จ่าย
ค่าโทรศัพท์ภายใน 15 วันบริษัทสามารถตัดสัญญาณได้แล้ว แต่กรณีของดีแทคนี้ได้ติดหนี้ทศท.มาแล้ว
4-5 เดือน เราไม่ทำอะไรเลยไม่ได้ ในเมื่อดีแทคไม่จ่ายหนี้ ก็ได้ขออำนาจศาลปกครอง
แต่ศาลปกครองไม่รับฟ้อง อย่างไรก็ตาม ได้ให้ทศท.และ กสท.เชิญดีแทคมาเจรจา
ซึ่งในระหว่างการเจรจาคงบอกไม่ได้ว่าจะทำอย่าง ไรบ้าง แต่ขอยืนยันรัฐจะไม่ทำให้ใครไม่ได้รับความยุติธรรม
และจะรักษาผลประโยชน์ของประเทศโดยไม่ถูกกล่าวหาว่าละเว้น หากละเว้น ทศท.และประชาชนจะเดือดร้อน
โดยจะล้มไปทั้งระบบ
ซึ่งบริษัทอื่นจะอ้างไม่ทำตามสัญญาโดยไม่จ่ายบ้างอาจทำให้ตัวเลขสูงถึงหมื่นล้านบาท
แต่หากมีอะไรที่ปฏิบัติตามกฎหมายใหม่ได้ ทางทศท.ก็ต้องปฏิบัติ
ผมยืนยันจะรักษาประโยชน์ของรัฐและไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน โดยจะเจรจาให้ดีที่สุด"
นายวันนอร์กล่าว นายวันนอร์กล่าวอีกว่า กรณีของกทช.นั้น ทางผู้เกี่ยวข้องกับการสรรหาได้ร้องศาลปกครอง
ซึ่งศาลปกครองชั้นต้น ได้มีคำพิพากษาออกมาแล้วว่า การสรรหาไม่ถูกต้อง แต่กระบวนการนี้ยังไม่สิ้นสุด
โดยคณะกรรมการสรรหาได้ยื่นอุทรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดภายในกำหนดเวลา
ดังนั้นนายกรัฐมนตรีไม่สามารถไปก้าวก่ายกระบวนการยุติธรรมได้ แต่หากศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยอย่างไร
รัฐบาลพร้อมปฏิบัติตามคำวินิจฉัยทันที อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการชี้แจงของนายวันนอร์
นายประสงค์ โฆษิตานนท์ ส.ว. เพชรบูรณ์ ได้เสนอทางออกว่า การเจราของทั้ง
2 ฝ่ายจะเสร็จสิ้นโดยเร็ว ซึ่งจะทำให้หนี้สินเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อรัฐบาล
ดังนั้นจึงขอเสนอว่า ในระหว่างการเจรจา
กระทรวงคมนาคมควรจะต้องฟ้องร้องทางแพ่งกับดีแทคไปก่อน แต่ทางนายวันนอร์
ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว โดยเห็นว่าหากมีการฟ้องร้องทางแพ่งจะต้องผ่านกระบวนการยุติธรรมถึงขั้นฎีกาและจะใช้เวลาหลายปี
และภาระหนี้สินจะเพิ่มเป็นหมื่นล้านบาท ดังนั้น การใช้วิธีเจรจาจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
"วันนอร" ไม่พอใจผลการเจรจา ที่กระทรวงคมนาคม เมื่อเวลา 15.00 น. ของวันเดียวกัน
มีรายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม
แจ้งว่า นายวันนอร์ รวมทั้งผู้บริหารและพนักงานของทศท.ไม่พอใจ การเจรจา
3 ฝ่าย ของนายสุธรรม มลิลา ผู้อำนวยการ ทศท. กรณีการเรียกเก็บค่าเชื่อมโยงโครงข่ายจากแทค
ทั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา
เนื่องจากเห็นว่าการเจรจา 3 ฝ่าย ทั้ง 2 ครั้งดังกล่าวนั้นนายสุธรรม ไม่ได้เจรจาเพื่อเรียกเก็บเงินที่แทคค้างจ่ายอยู่กว่า
1,000 ล้านบาทแต่อย่างใด แต่กลับเป็นการเจรจาในเงื่อนไข ข้อตกลงใหม่ๆ
ซึ่งเห็นว่าเป็นการดำเนินการที่ผิดขั้นตอนและเป้าหมายที่ทศท.ต้องการ คือเรียกเก็บเงินค่าเชื่อมโครงข่ายจากแทคให้ได้
โดยเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา นายวันนอร์ ได้เรียกนายสุธรรมไปหารือ
รวมทั้งได้ชี้แจงให้นายสุธรรมทราบว่า หากบริษัทเอกชนที่รับสัมปทาน ไม่จ่ายเงินก็ต้องเจรจาเรียกเก็บเงินให้ได้
แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานที่ไม่ทำให้ผู้บริโภคเดือดร้อน เพราะหากให้รายใดรายหนึ่งไม่จ่ายเงิน
อาจทำให้บริษัทอื่นๆ ปฏิบัติตามได้ ประกอบกับเอกสารการประชุมคณะกรรมการทศท.ที่ผ่านมา
ฝ่ายบริหาร ทศท.โดยนายสุธรรม เป็นผู้เสนอเงื่อนไขในการทวงเงินค้างจ่ายของแทคต่อ
คณะกรรมการทศท.เอง
รวมถึงแจ้งกับกรรมการ ว่า หากแทคไม่จ่ายเงินค่าเชื่อมโยงโครงข่ายให้ทศท.
