แม้ว่า โนวาร์ตีส จะเป็นบริษัท ที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นในปี 1996 หากแต่ประวัติความเป็นมาของโนวาร์ตีส
กลับสามารถสืบเนื่องย้อนไปถึงปี 1758 หรือ 242 ปีล่วงมาแล้ว และเป็นกรณี ที่น่าสนใจไม่น้อย
เมื่อบริษัทผู้ผลิตเวชภัณฑ์ ที่เก่าแก่อย่าง โนวาร์ตีส กำลังพยายาม ที่จะหาจุดยืนใหม่ๆ
บนเวทีการค้าโลก ด้วยการขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจอื่นๆ อย่างหลากหลาย
ย้อนกลับไปในปี 1758 เมื่อโยฮันน์ ไกกี้(Johann Geigy) เริ่มธุรกิจของเขาด้วยการค้าเครื่องเทศ
และสีย้อมจากธรรมชาติในเมืองบาเซิ่ล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก่อน ที่อีกศตวรรษต่อมากิจการของเขาจะได้รับการสืบทอดโดยบุคลากรในครอบครัวไกกี้
และเริ่มผลิตสีย้อมสังเคราะห์เป็นต้นมา
ในห้วงเวลาเดียวกันนั้น อเล็กซานเดอร์ คลาเวล ได้เริ่มเข้าสู่ธุรกิจสีย้อมสังเคราะห์
ด้วยการก่อตั้งบริษัท Gesellschaft fur Chemische Industrie Basel (Ciba)
ซึ่งครองความเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ของสวิตเซอร์แลนด์ จนสิ้นศตวรรษ
ภายหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้ง ที่หนึ่ง Ciba, Geigy และ Sandoz ( ซึ่งเป็นผู้ผลิตสีย้อมสังเคราะห์ในเมืองบาเซิ่ล
ก่อตั้งในปี 1886 ) ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Basel AG เพื่อผูกขาด และแข่งขันกับ
I.G.Farben ซึ่งเป็นคู่แข่งขันสำคัญจากเยอรมนี ก่อน ที่ Basel AGจะอาศัยผลกำไร
ที่มีขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจเวชภัณฑ์ และธุรกิจเคมีภัณฑ์อื่นๆ และสามารถปักหลักธุรกิจในสหรัฐอเมริกาได้ในเวลาต่อมา
ในปี 1929 Basel AG ได้ผนวกกิจการกับบริษัทเวชภัณฑ์จากทั้งเยอรมนี, ฝรั่งเศส
และอังกฤษ เพื่อผูกขาดด้านราคาเวชภัณฑ์ในยุโรป แต่สงครามโลกครั้ง ที่ 2 ได้ส่งผลให้พันธมิตรจตุภาคีล่มสลายลงในปี
1939 และมีเพียง Basel AG เท่านั้น ที่ไม่ได้รับผลกระเทือนมากนัก ซึ่งเมื่อสงครามโลกครั้ง
ที่ 2สิ้นสุดลง พอล มุลเลอร์นักวิทยาศาสตร์ของ Geigy ก็ได้รับรางวัลโนเบลในปี
1948 จากการค้นพบ DDT ก่อน ที่อีก 3 ปีต่อมา หรือในปี 1951 Basel AG ได้ตัดสินใจ
ที่จะแยกส่วนของแต่ละบริษัทกลับไปยังจุดเริ่มต้นดั้งเดิม
การที่แต่ละบริษัทแยกตัวออกมาจาก Basel AG ส่งผลให้ทั้ง Ciba, Geigy และ
Sandoz ต่างเร่งขยายการลงทุนออกไปยังธุรกิจอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี
1967 ยอดการจำหน่ายโดยรวมของ Geigy ได้พุ่งทะยานเหนือยอดจำหน่ายของ Ciba
จากผลของความพยายาม ที่จะขยายช่องทางการตลาดใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์
เพื่อการเกษตรกรรมของ Geigy ขณะที่ Sandoz ได้เข้าซื้อกิจการของกลุ่ม Wander
ซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าควบคุมน้ำหนัก และผลิตภัณฑ์ด้านโภชนาการ
ในปี 1970 Ciba และ Geigy ได้รวมกิจการเข้าด้วยกัน ภายใต้ชื่อ Ciba-Geigy
และเริ่มดำเนินการเข้าควบคุมกิจการจำนวนมากในสหรัฐอเมริกา ซึ่งรวมถึงการเข้าครอบครอง
Funk Seed ในปี 1974 ขณะที่ Sandoz เข้าซื้อกิจการของ Northrup, King &
Co. ที่มีฐานอยู่ ที่ Minneapolis ในปี 1976 และเข้าซื้อกิจการของ Zaadunie
ซึ่งเป็นผู้ประกอบการด้านเมล็ดพันธุ์ของเนเธอร์แลนด์ ในปี 1980
Ciba-Geigy และ Chiron ซึ่งเป็นบรรษัทผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีชีวภาพของสหรัฐอเมริกา
ได้ร่วมลงทุน เพื่อผลิต และทำตลาดวัคซีน ที่ได้จากการทำพันธุวิศวกรรม ในปี
1986 ก่อน ที่ Ciba-Geigy จะเข้าครอบครองสัดส่วนการถือหุ้น 50% ของ Chiron
ในปี 1994 ขณะที่ Sandoz ก็ได้เข้าซื้อกิจการ และลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพของสหรัฐอเมริกาด้วยเช่นกัน
รวมถึงการเข้าซื้อกิจการของ Genetic Therapy และ SyStemix ในปี 1991 และการเข้าซื้อกิจการของ
Gerber ( ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1927) ในช่วงปี 1994
ในปี 1996 Ciba-Geigy และ Sandoz ได้รวมตัวกัน และเป็นจุดเริ่มต้นของ Novartis
ที่มีความหมายตามรากศัพท์ภาษาละตินว่า new-arts โดยการรวมกันดังกล่าวส่งผลให้
Sandoz ภายใต้การนำของ Daniel Vasella ซึ่งต่อมาดำรงตำแหน่งประธานคณะผู้บริหารของ
Novartis จำเป็นต้องขายกิจการด้านยากำจัดศัตรูพืช และกิจการด้านสุขภาพสัตว์ในสหรัฐอเมริกาออกไป
เพื่อให้แผนการรวมบริษัทได้รับการอนุมัติ
ในปี 1997 Novartis จำต้องจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้บริโภค เป็นจำนวนเงินกว่า
700 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อศาลพิพากษาว่า Ciba Vision ซึ่งเป็นบริษัทในเครือได้กระทำผิดกฎหมายด้วยการจำกัดปริมาณสินค้าประเภท
คอนแทคเลนส์ ในร้านดิสเคาต์ สโตร์ เพื่อหวังให้ราคาสินค้าขยับตัวขึ้น โดยในปีเดียวกันนั้น
Novartis จำต้องถอดถอน ExLax ยาถ่าย ที่มียอดจำหน่ายสูงออกจากตลาดเป็นการชั่วคราว
หลังจากพบว่าส่วนประกอบบางส่วนของยาชนิดน ี้ส่งผลให้เกิดมะเร็งในสัตว์ทดลอง
ก่อน ที่ Novartis จะปรับปรุงสูตรของยานี้
ในปี 1998 Novartis ได้รวมแผนกสุขภาพ และธุรกิจด้านโภชนาการเข้าเป็นส่วนเดียวกันภายใต้โครงสร้างของกลุ่มธุรกิจคอนซูมเมอร์เฮลท์
ก่อน ที่ในปีต่อมา Novartis จะขายแผนกสินค้าจำนวนหนึ่งออกไป รวมถึง Wasa
ซึ่งเป็นผู้ผลิตแคร็กเกอร์ออกไป เพื่อเน้นขอบข่ายของธุรกิจคอนซูมเมอร์เฮลท์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ในช่วงต้นปี 1999 อเล็กซ์ เคราเออร์ (Alex Krauer) ประธาน Novartis
ซึ่งเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการวางรากฐานของ Novartis ประกาศลาออกจากตำแหน่ง
โดยมี Daniel Vasella เข้าดำรงตำแหน่งแทน และในปีเดียวกันนั้น เอง Novartis
ได้ประกาศ ที่จะรวมกลุ่มธุรกิจการเกษตรของบริษัทเข้ากับธุรกิจของ AstraZeneca
และจัดตั้งบริษัทใหม่ภายใต้นาม Syngenta
สำหรับในปี 2000 นี้ Novartis มีแผนที่จะออกสินค้าใหม่ชื่อ Altus Food ซึ่งเป็นผลจากการร่วมลงทุนกับ
Quaker Oats โดยมีจุดเน้นอยู่ ที่การสร้างสินค้าในกลุ่มอาหารพิเศษ ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง
นอกจากนี้ ยุทธศาสตร์การเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้กับ Ciba Vision ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ
Novartis ได้ตกลง ที่จะซื้อกิจการของ Wesley Jessen VisionCare ซึ่งเป็นผู้ผลิตคอนแทคเลนส์
ชนิดเคลือบสีอีกด้วย
ทั้งนี้ ปัจจุบัน Novartis นับเป็นผู้ผลิตเวชภัณฑ์รายใหญ่อันดับ 4 ของโลก
(โดยมีบริษัท Avantis เป็นอันดับหนึ่ง) มีกลุ่มธุรกิจครอบคลุม 3 สาขาหลักประกอบด้วย
ธุรกิจการเกษตร, ธุรกิจด้านการดูแลสุขภาพ (Healthcare) และธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค
เพื่อสุขภาพ (Consumer Health) โดยในช่วง ที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจด้านการดูแลสุขภาพสามารถสร้างรายได้ให้กับ
Novartis มาเป็นอันดับแรก โดยมีสัดส่วนมากถึง 55% ของรายได้จากการขายทั้งหมด
อย่างไรก็ดี เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจหลักได้อย่างมีประสิทธิภาพ Novartis
พยายาม ที่จะลดทอนความสำคัญของธุรกิจการเกษตรลงอย่างต่อเนื่อง ผ่านการผนวกกิจการกับบริษัทอื่น
หรือขายการลงทุนออกไป ขณะเดียวกันก็พยายามวางจำหน่ายเวชภัณฑ์ใหม่ๆออกสู่ตลาด
เพื่อทดแทนยอดการจำหน่าย ที่ลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดสำคัญของสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ กระแสคัดค้านเกี่ยวกับอาหารตัดแต่งพันธุกรรมทำให้ Novartis หันไปให้ความสนใจในการผลิตอาหารชนิดพิเศษ
ที่มีคุณค่าทางโภชนาการเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ มีแนวโน้มความเป็นไปได้ ที่ Novartis
จะร่วมลงทุนกับคู่ค้ารายอื่นๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพทางการตลาดในสหรัฐอเมริกาในอนาคตต่อไป
สำหรับในประเทศไทยนั้น Novartis ได้จัดตั้งบริษัท โนวาร์ตีส นิวทริชั่น
(ประเทศไทย) เพื่อรับผิดชอบผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม ซึ่งประกอบด้วย เครื่องดื่มมอลต์สกัดรสช็อกโกแลต
ตรา "โอวัลติน" อาหารเสริมสำหรับทารก และเด็กเล็กตรา "เกอร์เบอร์" และครีมบรรเทาปวดกล้ามเนื้อ
"โวลทาเรน อิมัลเจล" โดยในปี 1999 ที่ผ่านมา โนวาร์ตีส นิวทริชั่น (ประเทศไทย)
มียอดขายทั้งสิ้นประมาณ 3,600 ล้านบาท