ก็จะขอมติอนุมัติให้ทศท.ตัดสัญญาณเชื่อมโยงโครงข่ายในวันที่ 28 เมษายนนี้ด้วย
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า เมื่อมีการเจรจาร่วมกัน 3 ฝ่าย
ปรากฏว่านายสุธรรม ไม่ได้ติดตามทวงเงินจากแทคที่ค้างจ่าย แต่กลับรับข้อเสนอเงื่อนไขใหม่ๆ
ที่แทคต้องการกลับมา ซึ่งเป็นการดำเนินการที่ผิดขั้นตอน นอกจากนั้นในการประชุมร่วมกัน
3
ฝ่ายที่จะมีขึ้นอีกครั้งในวันนี้ (5 เม.ย.) ก็คงเป็นการเจรจาเร่งรัดทวงเงินคงค้างจ่ายต่อไปเพราะในการประชุมคณะกรรมการทศท.เมื่อวันที่
4 เมษายนที่ผ่านมานั้น
คณะกรรมการทศท.ได้พิจารณาและกำชับให้นายสุธรรม ทวงหนี้คืน ไม่ใช่รับข้อเสนอเงื่อนไขที่มีแนวทางในการเปลี่ยนแปลงสัญญาสัมปทาน
สหภาพฯร้องสอบทุจริต "ไกรสร" อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ นายพรชัย
มีมาก รองประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจทศท. จะมายื่นหนังสือเรียกร้องให้
สำนักงานคณะกรรม การป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบการดำเนินงานของ
นายไกรสร พรสุธี
รองปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานคณะกรรมการ การสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.)
และตำแหน่ง ที่ปรึกษาคณะกรรมการทศท. เนื่องจากทางสหภาพฯทศท. เห็นว่า นายไกรสร
มีการทำงานที่ไม่โปร่งใส "แทค" เปิดเสรีส่งข้อความอีก ที่อาคารชัย เมื่อเวลา
17.00 น.นายบุญชัย เบญจรงคกุล ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารแทค
กล่าวว่า ขณะนี้แทคได้เปิดเสรี
การส่งข้อความสั้นๆ (SMS) แก่ผู้ประกอบการทั่วโลกเป็นเจ้าแรกอีกครั้ง หลังจาก
ที่แทคได้ปลดล็อก อีมี่เป็นเจ้าแรกมาแล้ว เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เพื่อเป็นการขานรับกฎหมายโทรคมนา-คมฉบับใหม่
ที่เน้นให้
เสรีภาพการสื่อสาร และสนับสนุนสำนัก งานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)
ในการเปิดโลกเสรีการสื่อสารอย่างแท้จริง และคาด ว่าจะทำให้แทคมีรายได้เพิ่มขึ้นในปีนี้ไม่น้อยกว่า
100 ล้านบาท ทั้งนี้
การเปิดเสรี SMS นั้น แทคจะทำหน้าที่เป็นท่อเชื่อม ป้อนเนื้อหาสาระต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นข่าวสาร ราคาหุ้น รายการบันเทิง เสียงเรียกเข้า หรือภาพโลโก้ต่างๆ
ที่มีผู้ให้บริการพัฒนาอยู่แล้วเข้าสู่โทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ตลอดเวลา โดยขณะนี้แทครับข้อเสนอของผู้ให้บริการพัฒนาการส่งข้อความต่างๆ
ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ (คอนเท้นส์ โพรไวเดอร์) กว่า 40 รายทั่วโลก เพื่อใช้
SMS ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบแทคได้โดยเสรี โดยในเบื้องต้นมี 5 ราย คือ
แกรมมี่ ยะฮู เอ็ม-เว็บ สยามทูยู และคิวไทย โดยคาดว่าในอนาคตจะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ
และในช่วงแรกลูกค้าแทคสามารถเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้โดยผ่าน SMS ได้ทันที
และในระยะ ต่อไปแทคจะทำให้ลูกค้าหาข้อมูลและกิจกรรมบันเทิงต่างๆ ได้ง่ายขึ้นไปอีก
ด้วยการใช้ SMS ผ่านระบบออดิโอเท็กซ์
และการรับส่งข้อมูลความเร็วสูง (GPRS) ต่อไป ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแทคดำเนินธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์
จริงใจ และอยู่เคียงข้างผู้บริโภคตลอดเวลา และพร้อมต่อสู้
เพื่อความเป็นธรรมและประโยชน์สูงสุดของผู้บริโภคอย่างแท้จริง